คุณรู้หรือไม่ เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุครอยต่อระหว่าง พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ 11/25

คุณรู้หรือไม่ เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุครอยต่อระหว่าง พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ช่วงเวลาระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่นั้นยาวนานราว 400 ปี โดยนับจากพันธกิจ ของมาลาคีสิ้นสุดลงจนถึงเหตุการณ์ในพระกิตติคุณเริ่มต้นขึ้น ยุคนี้ยังถูกเรียกว่า “ยุคเงียบ” ด้วยเหตุที่พระเจ้าไม่ได้ส่งผู้เผยพระวจนะมาสื่อสารกับชนชาติของพระองค์ ช่วงเวลานี้มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ในที่นี้จะขอกล่าวโดยสังเขป สมัยอาณาจักรเปอร์เซีย (ประมาณปี 538-331 ก่อน ค.ศ.) อาณาจักรเปอร์เซียรุ่งเรืองขึ้นและมีชัยเหนืออาณาจักรบาบิโลน ชาวยิวที่ถูกนำไปเป็นเชลยในบาบิโลนต่อมาได้รับอนุญาตจากไซรัสกษัตริย์ชาวเปอร์เซียให้เดินทางกลับมายังปาเลสไตน์เป็นสามระลอก นำโดยเศรุบบาเบล เอสรา และเนหะมีย์ พวกเขาได้ฟื้นฟูชนชาติของพระเจ้าขึ้นใหม่โดยมีพระวิหารหลังที่สองที่พวกเขาสร้างเป็นศูนย์กลาง (2 พศด.36:22-23; อสร.1:1-4) ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงดำรง รักษากิจกรรมฝ่ายจิตวิญญาณอย่างอื่นที่ได้พัฒนาขึ้นในช่วงที่เป็นเชลย อาทิ การประชุมในธรรมศาลา (กจ.15:21) และการตีความหมายกับการสอนพระคัมภีร์โดยพวกอาลักษณ์และธรรมาจารย์ในยุคนี้ ชนชาติยิวสามารถปกครองตนเองได้โดยมีปุโรหิตเป็นผู้นำที่มีอำนาจปกครองทั้งทางด้านศาสนาและการเมือง โดยขึ้นตรงต่อผู้สำเร็จราชการแห่งเปอร์เซีย สมัยอาณาจักรกรีก (ประมาณปี 331-164 ก่อน ค.ศ.) อาณาจักรกรีกของอเล็กซานเดอร์มหาราชได้พิชิตอาณาจักรเปอร์เซียและขยายบริเวณไปไกลถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ ในขณะเดียวกันก็เผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมกรีกไปด้วย จนราวปี 323 ก่อน ค.ศ. อเล็กซานเดอร์ก็สิ้นพระชนม์ บรรดาแม่ทัพของพระองค์ชิงอำนาจกันทำให้อาณาจักรกรีกถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน อาณาจักรที่สำคัญสองอาณาจักรปกครองโดยราชวงศ์ปโตเลมี (มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์) และราชวงศ์เซลูซิด (มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอันทิโอคในซีเรีย) ซึ่งผลัดกันครอบครองแคว้นยูเดีย โดยทีแรกราชวงศ์ปโตเลมีปกครองชาวยิวอย่างเป็นมิตรในช่วง […]

คุณรู้หรือไม่ การแบ่งบทและข้อในพระคัมภีร์ มีความเป็นมาอย่างไร 10/24

คุณรู้หรือไม่ การแบ่งบทและข้อในพระคัมภีร์ มีความเป็นมาอย่างไร 10/24 สำหรับเราในทุกวันนี้ เลขบทและเลขข้อในพระคัมภีร์ช่วยให้เราค้นหาพระคัมภีร์ตอนต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เลขบทและเลขข้อเหล่านี้มิได้มีอยู่ในต้นฉบับดั้งเดิมของพระคัมภีร์ แล้วสิ่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร แม้ต้นฉบับดั้งเดิมของพระคัมภีร์ไม่มีเลขบทและเลขข้อ การแบ่งตอนของเนื้อหาก็มีมาอย่างยาวนานแล้ว เช่น ในม้วนคัมภีร์ทะเลตาย (ประมาณศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ.) มีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นย่อหน้า เพื่อช่วยให้อาลักษณ์คัดลอกเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และเพื่อใช้อ่านในโอกาสหรือเทศกาลต่างๆ ขณะที่การอ้างอิงพันธสัญญาเดิมของพระเยซูคริสต์และบรรดาผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ดูจะไม่ได้อิงกับการแบ่งย่อหน้าเช่นนี้เท่าไรนัก อย่างไรก็ดี ร่องรอยของการแบ่งบทและข้อในพันธสัญญาเดิมนั้นพอจะพบได้ในหนังสือมิชนาห์ (ตำราอธิบายและแนะแนวทางการประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ฮีบรูของบรรดารับบี ประมาณช่วงศตวรรษที่ 1 ก่อน ค.ศ. จนถึงศตวรรษที่ 3) โดยเนื้อหาตอนหนึ่งได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการอ่านและตีความหมายพระคัมภีร์ว่า ถ้าผู้ใดจะอ่านถ้อยคำของธรรมบัญญัติหรือผู้เผยพระวจนะ ก็จงให้ผู้นั้นอ่านไม่น้อยกว่าสามข้อขึ้นไป (Mishnah Megillah 4:4) ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าการแบ่งบทและข้อในพันธสัญญาเดิมก็ยังไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน จนกระทั่งประมาณช่วงศตวรรษที่ 6 เป็นต้นไป สำเนาโบราณฉบับมาโซเรติก (สำเนาพระคัมภีร์ฮีบรูที่ถือว่ามีเนื้อหาสมบูรณ์ที่สุดและมักใช้เป็นตัวบทมูลฐานสำหรับการศึกษาและการแปลพระคัมภีร์ในปัจจุบัน) ได้มีการแบ่งบทและข้อที่ดูใกล้เคียงกับที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน (โดยส่วนใหญ่เป็นผลงานของอาลักษณ์สกุลเบน-อาเชอร์) ส่วนต้นฉบับพันธสัญญาใหม่ภาษากรีกนั้น แม้สำเนาโบราณหลายฉบับจะมีการแบ่งย่อหน้า ก็มีหลายฉบับที่ไม่ได้แบ่ง บางฉบับไม่มีกระทั่งการเว้นวรรคระหว่างคำและประโยค นอกจากนี้ สำเนาพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับต่างๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมาจนถึงยุคกลางก็มีการแบ่งบทและข้อที่แตกต่างกัน […]

ทำไมข้อความของ มาระโก 16:9-20 จึงอยู่ในวงเล็บ? 9/24

ทำไมข้อความของ มาระโก 16:9-20 จึงอยู่ในวงเล็บ? พระกิตติคุณมาระโกเป็นหนึ่งในพระกิตติคุณสี่เล่มในพันธสัญญาใหม่ แม้จะไม่มีระบุในเนื้อหาว่าใครเป็นผู้เขียน นักวิชาการจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่า มาระโกซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงาน ของเปโตรเป็นผู้เขียน และเชื่อว่าท่านเขียนขึ้นก่อนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ พระธรรมเล่มนี้มีอยู่ทั้งหมด 16 บท หลายคนคงสังเกตว่า ข้อ 9-20 ของบทสุดท้ายอยู่ในวงเล็บ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นักวิชาการจำนวนมากลงความเห็นว่า ส่วนท้ายดังกล่าวถูกเพิ่มเติมขึ้นในภายหลัง เนื่องจากเนื้อหาส่วนดังกล่าวไม่ปรากฏในสำเนาโบราณฉบับต้นๆ จึงใส่ไว้ในวงเล็บ หากทฤษฎีนี้เป็นจริง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น บทที่ 16 เริ่มต้นด้วยเรื่องราวหลังจากที่วันสะบาโตได้สิ้นสุดลง มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ พร้อมกับนางสะโลเม ไปซื้อเครื่องหอมเพื่อจะนำไปชโลมพระศพของพระเยซูในรุ่งเช้าวันอาทิตย์ แต่เมื่อพวกเธอไปถึงอุโมงค์บรรจุพระศพของพระองค์ก็พบว่า หินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกไป เมื่อพวกเธอเข้าไปในอุโมงค์ก็พบกับทูตสวรรค์ที่บอกพวกเธอว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว และกำชับให้พวกเธอไปบอกสาวกของพระเยซูว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลี สำเนาโบราณฉบับต้นๆ ของพระธรรมเล่มนี้จบลงอย่างกะทันหันในข้อ 8 ว่า “หญิงเหล่านั้นจึงออกจากอุโมงค์แล้วรีบหนีไป เพราะพิศวงงงงวยและตกใจจนตัวสั่น พวกนางไม่ได้พูดกับใครเพราะกลัว” แปลกหรือไม่ที่มาระโกลงท้ายพระกิตติคุณเช่นนั้น ซึ่งอาจฟังดูห้วน และเหมือนเนื้อหาบางอย่างขาดหายไป สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือ พระกิตติคุณไม่ใช่หนังสือชีวประวัติอย่างที่หลายคนคุ้นเคย วัตถุประสงค์หลักของการประพันธ์ไม่ใช่เพื่อการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูอย่างละเอียดครบถ้วนในทุกช่วงวัยของชีวิต แต่เป็นหนังสือที่ใช้เพื่อการประกาศให้คนเชื่อว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอด อีกทั้งเพื่อการเสริมสร้างความเชื่อของผู้เชื่อทั้งหลาย ดังนั้น ผู้เขียนจึงเลือกว่าจะให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับชีวิตพระเยซูเพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่มีการบันทึกเรื่องราวของพระเยซูในวัยผู้ใหญ่ก่อนที่จะทรงรับบัพติศมาและเริ่มพระราชกิจ […]

เพราะเหตุใดพระกิตติคุณจึงมีสี่เล่ม? 8/24

เพราะเหตุใดพระกิตติคุณจึงมีสี่เล่ม?ทำไมพระกิตติคุณในพันธสัญญาใหม่จึงมีสี่เล่ม ไม่น้อยหรือมากกว่านั้น เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าพระกิตติคุณคืออะไรและมาอยู่ในพระคัมภีร์ได้อย่างไร คำว่า “พระกิตติคุณ” หรือ “พระวรสาร” (Gospel) มาจากคำกรีกว่า εὐαγγέλιον (euaggelion) ซึ่งเป็นรากของคำว่า evangelism ในภาษาอังกฤษ แปลตรงตัวว่า “ข่าวสารที่ดี” และไม่ใช่แค่ข่าวสารทั่วไปเท่านั้น แต่เป็นข่าวสารที่สำคัญหรือยิ่งใหญ่ เช่น ข่าวสารที่ดีเรื่องชัยชนะในสงคราม หรือเรื่องการเสด็จมาเยือนของจักรพรรดิ เป็นต้น คริสเตียนยุคแรกได้นำคำนี้มาใช้เรียกเรื่องราวพระชนม์ชีพและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนโลกนี้ นอกจากนี้ คำนี้ยังถูกแปลได้อีกว่า “ข่าวประเสริฐ” ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย แท้จริง มีเอกสารโบราณที่ถูกเรียกว่าพระกิตติคุณอยู่หลายเล่ม แต่เมื่อคริสตจักรยุคแรกทำการพิจารณาจัดตั้งสารบบพระคัมภีร์เพื่อป้องกันคำสอนผิดหรือคัมภีร์เทียมเท็จ ก็มักจะยึดหลักเกณฑ์ที่สำคัญสามประการคือ ความยึดโยงกับอัครทูต (Apostolicity) หลักคำสอนที่ถูกต้อง (Orthodoxy) และการใช้ประโยชน์ (Utility) เป็นรากฐานของสารบบพันธสัญญาใหม่ ปรากฏว่า พระกิตติคุณที่ได้รับการยอมรับให้อยู่ในสารบบพระคัมภีร์มีเพียงสี่เล่ม นั่นคือ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น อย่างไรก็ดี มักจะมีคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ด้วยเหตุว่าบางครั้งเรื่องราวเดียวกันที่ถูกบันทึกไว้กลับมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในแต่ละเล่ม ความจริงก็คือผู้เขียนพระกิตติคุณแต่ละเล่มบอกเล่าเรื่องราวจากมุมมองที่แตกต่างกัน นักวิชาการบางท่านเชื่อว่า พระกิตติคุณแต่ละเล่มมีกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านที่เฉพาะ กล่าวคือ มัทธิวเขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านชาวยิวที่คุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิม ดังจะเห็นได้จากเนื้อหาหลายตอนที่อ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิมและรูปแบบวรรณกรรมที่สะท้อนความคิดแบบยิว […]

ทำไมปลาจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน 7/24

ทำไมปลาจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน หลายคนคงเคยเห็นสัญลักษณ์รูปปลาที่คริสเตียนใช้ทำเป็นของที่ระลึก พิมพ์บนเสื้อ หรือทำเป็นป้ายติดท้ายรถยนต์ คุณรู้หรือไม่ว่า เหตุใดปลาจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน ปลาเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวถึงหลายครั้งในพระคัมภีร์ พระธรรมปฐมกาลกล่าวถึงการที่พระเจ้าทรงสร้างสัตว์น้ำซึ่งรวมถึงปลาในวันที่ห้า (ปฐก.1:20-23) พระเจ้าทรงบัญชาให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างตามฉายาของพระองค์ครอบครองสัตว์ต่างๆ รวมทั้งฝูงปลาในทะเล (ปฐก.1:26) ผู้เผยพระวจนะโยนาห์อยู่ในท้องปลาเป็นเวลาสามวันสามคืน อันเป็นหมายสำคัญเล็งถึงพระเยซูผู้ถูกฝังเป็นเวลาสามวันและสามคืน (มธ.12:40) ในพระคัมภีร์ใหม่ สาวกหลายคนของพระเยซูเป็นชาวประมง (มธ.4:18-22; มก.1:16-20; ลก.5:1-11) พระองค์ทรงตั้งพวกเขาให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา (มธ.4:19; มก.1:17; ลก.5:10) ปลาเป็นหนึ่งในอาหารของผู้คนในอิสราเอล (ลก.24:41-42; ยน.21:9) พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวที่ทวีจำนวน (มธ.14:13-21; มก.6:30-44; ลก.9:10-17; ยน.6:1-14) ในส่วนของการที่คริสเตียนใช้ปลาเป็นสัญลักษณ์ของผู้เชื่อนั้น สามารถย้อนประวัติศาสตร์ไปถึงคริสตจักรในสมัยแรกได้ ขณะนั้นความเชื่อคริสเตียนเป็นสิ่งผิดกฎหมายและคริสเตียนถูกข่มเหงอย่างรุนแรงโดยผู้มีสิทธิอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองชาวโรมัน คริสเตียนจึงหาสัญลักษณ์ที่คนนอกไม่รู้ในขณะที่คนในรู้เพื่อช่วยในการพบปะกัน กางเขนเป็นเครื่องหมายที่เฉพาะเจาะจงของคริสเตียน จึงโจ่งแจ้งและไม่อาจใช้ได้ ในขณะที่ปลาเป็นสัญลักษณ์ที่คนหลายกลุ่มรวมทั้งคนนอกศาสนาใช้ การใช้ปลาเป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียนจึงไม่ทำให้เป็นที่น่าสงสัยจนเกินไป มีเรื่องเล่าว่า เมื่อคนแปลกหน้าสองคนพบกัน ฝ่ายหนึ่งที่เป็นคริสเตียนจะขีดเส้นโค้งลงบนพื้น หากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคริสเตียนเช่นกัน เขาจะขีดเส้นโค้งอีกเส้นหนึ่งต่อเป็นรูปปลา ก็จะเป็นที่รู้กันว่าทั้งสองฝ่ายเป็นคริสเตียน แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่คริสเตียน เขาก็จะไม่รู้ความหมายของเส้นโค้งและไม่ได้วาดต่อ ฝ่ายที่เป็นคริสเตียนก็ปกปิดตัวตนต่อไป นอกจากนี้ คำว่า “ปลา” ในภาษากรีก คือ ΙΧΘΥΣ (Ichthys) ยังมีความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ด้วย เพราะตัวอักษรกรีกทั้ง 5 ตัวนี้เป็นอักษรตัวแรกของคำห้าคำในภาษากรีกที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู […]

ทำทำไมยอห์นจึงเรียกพระเยซูว่า “พระวาทะ” 6/23

ทำทำไมยอห์นจึงเรียกพระเยซูว่า “พระวาทะ” ในพระกิตติคุณและจดหมายฝากของยอห์น ท่านอัครทูตเรียกพระเยซูว่า พระวาทะ พระกิตติคุณยอห์นเปิดด้วยข้อความว่า “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ” (ยน. 1:1-3) จดหมายฝากฉบับแรกของท่านขึ้นต้นว่า “เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต” (1 ยน.1:1) ยอห์นยังได้กล่าวด้วยว่า “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยน.1:14) จึงเป็นที่แน่ชัดว่า พระวาทะที่ท่านกล่าวถึงนี้คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง เหตุใดยอห์นจึงเรียกพระเยซูเช่นนั้น คำว่า “พระวาทะ” ในต้นฉบับภาษากรีก คือ logos ความหมายของคำนี้ที่เราคุ้นเคยคือ ถ้อยคำ ข้อความ หรือ คำพูด คำกรีกคำนี้ยังให้ความหมายถึง เหตุผล และยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า logic ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า ตรรกะ ซึ่งก็หมายถึงการให้เหตุผลด้วยคำพูด นอกจากนี้ logos ยังถูกใช้ในทางปรัชญาของกรีก เพื่อหมายถึง จิตวิญญาณของจักรวาล หลักการที่เป็นสากล หรือพลังที่มีอำนาจในการสร้างและพยุงรักษาสรรพสิ่งในจักรวาล […]

ทำไมพระเยซูทรงเลือกยูดาสเป็นสาวก 5/23

ทำไมพระเยซูทรงเลือกยูดาสเป็นสาวก ยูดาสอิสคาริโอท น่าจะเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซูคริสต์ที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ที่ทรยศพระองค์ จนเป็นเหตุให้พระองค์ทรงถูกจับกุมและถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่เรื่องที่น่าจะคาใจหลายคนก็คือ พระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกหรือไม่ว่ายูดาสจะกลายเป็นคนทรยศ และหากพระองค์ทรงทราบ ทำไมพระองค์จึงยังทรงเลือกเขาเป็นหนึ่งในสาวก ยูดาสอิสคาริโอท เป็นบุตรของซีโมนอิสคาริโอท (ยน.6:71; 13:2) อย่างไรก็ตาม “อิสคาริโอท” (Iscariot) ไม่ใช่นามสกุลของเขา แต่อาจมีความหมายที่เป็นไปได้หลักๆ 2 แบบ คือ คำนี้มาจากคำฮีบรู “อิช เคริโอท/คีริยาท” (Ish Kerioth/Kiriyath) ซึ่งแปลว่า “ชายจากเมือง เคริโอท/คีริยาท” ซึ่งเป็นเมืองในภาคใต้ของอิสราเอล ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ยูดาสเป็นคนจากแคว้นยูเดีย ขณะที่สาวกคนอื่นๆ นั้นมาจากแคว้นกาลิลีในภาคเหนือเหมือนกับพระเยซูคริสต์ คำนี้อาจมาจากคำละติน “สิคารีอุส” (Sicarius) แปลว่า “ฆาตกร/นักฆ่า” ซึ่งมาจากรากศัพท์ “สิคา” (Sica) ซึ่งแปลว่า “กริช/มีดสั้น” คำนี้ยังใช้เรียกพวกยิวชาตินิยมหัวรุนแรงที่มักจะลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของโรมด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ยูดาสเป็นพวกชาตินิยมเช่นเดียวกันกับซีโมนพรรคชาตินิยม (มธ.10:4; มก.3:18; ลก.6:15) ทั้งนี้ นักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันดูจะเห็นด้วยกับความหมายแบบแรกมากกว่า ในพันธสัญญาใหม่ ยูดาสอิสคาริโอทไม่ถูกกล่าวถึงเลยในจดหมายฝากต่างๆ และถูกเอ่ยถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในพระธรรมกิจการของอัครทูต (กจ.1:16-18, 25) ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับยูดาสและการทรยศของเขาจึงพบได้เฉพาะในพระกิตติคุณสี่เล่ม ซึ่งพอจะรวบรวมมาสรุปความในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามข้างต้นได้ดังนี้ […]

“เยโฮวาห์”หรือ“ยาห์เวห์” 3/23

“เยโฮวาห์”หรือ“ยาห์เวห์” ในพระคัมภีร์ภาษาเดิมคือภาษาฮีบรู พระนามเฉพาะของพระเจ้าประกอบด้วยตัวอักษรฮีบรู 4 ตัว ได้แก่  י (โยด) ה (เฮ) ו (วาว) ה (เฮ) รวมกันเป็น יהוה หรือเขียนทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษได้ว่า YHWH ซึ่งนักวิชาการเรียกกันว่า เททราแกรมมาทอน (Tetragrammaton) ซึ่งเป็นคำกรีก แปลตรงตัวว่า อักษรสี่ตัว ในอดีต พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับต่างๆ มีแนวทางการแปลพระนามนี้อยู่สองแนวทางหลักได้แก่ การทับศัพท์ โดยยึดเอาตามการสะกดที่ปรากฏในสำเนาโบราณ เช่น “ยะโฮวา” หรือ “เยโฮวาห์” หรือในภาษาอังกฤษว่า “Jehovah” ฉบับที่มักจะแปลตามแนวทางนี้ได้แก่ ฉบับ 1940 ฉบับ 1971 ASV เป็นต้น การแปลเป็นพระนามทั่วไป เช่น “องค์พระผู้เป็นเจ้า” หรือ “องค์เจ้านาย” หรือในภาษาอังกฤษว่า “The Lord” ฉบับที่มักจะแปลตามแนวทางนี้ได้แก่ ฉบับประชานิยม ฉบับอมตธรรม ESV KJV NKJV NASB NIV GNB CEV เป็นต้น คำถามหนึ่งที่คนสงสัยคือ พระนามนี้ควรจะออกเสียงว่า “เยโฮวาห์” หรือ “ยาห์เวห์” กันแน่  เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เราจะต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของการออกเสียงเรียกพระนามพระเจ้า เนื่องจากชาวยิวตั้งแต่สมัยโบราณถือว่าพระนามเฉพาะของพระเจ้าเป็นพระนามบริสุทธิ์และไม่ควรที่จะเอ่ยถึง ดังนั้น เวลากล่าวถึงพระเจ้า ชาวยิวจึงนิยมใช้คำว่า אֲדֹנָי (เขียนทับศัพท์ได้ว่า ʾăDoNaY อ่านว่า อโดนาย) แปลว่า “องค์เจ้านาย” […]

คุณรู้หรือไม่ ทำไมจึงต้องมีการแก้ไขปรับปรุงสำนวนแปลพระคัมภีร์ 2/22

คุณรู้หรือไม่ ทำไมจึงต้องมีการแก้ไขปรับปรุงสำนวนแปลพระคัมภีร์    พระคริสตธรรมคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาฮีบรู อาราเมค และกรีก และได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกเมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว โดยมิชชันนารีชาวตะวันตก ทั้งนี้ พระคริสตธรรมคัมภีร์ภาษาไทยฉบับสมบูรณ์ (ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่) ที่จัดทำโดย TBS มีอยู่ 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับ 1940 ฉบับ 1971 ฉบับประชานิยม และฉบับมาตรฐาน 2011 นอกจากนี้ TBS ก็กำลังแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นภาษามือไทยด้วย บางคนอาจจะตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงต้องมีการแก้ไขปรับปรุงสำนวนแปลหลายครั้ง ภารกิจดังกล่าวนั้นน่าจะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการจัดพิมพ์พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับมาตรฐานเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในความเป็นจริง เมื่อเวลาผ่านไป การแก้ไขปรับปรุงคำแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็ยังคงจำเป็นต้องทำกันอีกด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ คือ เหตุผลด้านภาษา ทุกภาษาในโลกรวมทั้งภาษาไทยล้วนแล้วแต่มีวิวัฒนาการ และเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทผู้ใช้ภาษาอยู่เสมอ จึงต้องมีการแก้ไขการใช้ภาษาที่ล้าสมัย หรือสำนวนที่สามัญในยุคหนึ่ง แต่เข้าใจยากในปัจจุบัน เหตุผลด้านสังคม สภาพสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทำให้ต้องคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อ่านหรือผู้ฟัง ซึ่งอาจไม่คุ้นเคยกับบริบทเบื้องหลังของผู้คนใน พระคริสตธรรมคัมภีร์ เช่น วัฒนธรรม ค่านิยม ฯลฯ หรือโลกทัศน์ของคนเหล่านั้นเกี่ยวกับบางประเด็นในสังคม เช่น เพศ […]

ทำไมยังคงคำว่า “ผัก” ในพระคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน ?

ทำไมยังคงคำว่า “ผัก” ในพระคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน ? คำถาม ในฉบับมาตรฐาน 2011 มาระโก 4:30-32 ทำไมยังคงคำว่า “ผัก” อยู่ในข้อ 32 เมื่อดูไปที่ฉบับ 1940 ในข้อที่ 31 ใช้คำว่า “เมล็ดพันธุ์ผักกาด” และ ข้อ 32 ใช้ว่า “ใหญ่กว่าผักทั้งปวง” ฉบับ 1971 ในข้อที่ 31 ใช้คำว่า “เมล็ดพืช” และข้อที่ 32 ยังใช้ว่า “ใหญ่กว่าผักทั้งปวง” แต่ในฉบับมาตรฐาน 2011 ใช้คำว่า “เมล็ดมัสตาร์ด” แต่ยังคงใช้คำว่า “ผัก” ซึ่งที่จริงน่าจะต้องเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่ให้ภาพที่ใหญ่พอให้นกมาอาศัย เพราะการที่จะใหญ่พอที่นกจะมาเกาะนั้น ไม่ใช่ผักแล้ว คำตอบ มาระโก 4:30-32 (ฉบับมาตรฐาน 2011) 30 พระองค์ตรัสอีกว่า “แผ่นดินของพระเจ้า จะเปรียบเหมือนสิ่งใด? หรือจะแสดงด้วยอุปมาอย่างไร? 31 ก็เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง […]

1 2 3 10