กุญแจความสำเร็จที่พระเจ้าประทาน
ทุกวันนี้มีห้างสรรพสินค้าเกิดใหม่ทั้งเล็กกลาง ใหญ่ ไปจนถึง ระดับเมกกะอยู่ทั่วกรุงเทพและปริมณฑลเต็มไปหมดจนนับแทบไม่ไหว นอกจากคนที่ไปเดินเที่ยว ทานอาหาร ดูหนังแล้ว ผมสังเกตเห็นกลุ่มพ่อแม่จำนวนไม่น้อยพาลูกๆของตนมาเรียนพิเศษทั้งวิชาภาษาต่างประเทศ ดนตรีร้องเพลง หรือแม้กระทั่งศิลปะการป้องกันตัว สังคมไทยสมัยนี้แข่งขันกันเรียนรู้จริงๆ พ่อแม่ต่างยินดีที่จะจ่ายเพื่อจับจองห้องเรียนที่เชื่อว่าจะทำให้ลูกของตนประสบความสำเร็จในอนาคต การให้สิ่งที่ดีกับลูกเป็นเรื่องที่น่ายกย่องจริงๆ แต่หลายครั้งมันกลายเป็นความสุดขั้วเมื่อพ่อแม่กับพ่อแม่แข่งกันเองว่าลูกของใครจะเรียนได้มากกว่า ลูกของใครจะเรียนได้ดีกว่า เรากำลังปลูกฝังสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกหลานของเราจริงๆหรือเป็นเรื่องธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มักชอบคนเก่ง คนมีความสามารถ มีวาทศิลป์ มีบุคลิก ท่าทางน่าเชื่อถือ และคงปฏิเสธได้ยากว่าคนในยุคนี้ยกย่องคนที่ฐานะ ระดับการศึกษา หรือตำแหน่งทางสังคม และเพื่อให้แน่ใจว่าบุตรหลานของตนจะขึ้นไปอยู่ในระดับแถวหน้าได้จึงกลายเป็นค่านิยมของพ่อแม่ที่จะเลือกสรรโรงเรียนที่ตัวเองคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดโดยไม่สนใจว่าจะมีระยะเวลาเดินทางจากบ้านไกลสักเพียงใด ตลอดจนเลือกชั้นเรียนพิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ที่ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้วิชาการ แต่พ่อแม่สมัยใหม่ต้องการให้ลูกของตัวเองมีความสามารถรอบด้าน ชั้นเรียนกีตาร์ เปียโนดนตรีไทย รวมทั้งการร้องเพลง หรือเต้น จึงกลายเป็นทางเลือกหลักสำหรับหลายครอบครัว ภาพของพ่อแม่ที่ยืนรอนั่งรอลูกเรียนพิเศษตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำจึงเริ่มกลายเป็นภาพที่ชินตา
แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนมีความปรารถนาดีกับลูกของตนเองจริงๆ และพยายามทุ่มเทอย่างที่สุด และนี่เป็นความรักของพ่อแม่ที่เสียสละเงินทองและเวลาส่วนตัวเพื่อให้ลูกได้และประสบความสำเร็จในอนาคต แต่สิ่งเหล่านี้ใช้กุญแจที่สำคัญที่สุดที่เขาจะใช้ยืนหยัดในยุคต่อไปหรือไม่ ในวันเวลาที่พ่อแม่ไม่อาจยืนอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป วันนั้นเขาจะเติบโตมาเป็นคนเช่นไร ผมอยากจะยกตัวอย่างชายคนหนึ่งจากพระคัมภีร์ ชายซึ่งพระเจ้าเป็นคนมอบกุญแจแห่งความสำเร็จให้กับเขา ชายคนนั้นชื่อว่า“โยชูวา”ถ้าผู้อ่านเคยชมภาพยนตร์เรื่อง “บัญญัติสิบประการ” “ปรินซ์ออฟอียิปต์” หรือ “Exodus” เราส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับชายที่ชื่อโมเสส ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ให้นำชนชาติอิสราเอลออกจากความเป็นทาสจากแผ่นดินอียิปต์ ซึ่งมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ที่ชื่อพระธรรมอพยพ แต่ความจริงแล้วเรื่องไม่ได้จบแค่การข้ามทะเลแดง เล่าเรื่องยาวให้สั้น ความทรยศของคนอิสราเอลต่อพระเจ้าของพวกเขาทำให้เขาต้องทนทุกข์อยู่ในถิ่นทุรกันดารนานถึง 40 ปี และโมเสสในวัย 120 ปี กำลังจะจากพวกเขาไปแล้ว แต่ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้นเพราะชนชาติอิสราเอลยังไม่ได้เข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาและในที่สุดพระเจ้าทรงเลือกชายที่ชื่อว่าโยชูวาเข้ามาสืบต่อภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ ถ้าเรามีโอกาสได้อ่านพระธรรมโยชูวาเราจะพบว่าโยชูวากลัว เขากลัวที่จะต้องนำชนชาตินี้ เขากลัวเพราะเขากำลังจะต้องมาสืบงานต่อจากผู้นำที่ยิ่งใหญ่มากอย่างโมเสส เรารู้ก็เพราะพระเจ้าทรงตรัสกับเขาหลายครั้งว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด” พระเจ้าทรงให้กุญแจแห่งความสำเร็จกับโยชูวา ซึ่งผมเชื่อว่าจะให้บทเรียนอย่างมากกับพวกเรา
กุญแจดอกแรก“อย่าห่างจากคู่มือชีวิต”
พระคัมภีร์โยชูวา1:7 บันทึกว่า “เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมดซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหันเหจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวาหรือทางซ้าย เพื่อเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดีในทุกแห่งที่เจ้าไป” พระเจ้าย้ำเตือนกับโยชูวาไม่ให้เขาลืมว่าพระเจ้าทรงประทานบทบัญญัติของพระองค์ ซึ่งเปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะชี้ทางที่ถูกต้องแก่เขา
ผู้อ่านที่รักท่านปรารถนาให้ลูกหลานของท่าน“ได้รับความสำเร็จอย่างดีในทุกแห่งที่เจ้าไป”เหมือนอย่างในพระคัมภีร์ข้อนี้ไหมครับ ถ้าคำตอบคือใช่ สิ่งแรกที่ท่านจะให้เขาก่อนความรู้ทุกอย่างนั่นคือความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า เราพบความจริงอย่างหนึ่งว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์หลักการแพทย์ ความรู้ในหลายๆแขนง เมื่อผ่าน ไประยะเวลาหนึ่งจะมีความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลมาจากงานวิจัยและการค้นพบใหม่ๆแม้แต่ตารางธาตุทางเคมีในสมัยที่ผมเรียนกับยุคนี้ผ่านไปแค่ไม่ถึงยี่สิบปี ก็กลายเป็นคนละเรื่องไปเสียแล้ว แต่ความจริงจากพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้าท่านต้องการให้ลูกหลานของท่านประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ท่านจะยอมให้เขาละสายตาไปจากพระคัมภีร์ไม่ได้ ถ้าท่านเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิต ท่านต้องเป็นแบบอย่างนั้นให้กับเขาด้วย มีงานวิจัยชัดเจนพบว่าลูกมักจะหัดอ่านหนังสือจากสิ่งที่พ่อแม่อ่านเป็นประจำ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นหนังสือพิมพ์ แต่ถ้าเราต้องการให้ลูกได้รับรู้ในสิ่งที่มากกว่าข่าวร้ายๆในหน้าหนังสือพิมพ์ หนังสือที่ท่านอ่านเป็นประจำก็ควรเป็นพระคัมภีร์ และนี่เป็นกุญแจดอกแรกที่พระเจ้าทรงประทานแก่โยชูวา
กุญแจดอกต่อไป“เดินตามสิ่งประเสริฐ”
พระธรรมโยชูวา3:6 กล่าวว่า “โยชูวาสั่งพวกปุโรหิตว่า ‘จงหามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน’ พวกเขาก็หามหีบพันธสัญญาเดินไปข้างหน้าประชาชน” มีผู้นำจำนวนไม่น้อยที่มักเดินพลาดตกลงในหลุมกับดักของคำเยินยอ พวกเขามักชอบอยู่ข้างหน้าเพื่อให้ทุกคนเห็นเขาอย่างชัดเจน ทั้งๆที่ในบางขณะไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย โยชูวาในฐานะผู้นำคนใหม่ คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้รับการยอมรับจากประชาชนเทียบเท่ากับโมเสสซึ่งพาพวกเขาเดินข้ามทะเลแดงมาแล้วเมื่อสี่สิบปีที่ผ่านมา โยชูวาไม่ได้ต้องการยกตนเองเทียบเท่ากับโมเสส เขาไม่ได้เดินตกหลุมกับดักนั้น แต่เขาทำสิ่งหนึ่งนั่นคือ การสั่งให้ปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาไปหน้าขบวนก่อนที่พวกเขาจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนโยชูวารู้ว่าสิ่งที่เขามีไม่แพ้โมเสสก็คือ เขามีพระเจ้านำหน้าและเขามีความศรัทธาในพระองค์ และการอัศจรรย์ที่หายไปนานถึงสี่สิบปีก็เกิดขึ้นอีกครั้ง น้ำในแม่น้ำจอร์แดนกลายเป็นดินแห้งให้ประชาชนสามารถเดินข้ามไปฝั่งตะวันตกของแม่น้ำได้จนครบทุกคน พี่น้องที่รักในสถาบันครอบครัวของเราไม่ว่าเราจะให้พ่อหรือแม่เป็นใหญ่ เราก็สามารถพบปัญหาได้ทั้งสิ้น แต่หากเราให้พระเจ้าเป็นใหญ่เป็นศูนย์กลาง เป็นจุดรวมใจ พระองค์จะสามารถพาทั้งครอบครัว และพาลูกหลานของเราข้ามผ่านวันยากลำบากได้ แม้ในวันนั้นเราจะไม่ได้อยู่กับเขาแล้วก็ตาม แม้การเรียนพิเศษหลายแขนงจะมีประโยชน์สำหรับเด็กในบางประการ แต่หากเรายอมแลกกับเวลาแห่งการนมัสการและสะบาโต ซึ่งเราควรจะสรรเสริญพระเจ้า ก็อาจหมายถึงว่าเราได้เปลี่ยนหัวขบวนรถไฟเสียแล้ว ผมจึงอยากท้าทายท่านว่าในเวลานี้หัวขบวนรถไฟแห่งชีวิตของท่านและลูกๆยังคงเป็นพระเจ้าอยู่หรือไม่เพราะถ้าไม่ใช่เช่นนั้นปลายทางชีวิตของเราและลูกก็น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
กุญแจดอกสุดท้าย“กุญแจแห่งการนับพระพร”
เมือโยชูวาและประชาชนเดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาแล้ว โยชูวาได้ปฏิบัติตามรับสั่งของพระเจ้าโดยการเลือกตัวแทนจากทุกเผ่าไปเก็บหินที่กลางแม่น้ำจอร์แดนและนำมาเรียงเป็นเครื่องหมายแห่งความทรงจำ ดังที่บันทึกไว้ในโยชูวา4:7 ว่า“…ศิลาเหล่านี้จะเป็นอนุสรณ์เป็นนิตย์แห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอล” โยชูวาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร? คงตอบไม่ยากนักหากว่าเราถามคนอิสราเอลหลังจากข้ามแม่น้ำทันที แต่หากผ่านไปสิบปี ยี่สิบปี คนรุ่นหลังก็คงนึกสงสัยและไม่รู้ที่มาของอนุสรณ์เหล่านี้เหมือนดังที่บันทึกไว้ในโยชูวา 4:21 ว่า “ท่านจึงกล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า เวลาภายหน้าเมื่อลูกหลานจะถามบิดาของเขาว่า ‘ศิลาเหล่านี้มีความหมายอะไร?’ ” โยชูวาจึงสอนให้อิสราเอลเข้าใจที่จะตอบลูกหลานของตนว่า “เพื่อชนชาติทั้งสิ้นทั่วพิภพจะได้ทราบว่าพระหัตถ์พระยาห์เวห์นั้นทรงฤทธิ์ เพื่อพวกท่านจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นนิตย์” (โยชูวา4:24) พี่น้องที่รักการขอบคุณขณะที่ได้ของขวัญนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การสำนึกคุณต่อของขวัญภายหลังจากที่ระยะเวลาผ่านไปแล้วเป็นเรื่องยาก พระคัมภีร์ข้อนี้จึงสอนให้เรานับพระพรในชีวิตที่พระเจ้าทรงมีต่อเราทั้งหลายเสมอ เพื่อว่าสิ่งที่เราพูดและกล่าวขอบคุณนั้นลูกหลานของเราจะได้รับสืบต่อและเติบโตขึ้นท่ามกลางความมั่นใจในพระเจ้าผู้ทรงมีพระพรต่อครอบครัวของเขา ต่อพ่อแม่ของเขา ดังนั้นการเรียนพิเศษหากกินเวลามากจนกระทั่งพ่อแม่ลูกไม่เคยใช้เวลาบนโต๊ะอาหารด้วยกันก็อาจเป็นการเรียนพิเศษที่ไม่คุ้มค่า เพราะการพูดคุยบนโต๊ะอาหารในขณะที่ลูกๆ ยังยินดีจะฟังพ่อแม่อยู่นั้นจะมีเวลาเหลือเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นก่อนที่เขาจะเติบโตขึ้น ต่อให้มีเงินมากขนาดไหนวันหนึ่งท่านก็จะไม่สามารถซื้อช่วงเวลาทองนี้กลับมาได้อีกแล้ว ขอพระเจ้าเมตตาให้เราทั้งหลายได้ใช้เวลาของครอบครัวในการอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณให้มากยิ่งขึ้นเถิด เพราะนั่นเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิตของลูกหลาน เหตุการณ์ความไม่สงบในสังคมประเทศไทยได้ย้ำเตือนให้เราทราบว่าชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่นอน เราไม่อาจรู้ว่าเรามีเวลาอยู่กับคนที่เรารักนานแค่ไหน ในเวลาที่เรายังเหลืออยู่นั้นอย่าลืมมอบกุญแจแห่งความสำเร็จ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่โยชูวาและวันนี้พระองค์ประทานแก่ลูกหลานผ่านทางพ่อแม่ทุกคน เพื่อในวันเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ เราจะสามารถมั่นใจได้เต็มที่ว่าเราได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตให้แก่คนที่เรารักแล้วอย่างแท้จริง ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Naypong – Freepik.com