TBStory I พระคัมภีร์ทั้งเล่ม อ่านจบใน 6 วัน I ดร.กนก ลีฬหเกรียงไกร
ดร.กนก ลีฬหเกรียงไกร
อ่านจนแบบไม่อยากไปไหนเลยนะฮะ กินข้าวก็ไม่อยากกิน
I was so obsessed with Bible reading that I didn’t want to go anywhere or eat anything.
อ่านจนแบบ อื้อหือ มันเหมือนกับเราถูกดูดเข้าไปในพระวจนะพระเจ้าตลอดเวลา
I read it so much that I felt like I was sucked into it all the time.
ผมสนใจพระเจ้าตั้งแต่อยู่ ป.3 แล้ว
I became interested in God when I was in the third grade.
ตอนอยู่ ป.3 เนี่ย ผมมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ครูเขาโฆษณาตอนที่เรียนหนังสืออยู่
When I was in the third grade, I owned a book recommended by a teacher.
ครูบอกว่าเล่มนี้ดีนะ เป็นหนังสือภาพ ปรากฏว่าเป็นเรื่องราวปฐมกาลครับ
He said it was good. It’s a pictorial book that featured stories from Genesis.
พออ่านแล้วเป็นหนังสือภาพเราก็ชอบมากเลยนะ
I liked it very much because of the pictures in it.
ตอนนั้นก็คิดว่าเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องที่ชอบมากเลย อ่านแล้วรู้สึกมีความสุขมาก
I liked God’s stories very much. Reading them made me happy.
แล้วก็มีครั้งหนึ่ง อยู่ในช่วง ป.5 ล่ะมั้ง จำได้ โรงเรียนก็ดีมากเลย
One day as I was in the fifth grade,
เขาเปิดเพลงคริสต์มาส ฟังแล้วมีความสุขมากเลย
Christmas songs were played at my school. It made me happy.
แต่ว่าเก็บความประทับใจแบบเนี้ยสะสมเอาไว้ถึงจุดหนึ่ง
That was so memorable until one dayแล้วก็ไปถึงจุดที่เราก็เรียนหนังสือได้ดี กิจกรรมก็ทำได้ดีมากเลย
when I did well in my study and school activities.
ตอนนั้นก็คิดว่าชีวิตเราก็คงมีแค่นี้แหละมั้ง มีเพื่อนเยอะๆ เรียนหนังสือดีๆ
I thought that was all I could get for life-having many friends, getting good grades.
แต่เรียนเท่าไหร่ก็มีคนเก่งกว่าเราอยู่ดี
Yet no matter how good my study was, there were still someone who did better than me.
มีเพื่อนเท่าไหร่ก็ไม่รู้เพื่อนจริงใจขนาดไหนเหมือนกัน
I had many friends. Yet I didn’t know how genuine they were.
เราก็อยากได้เงินเยอะๆ อยากได้เยอะๆ ก็รู้สึกว่าก็ต้องการต่อไปเรื่อยๆ ตอนนั้นก็ท้อแท้เหมือนกัน
I wanted to make a lot of money. Yet my want never ended. At that point, I felt empty inside of me.
ขณะที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ทำอะไรหลายอย่างก็ท้อแท้ว่าชีวิตมันอยู่แค่นี้เหรอ
As a teenager, I did many things for fun. Yet I wondered if that was all life could offer.
จันทร์ถึงศุกร์เสาร์อาทิตย์แล้วก็จบแล้วก็มาใหม่ อะไรอย่างเนี้ย
From Monday to Friday and then Saturday and Sunday and the cycle repeated.
ก็เลยเอาล่ะ ในเมื่อเราอยู่กันแค่นี้ก็ไปแค่นี้ก็แล้วกัน
Since there was no other choice, I acquiesced to this reality.
ก็เลยจาก ม.4 ตอนนั้นไปสอบเทียบ ม.5 ก็สอบเทียบได้
Then I enrolled in a scheme that enabled me to skip the eleventh and twelfth grades.
ก็จาก ม.5 ก็ข้ามไปอยู่มหาวิทยาลัยเลย
I then entered the university.
แล้วก็มีวันหนึ่งตอนเดินอยู่ในคาเฟเทอเรียร้านอาหาร ก็นั่งอยู่
One day as I was sitting in a cafeteria,
มีพี่คนหนึ่งมาเป็นพยานให้ฟัง เป็นรุ่นพี่ BCC แล้วก็พูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง
one of my high school seniors approached me and told me about God.
แล้วก็ตอนนั้นใจมันสลายไปแล้วนะฮะ
At that very point, life had disappointed me.
พระเจ้าคงรู้เวลาของพระเจ้า ทำให้เรื่องราวพระเจ้าเข้ามาในเวลาที่เหมาะสม
I believe God knew His time and He came to me at a right timing.
ทีนี้พอผมมาเชื่อพระเจ้า ผมก็มีความรู้สึกว่าเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องจริงแล้วก็อ่านพระคัมภีร์แล้วรู้สึกประทับใจมาก
After I had received Him, I was so convinced that He was real and I was very impressed with the Bible.
แล้วก็ย้อนกลับไปถึงตอนสมัย ป.3 ด้วยว่า เราเคยอ่านปฐมกาลนะ
It brought me back to my third grade when I first read Genesis.
ก็เลยอ่านปฐมกาลใหม่ด้วยความรู้สึกใหม่
But now I felt differently when I read it again.
คราวนี้พออ่านแล้วรู้สึกว่าโอ้โหหยุดไม่ได้เลย
I just couldn’t stop when I read it this time.
อ่านพระคัมภีร์ อ่านไปอ่านมา โอ้โหมันดีจริงๆ
Reading the Bible was so much fun now.
พี่เลี้ยงก็คอยเชียร์เรานะ อ่านพระคัมภีร์ให้จบสิ
Moreover, my mentor encouraged me to complete reading the whole Bible.
มีคนหนึ่งนะเรียนพระคัมภีร์อยู่ อ่านพระคัมภีร์จบภายใน 10 วันเลยนะ
He mentioned a Bible student who completed reading it within ten days.
ผมก็ด้วยความเป็นวัยรุ่น ก็บ้าระห่ำ
As a teenager, I was outrageous.
ก็เลยอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่ปฐมกาล ถึงวิวรณ์เลยนะ อ่านๆๆๆ
So I started reading through the Bible from Genesis to Revelation.
อ่านจนแบบไม่อยากไปไหนเลยนะฮะ กินข้าวก็ไม่อยากกิน
I was so obsessed with Bible reading that I didn’t want to go anywhere or eat anything.
อ่านจนแบบ อื้อหือ มันเหมือนกับเราถูกดูดเข้าไปในพระวจนะพระเจ้าตลอดเวลา
I read it so much that I felt like I was sucked into it all the time.
ขอบคุณพระเจ้านะ ผมอ่านจบภายในเวลาหกวัน จบเลย (2.56 ภาพแทรก1)
Thank God. I finished reading it within six days.
ช่วงที่อ่านหกวันเนี่ย เชื่อไหมว่าผมใช้เวลากับพระคัมภีร์แบบที่ว่าทั้งวันทั้งคืนเลยนะฮะ
During those six days, believe it or not, I spent my time with the Bible day and night.
แล้วหกวันเนี่ยผมได้เรียนรู้อะไรมากกว่าพระคัมภีร์ด้วย คือการจัดการ การบริหารจัดการด้วย
And in those six days, apart from just learning the Bible. I also learned about management, too.
จำได้ว่าเอานาฬิกาจับเวลามาไว้ข้างหน้า จับเวลาถอยหลัง
I remembered that I used the clock to time my reading.
แล้วก็ทุกครั้งเวลาที่ถอยหลังหนึ่งรอบคือหนึ่งนาที ผมต้องจบสองหน้านี้ (ปั๊บๆๆ)
I aimed to read two pages within one minute.
ตอนนั้นก็อ่านจนกระทั่งวันสุดท้ายเนี่ย วันเดียวอ่านพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มหนึ่งวัน วันสุดท้าย
On the last day, I completed the entire New Testament within one day.
เรากะว่าทั้งเล่มนี้อ่านสองวัน แต่ว่าจบภายในวันเดียว
I thought I would finish the New Testament in two days. But I did it in one day.
ก็เลยชนะที่เราตั้งเป้าไว้เจ็ดวัน เราได้แค่หกวัน
So I beat the goal of seven days that I had set. It took me only six days.
ก็คือมาจากการที่เราลองผิดลองถูกตอนเริ่มต้น คิดว่าเราเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่ถึงสิ่งที่เราควรจะเป็น
This was the result of trial and error. I thought that’s the best I could do. But I could do even better.
ผมก็เลยเรียนรู้ในการบริหารจัดการด้วย
Through this, I also learned about management.
แล้วก็ผมก็คิดว่าสิ่งนี้ผมก็ได้ใช้ในการบริหารคริสตจักรด้วยนะ
And I believe I am now applying it in managing the church, too.
คือการรู้จักการจัดการเวลา จัดการงานต่างๆ ให้เป็นระเบียบอยู่ในเวลา
That is to manage my time and all the church ministries.
(4.06 สไลด์แทรก “การวางแผนอ่านพระคัมภีร์ช่วยพัฒนาทักษะการบริหาร”)
Planning Bible reading honed managerial skills
ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเห็นคนพกพระคัมภีร์เล่มโตๆ อย่างนี้ไปโบสถ์แล้ว ก็จะพกแต่มือถือ
Nowadays I seldom see people bring the Bibles to church. They only bring their mobile phones.
สำหรับผม ผมว่าอ่านเป็นเล่มมีจุดดีตรงที่ว่า เราสามารถที่จะเห็น
For me, reading the paper Bible is good in that we can see,
แล้วก็ได้จับต้อง แล้วก็ได้พลิก แล้วก็ได้กลับไปกลับมาได้
feel and turn its pages back and forth.
แต่ว่าถ้าเป็นดิจิตอลมันก็ได้ แต่มันก็อาจจะยากกว่านี้นิดนึง
But if we read a digital version of it, it’s more difficult to do the same thing.
แต่ความสะดวกของดิจิตอลก็คือ เป็นการอ่านแล้วก็ มันก็อ่านให้เราฟังได้ด้วยนะ
However, one good thing about the digital Bible is you can listen to it.
เวลาที่เราอยากจะกดให้มันอ่านเราก็กดไปเลย แต่ว่าถ้าในหนังสือเนี่ยเราต้องอ่านเอง
You just need to press a button. For the printed Bible, we have to read it by ourselves.
แต่ผมรู้สึกส่วนตัวนะ ผมว่าเวลาที่เราจินตนาการในตัวเอง
But for me, when we read the paper Bible,
ที่มองเข้าไปในพระคัมภีร์ แล้วก็เห็นเนื้อหา แล้วก็เกิดจินตนาการในสมองเนี่ย
we can look deeper into the content which evokes our imagination.
ผมว่าผมรู้สึกกับพระคัมภีร์ที่เป็นกระดาษได้ดีกว่าในดิจิตอล
I can connect with the paper Bible better than its digital version.
เวลาอ่านหนังสือ พอได้จับต้องหนังสือที่เป็นตัวตนเนี่ย ได้จับกระดาษอะไรแล้วเราพลิกกลับไปกลับมา
When I read paper books, feel them physically and turn their pages back and forth,
ทบทวนบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว แล้วเราก็จินตนาการสิ่งต่างๆ ออกมาได้อย่างดี ผมก็ทำอย่างนี้ตลอด
I could quickly reflect upon it and I can have imagination about it. This is what I always do.
อ่านแบบเนี้ยจะชอบมากกว่า จะได้ความรู้สึกของการดีโวชั่น ทบทวนส่วนตัว
This is my preference. It gives me a devotional feel and allows a personal reflection.
ได้รีเฟล็คท์บางอย่างเวลาที่อ่านพระคัมภีร์
I get to have some reflection when I read it.
(5.18 สไลด์แทรก “การอ่านพระคัมภีร์กระดาษช่วยในการใคร่ครวญได้อย่างดี”)
Reading the paper Bible enhances your reflection
ผมไม่รู้ว่าพระคัมภีร์เป็นอะไรสำหรับสำหรับพี่น้องบ้างนะฮะ
I don’t know what the Bible is to you.
แต่ผมรู้สึกว่าพระคัมภีร์เป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้ว เป็นชีวิตผมไปแล้ว
But for me, the Bible has become a part of me. It has become my life.
เพราะฉะนั้นเวลาที่ถาม ผมอ่านหนังสือหลายๆ เล่มยังไงก็ไม่สู้พระคัมภีร์นะฮะ (5.33 ภาพแทรก2)
I have read many books but none of them can compare with the Bible.
ผมจะอ่านพระคัมภีร์หนึ่งรอบเสมอทุกปีก่อนจะอ่านหนังสือหลายๆ เล่ม ซึ่งผมก็อ่านเยอะด้วย
I read the whole Bible every year before reading other books.
แล้วผมรู้เลยว่าอ่านหนังสือเล่มต่างๆ เนี่ยให้ความรู้ก็จริง ให้มุมมองที่ดี ทัศนะที่ดีก็ตาม (5.48 ภาพแทรก3)
I realise that reading other books is beneficial. It enhances my knowledge and perspective.
แต่ไม่มีเล่มไหนเป็นชีวิตของผมได้เท่าพระคัมภีร์เลย
Yet no other books impacted my life like what the Bible did.
(ผมอ่านหนังสือมามาก แต่ไม่มีเล่มไหนเหมือนพระคัมภีร์)
I have read many books but none of them is like the Bible
ดังนั้นพระคัมภีร์จึงเป็นกรอบชีวิตผมจริงๆ ในการคิดตัดสินใจ ในการดำเนินชีวิต
The Bible provides the framework for my life. It guides my decision and my living.
เป็นสิทธิอำนาจที่ผมยอมรับและเชื่อ
It is the authority that I accept and believe in.
แล้วผมรู้ว่านี่เป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า ที่ทรงพลังอำนาจในชีวิตของผม
It is the words that come from God, full of power
มากกว่าหนังสือทั้งหมดที่ผมเคยเห็นมาในโลกนี้เลย
more than any other books I have come across in this world.
ร่วมสนันสนุน สมาคมพระคริสตธรรมไทย (TBS) ได้ที่
บัญชี สมาคพระคริสตธรรมไทย ธนาคารกรุงเทพ สาขาอินทามระ เลขที่บัญชี 138-0-86415-5
Bank details for donations
Account name : Thailand Bible Society Bank name : Bangkok Account number : 138-0-86415-5
ติดต่อเจ้าหน้าที่ โทร. 064-137-0235 หรือ 02-279-8341 ต่อ 47