วัยใส วัยสร้างสรรค์ 1/21

วัยใส วัยสร้างสรรค์ “ความคิดสร้างสรรค์คือความฉลาดอันสนุก!” (Creativity is intelligence having fun.) -อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์-(Albert Einstein) ช่างน่าเศร้าที่วัยรุ่นซึ่งควรจะเป็นวัยใสบ้านเรา (รวมทั้งผู้ใหญ่วัยสายด้วย) กลับกลายเป็นเด็กวัยไฟที่ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเอง และติดเชื้อของการชอบ “Copy” ! เราก็ก็อปปี้ทุกอย่างที่ขวางหน้า! ก็อปปี้หนัง ก็อปปี้เพลง ก็อปปี้กระเป๋า ก็อปปี้เสื้อผ้า  ฯลฯ แม้แต่ประชาธิปไตย เราก็ก็อปปี้มาและที่หนักหนากว่านั้นก็คือ เราก็อปปี้หน้าตา (ผ่านมีดหมอ) นิสัย ท่าทางและค่านิยม แนวคิด และวิถีชีวิตของคนอื่นมาอย่างน่าหน้าตาเฉย! ทั้ง เคป๊อบ (K-Pop) , เจป๊อบ (J-Pop) หรืออะไรๆ ที่ออกมาใหม่เป็นกระแส เราเอาหมด! แต่ที่น่ากลัวมากเหลือเกินในปัจจุบันนี้ก็คือ เราก็อปปี้ความรุนแรง ยาเสพย์ติด ความคลั่งใคล้ ในวัตถุนิยม ซิ่งแข่งรถ (ทั้งแว๊น ทั้งสก๊อย) และในเรื่องเพศ จนไปไกลมากและแรงกว่าต้นฉบับ(Original) เหล่านั้นไปเสียอีก! เด็กไทยในปัจจุบันอายุ 11-12 ปี ก็ตั้งท้องแล้ว […]

สิ่งที่เด็กวัยใสต้องการที่สุด? 11/20

สิ่งที่เด็กวัยใสต้องการที่สุด? ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐ ส่งนักศึกษาวิชาสังคมวิทยาเข้าไปในสลัมแห่งหนึ่งเพื่อเก็บข้อมูลและประวัติของเด็กชายวัยใส 200 คน โดยให้นักศึกษาเขียนประเมินอนาคตของเด็กชายแต่ละคนส่งกลับมาด้วย! อนิจจา!  ผลปรากฎว่า เด็กเหล่านี้ดู “ไร้อนาคต” ในสายตาและความคิดของนักศึกษาผู้ประเมิน! …25 ปีต่อมา มีศาสตราจารย์คนใหม่เข้ามาทำการศึกษาค้นคว้าต่อ เขาได้มอบหมายให้นักศึกษาชุดใหม่เข้าติดตามโครงการนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กเหล่านั้นบ้าง! ผลจากการติดตามได้ข้อมูลว่า… มีเด็กชาย 20 คน ย้ายที่อยู่ หรือเสียชีวิตแล้ว และจากเด็กชาย 180 คน ที่เหลือนั้น …มีเด็กชาย 176 คน ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานเกินกว่ามาตรฐานทั่วไป อาทิ  เป็นทนายความ  แพทย์  และนักธุรกิจ! ศาสตราจารย์เจ้าของโครงการนั้นรู้สึกแปลกใจมาก จึงตัดสินใจให้นักศึกษาของตนติดตามหาข้อมูลต่อไปอีก เขาให้ทีมงานถามอดีตเด็กวัยใสเหล่านั้นแต่ละคนด้วยคำถามเดียวกันว่า … “คุณประสบความสำเร็จได้อย่างไร?” จากคำตอบที่พรั่งพรูออกมาจากปากแต่ละคนนั้น ทีมงานสัมผัสได้ถึงความรู้สึกซาบซึ้งที่พวกเขาเหล่านั้นมีต่อคุณครูคนหนึ่ง! เมื่อศาสตราจารย์ท่านนี้ได้ทราบข้อมูลนี้ ก็รีบดำเนินการสืบเสาะจนกระทั่งพบว่า คุณครูท่านนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เขาจึงออกตามหาจนกระทั่งได้พบเธอ ซึ่งก็ยังคงกระฉับกระเฉงอยู่! ท่านศาสตราจารย์จึงถามเธอว่า… “คุณครู ใช้สูตรวิเศษอะไรครับ จึงสามารถดึงให้เด็กชายเหล่านั้นออกจากสลัมมาได้ และยังประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วย?” เมื่อได้ยินคำถามนั้น ดวงตาของคุณครูท่านนี้ก็เปล่งประกายแห่งความสุขขึ้นมาทันที เธอแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า… “อันที่จริงแล้วเรื่องมันง่ายมากเหลือเกิน ฉันไม่มีสูตรลับสูตรเด็ดอะไรหรอก…!” […]

วัยใสใช่ไร้ประโยชน์ 11/20

วัยใสใช่ไร้ประโยชน์ “การต่อต้านคอรัปชั่นในรัฐบาล คือ หน้าที่สูงสุดที่คนรักชาติต้องกระทำ!” -จี เอ็ดเวิร์ด กริฟฟิน- (To oppose corruption in government is the highest obligation of patriotism.) -G. Edward Griffin- ในปัจจุบัน สังคมไทยกำลังน่าเป็นห่วงในแทบทุกด้าน หนึ่งในนั้นคือ ทัศนะเกี่ยวกับ คอรัปชั่น! จากการสำรวจของ เอแบคโพล จากศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ   จากประชาชน 17 จังหวัด จำนวน 2559 คน พบว่า …ร้อยละ 64.5 ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น หากทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี และตนเองได้รับประโยชน์ด้วย! ช่างน่าเป็นห่วงที่มาตรฐานวัดความถูกผิด หรือความดีชั่วของคนไทยในปัจจุบันนี้ คือ เศรษฐกิจ หรือผลประโยชน์ที่ได้รับ! ศาสนาของคนยุคนี้ คือ “ปากท้อง” หรือ “เงินทอง!” […]

เรื่องน่าชื่นใจของเด็กวัยใส 11/20

เรื่องน่าชื่นใจของเด็กวัยใส “ชีวิตที่อยู่เพื่อผู้อื่นเท่านั้นที่ควรคู่ต่อการดำรงอยู่!” (Only a life lived for others is worth living.) -อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์-(1879-1955)- 1 ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของรัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา มีเด็กชายอายุ 15 ปีคนหนึ่ง ชื่อไบรอัน ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมอง! เขาต้องเข้ารับการบำบัดรักษาโดยใช้การฉายรังสีและทำคีโม ผลของกระบวนการบำบัดรักษาทำให้ผมของเด็กชายวัยใสคนนี้ร่วงจนหมดศีรษะของเขา  หากใครเป็นเด็กวัยเดียวกันคงจะพอรู้นะว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร?   นั่นคือเขาอายแทบตาย! แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ เพื่อนๆ ในชั้นเรียนของเขาได้ร่วมกันกระทำสิ่งหนึ่งที่แม้แต่บรรดาพวกผู้ใหญ่ยังรู้สึกตื้นตัน นั่นคือ บรรดาเด็กผู้ชายในชั้นเรียนของไบรอัน ต่างกลับไปถามคุณแม่ของพวกเขาว่า … “แม่ครับ ผมจะขออนุญาตโกนผมบนศีรษะได้ไหมครับ?” คุณแม่ถามว่า “ทำไม?” พวกเด็กชายวัยใสเหล่านี้ตอบคุณแม่ว่า … “เพื่อว่า ไบรอันจะได้ไม่เป็นเด็กหัวโล้นคนเดียวในโรงเรียนครับ!” ช่างน่าประทับใจที่ในวันต่อมา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของเมืองนั้น มีภาพบรรดาคุณแม่ทั้งหลายกำลังโกนผมให้กับลูกชายของพวกเธอ โดยมีสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวช่วยกันส่งเสียงเชียร์อย่างเต็มที่! เด็กวัยใสอย่างนี้ช่างทำให้โลกนี้ดูสดใสขึ้นมาในทันทีเลยใช่ไหมครับ? 2 ณ  โรงเรียนแห่งหนึ่ง มาร์ค กำลังเดินออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน! ระหว่างทางเขามองเห็นเด็กวัยใสวัยใกล้เคียงกับเขาเดินสะดุด ทำให้หนังสือที่หอบมาด้วยตกลงกับพื้นพร้อมกับเสื้อหนาว […]

คนถูกรักมักจะลืม 1/20

คนถูกรักมักจะลืม วันแห่งความรักเป็นโอกาสที่ใครหลายคนเฝ้ารอ   เป็นวันแห่งการตัดสินใจที่ผู้ชายบางคนจะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองบอกว่าเธอมีค่ากับเขามากแค่ไหน  เป็นวันที่ผู้หญิงหลายคนรวบรวมความกล้าที่จะมอบช็อกโกแลตที่หอมหวานแทนความในใจของตัวเอง  แต่ถ้าความรักเปรียบดังสมุดบันทึกสักเล่ม มันคงแอบน้อยใจที่มีหน้าถูกบันทึกไว้เพียงวันเดียว และหน้าเดียวเท่านั้น  แต่หน้าที่เหลือกลับว่างเปล่า  บางทีเราอาจจะเข้าใจวันแห่งความรักผิดไป และไม่แน่ว่าถ้าเราดูให้ดี หน้าสมุดบันทึกที่เราคิดว่าว่างเปล่าอาจเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ถูกเขียนไว้ด้วยหมึกธรรมดา ไม่มีสีสัน ไม่ฉูดฉาด แต่เมื่อได้อ่านอาจจะเรียกน้ำตาแห่งความซาบซึ้งให้ชุ่มชื่นใจก็เป็นได้  ย้อนกลับไปคิดถึงวาเลนไทน์ในชีวิตของตัวเราเอง บางครั้งเราจดจ่อกับของขวัญมีค่ามากมายในแต่ละปีที่ทั้งได้รับและมอบให้ แต่ไม่ทันได้พิจารณาถึงวันธรรมดาในหน้าความทรงจำอื่นๆ ที่ความรักบอกเล่าเรื่องราวของมันเอาไว้  ผมอยากเชิญชวนให้ผู้อ่านทุกคนได้เปิดสมุดบันทึกความรักในความทรงจำของเราดูทีละหน้าช้าๆ ไปด้วยกัน พระธรรมสุภาษิตบทที่ 31:27-31 ผมมักมีโอกาสใช้ในการเทศนาทั้งในโอกาสวันแม่  หัวข้อการเลือกคู่ครอง หรือแม้แต่เรื่องระเบียบวินัยฝ่ายวิญญาณ  แต่สำหรับครั้งนี้ผมขอใช้พระธรรมตอนนี้ในฐานะมัคคุเทศก์แห่งความรักที่จะพาเรารำลึกถึงบางอย่างที่เรามองข้ามไปถึงสามประเด็นใหญ่ ประการแรก “จงซาบซึ้งในความปกติ” ในพระธรรมสุภาษิต 31:27 ได้บันทึกไว้ว่า “เธอดูแลความเป็นอยู่ในครอบครัวอย่างดี  และไม่เคยเกียจคร้าน” ถ้าเราอ่านย้อนขึ้นไปในข้อก่อนหน้านี้  เราจะเห็นถึงกิจวัตรมากมายที่คนเป็นแม่เป็นภรรยาได้จัดเตรียมเพื่อทุกคนในบ้าน  พระธรรมในข้อนี้สรุปความว่า “เธอดูแลความเป็นอยู่ในครอบครัวอย่างดี และไม่เคยเกียจคร้าน”  ซึ่งมีความหมายว่า มีคนผู้หนึ่งได้ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ อย่างทุ่มเท  ทำอย่างดีเพื่อทุกคน และทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย  ผมยอมรับว่าหลายครั้งผมตื่นเต้นกับมื้ออาหารพิเศษ  การไปทานอาหารหรูๆในโรงแรม  เนื้อปลาดิบที่เราไม่ค่อยมีโอกาสทาน เนื้อวัวชั้นดีที่นานๆ จะมีโอกาสได้ลิ้มลอง  เรายกย่องอาหารเหล่านี้  ไม่ต่างอะไรกับความตื่นเต้นจากดอกไม้ในวันวาเลนไทน์  ทุกครั้งที่ได้ทานอาหารแสนอร่อยนอกบ้าน  บางครั้งเราชมเชยแล้วชมเชยอีก จนบางทีเรากลับมองข้ามและเพิกเฉยกับอาหารที่คุณแม่จัดเตรียมไว้ให้เราทุกเช้า  […]

ถ้าปีนี้… ไม่มีคริสตมาส 4/19

ถ้าปีนี้… ไม่มีคริสตมาส ในยุคของ Social network แทบทุกเช้าจะมีข้อความเตือนเราอยู่เสมอว่าวันนี้เป็นวันเกิดของใครบ้าง หรือไม่ก็บอกว่าวันนี้เมื่อหลายปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้น แต่ระดับความใส่ใจของแต่ละคนเป็นเรื่องที่เทคโนโลยีช่วยอะไรไม่ได้ เราอาจจะมองเห็นข้อความเตือนแล้วรีบเขียนอวยพร หรืออาจจะมองข้ามไปก็ได้ เราอาจจะเขียนสุขสันต์วันเกิดให้กันได้ง่ายๆ แต่หัวใจที่เรารู้สึกตามสิ่งที่สื่อสารยังคงความหมายอยู่มากแค่ไหนกัน และโดยไม่ต้องมีข้อความเตือนใดๆ จากเฟซบุ๊คหรือไลน์ แต่เราทุกคนที่ทั้งเชื่อพระเจ้า หรือแม้แต่ไม่รู้จักพระองค์ ต่างก็รู้ว่าวันที่ 25 ธันวาคม คือวันอะไร บางทีถ้าเราลองถามใจเราจริงๆ เราคงพอจะรู้ว่าเราสุขสันต์วันเกิดให้องค์พระเยซูคริสต์เพียงด้วยปาก ด้วยข้อความที่เราพิมพ์ หรือมาจากหัวใจส่วนลึกกันแน่ พระคำของพระเจ้าในเฉลยธรรม-บัญญัติบทที่ 4 ข้อที่ 29 กล่าวว่า “แต่ ณ ที่​นั่น​แหละ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​แสวง​หา​พระ​ยาห์-​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน ถ้า​ท่าน​ค้น​หา​พระ​องค์​ด้วย​สุด​จิต​และ​สุด​ใจ ท่าน​จะ​พบ​พระ​องค์” พระคำตอนนี้ได้ถูกกล่าวเตือนประชากรอิสราเอลเมื่อหัวใจของพวกเขาหันไปกราบไหว้รูปเคารพที่สลักด้วยไม้และด้วยหิน เพื่อเตือนใจของพวกเขาว่า “ณ ที่นั่นแหละ” ถ้าพวกเขากลับใจใหม่ หันกลับมาและแสวงหาพระเจ้าพวกเขาจะพบพระองค์อีกครั้ง พี่น้องที่รักวันคริสตมาสสำหรับพวกเราคืออะไรกันแน่ เป็นแค่ความดีใจจากการหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน ความตื่นเต้นจากโบนัสปลายปี ภาระหนักในการจัดงานเฉลิมฉลอง หรือว่าคริสตมาสยังคงเป็นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับเรากันแน่ เพราะถ้าเราพลาดจากแก่นของวันคริสตมาส มันก็อาจเป็นไปได้ว่าแม้เรายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟของการตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อวันคริสตมาส แม้เราจมอยู่บนกองของขวัญมากมาย แต่แท้จริงแล้วเราอาจห่างไกลจากวันคริสตมาสจนเหมือนไม่มีวันคริสตมาสสำหรับเราอีกต่อไป และวันนี้พระเจ้าได้ให้พระคำข้อนี้เพื่อเตือนใจเราแสวงหาหัวใจของวันคริสตมาสที่แท้จริงอีกครั้ง ประการแรก “ยอมรับว่าเรายืนอยู่ที่ไหน?” พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “แต่ ณ […]

“ริษยา รีบยอมรับ รีบจัดการ” 3/19

“ริษยา รีบยอมรับ รีบจัดการ” ผมมีเพื่อนบางคนที่เมื่อรำลึกถึงอดีตที่เคยใช้เวลาด้วยกันนั้น เขาไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรทั้งในด้านการเรียน กิจกรรม หรือบุคลิกภาพพิเศษ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบันกลับพบว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่สังคมยกย่องว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิต และเมื่อมีโอกาสได้พบเพื่อร่วมรุ่นในสมัยนั้น กลับมีเสียงกระซิบบอกว่าความสำเร็จของเขามาจากความบังเอิญเท่านั้น เขาโชคดีกว่าคนอื่น เขาเผอิญทำสำเร็จ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้ชื่นชมยกย่องในความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย และผมสัมผัสได้ทันทีถึงความรู้สึกไม่พอใจของเจ้าของเสียงกระซิบนั้นที่มีต่อความสำเร็จและได้ดีของเพื่อน และผมเรียกมันว่า ความริษยา และมันทำให้ผมต้องย้อนถามกับตัวเองด้วยว่า ตัวผมเองยืนอยู่ตรงไหน ผมกำลังชื่นชมกับความสำเร็จของเพื่อน หรือตัวผมเองก็กำลังริษยาเพื่อนของตัวเองกันแน่ ความอิจฉาริษยาในความเห็นของหลายๆคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นสีสันในชีวิตที่ต้องเกิดขึ้นบ้าง บ้างก็ว่าจะให้เราพอใจไปกับความสำเร็จของคนอื่นไปเสียหมดได้อย่างไร เพียงแต่ไม่มีใครหรอกที่จะยอมรับตรงๆ ว่าตัวเองมีความอิจฉาหรือริษยาผู้อื่นในจิตใจ เรื่องนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ศึกษาในพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับความริษยาแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ นั่นคือเรื่องราวของคาอินและอาเบลที่ ปรากฎในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 4 ที่ความริษยาแรกของโลกที่ไม่ถูกจัดการได้กลับกลายเป็นการฆาตกรรมแรกของโลก ดังที่ได้บันทึกไว้ว่า “พระ​องค์​ตรัส​ว่า “เจ้า​ทำ​อะไร​ลง​ไป? เสียง​ของ​โลหิต​น้อง​ของ​เจ้า​ร้อง​ดัง​ขึ้น​มา​จาก​ดิน​ถึงเรา บัด​นี้ เจ้า​จึง​ถูก​สาป​จาก​ดิน​ที่​อ้า​ปาก​รับ​โลหิต​ของ​น้อง​จาก​มือ​เจ้า”(ปฐก.4:10-11) นั่นชี้ให้เห็นว่าความริษยาเป็นสัญญาณเตือนภัยที่เราต้องระมัดระวัง รีบยอมรับ และรีบจัดการก่อนที่มันจะนำพาเราไปสู่ความเกลียดชังแม้กระทั่งพี่น้องร่วมสายโลหิตของตัวเอง พระเจ้าทรงบันทึกเรื่องราวนี้ไว้เพื่อให้พวกเราใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขความริษยาที่เกิดขึ้นในจิตใจไว้ดังนี้ ประการแรก “ความริษยาเกิดจากการไม่ยอมรับความจริง” พระธรรมปฐก.4:3-5 บันทึกไว้ว่า “อยู่​มา​วัน​หนึ่ง​คาอิน​นำ​พืช​ผล​จาก​ผืน​ดิน​มา​เป็น​ของ​ถวาย​แด่​พระ​ยาห์​เวห์ ส่วน​อาเบล​ก็​นำ​แกะ​หัว​ปี​จาก​ฝูง​และ​ไขมัน​ของ​แกะ​มา​ถวาย พระ​ยาห์​เวห์​พอ​พระ​ทัย​อาเบล​และ​ของ​ถวาย​ของ​เขา แต่​คาอิน​กับ​ของ​ถวาย​ของ​เขา​นั้น พระ​องค์​ไม่​พอ​พระ​ทัย คาอิน​ก็​โกรธ​ยิ่ง​นัก ก้ม​หน้า​ลง” เราได้เห็นความเหมือนกันของคาอินและอาเบลก็คือ ทั้งคู่ต่างก็มีสิ่งที่มาถวายแด่พระเจ้า แต่ความจริงที่แตกต่างที่เราได้อ่านจากพระวจนะตอนนี้ก็คือ คาอินนำพืชผลที่ตนปลูกมาถวาย […]

โปรดฟังเฉพาะ… คนฉลาด 2/19

โปรดฟังเฉพาะ… คนฉลาด ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็กๆ เวทีรับฟังความเห็นของคนทั่วไปจะอยู่ที่ร้านกาแฟที่มีบรรยากาศแบบจีนโบราณ ผมยังจำได้ว่าทุกครั้งที่คุณปู่ให้เงินไปซื้อกาแฟร้อนที่ใส่กระป๋องนมข้นหวานผูกเชือก ผมจะแอบฟังผู้ใหญ่เขาพูดกันเรื่องข่าวการเมืองบ้าง ข่าวสังคมบ้าง หลายครั้งฟังเพลินจนกาแฟร้อนของคุณปู่กลายเป็นกาแฟเย็นไปเลยก็มี แต่ในปัจจุบันเราไม่ต้องไปยืนรอหรือแอบฟัง วิวาทะทางความรู้ในร้านกาแฟอีกแล้ว แค่ คลิ๊กเข้าไปใน Social network ก็มีข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาจนแทบอ่านกันไม่ทัน แม้ช่วงเวลาและช่องทางในการรับข้อมูลแตกต่างกันมาก แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ข้อมูลปลอม ข้อมูลขยะ ข้อมูลมโนที่จินตนาการ นั่งเทียนเขียนข่าวกันเองยังมีอยู่มากมาย จนถ้าเราไม่กรองข้อมูล หรือกรองไม่เป็น ข้อมูลเหล่านั้นอาจสร้างความกลัว ความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา และย้อมเราให้กลายเป็นคนโง่ที่ถูกชักจูงได้อย่างง่ายๆ เวลาที่รับข่าวสารมากๆ จนทำให้ผมสับสนว่าข้อมูลอะไรจริง ข้อมูลอะไรปลอม ผมแทบอยากจะตะโกนออกมาว่า “มีใครฉลาดๆ แถวนี้ให้ถามบ้างไหม?” ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่ามีคำถามคล้ายๆ กันนี้ปรากฏในพระคัมภีร์ด้วย จากพระธรรมยากอบ 3:13 บันทึกข้อความตอนต้นไว้ว่า “มี​ใคร​บ้าง​ใน​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ที่​มี​ปัญ​ญา​และ​มี​ความ​เข้า​ใจ?…” ฉบับภาษาอังกฤษ (ESV 2011) เขียนว่า “Who is wise and understanding among you?” ประโยคเริ่มต้นนี้เองที่เชิญชวนผมให้อ่านพระธรรมตอนนี้เพื่อผมจะได้เข้าใจเสียทีว่าเราควรเลือกฟังข้อมูลจากใคร ซึ่งพระธรรมยากอบ 3:13-18 ได้ให้ข้อคิดที่สำคัญอย่างมากกับพวกเราทุกคน ประการแรก “คนฉลาดใช้ความสุภาพในการสื่อสาร” […]

ชีวิตเดียว โอกาสเดียว 1/19

ชีวิตเดียว โอกาสเดียว สมัยที่ผมยังเรียนมหาวิทยาลัยมีสถานที่แห่งหนึ่งที่วัยรุ่นชายนิยมไปรวมตัวกันมากคือ “เกมอาเขต” หรือที่ผมเรียกติดปากว่าไปเล่นเกมตู้ ลักษณะก็เหมือนวีดีโอเกมตามบ้าน หรือเกมบนสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน เพียงแต่ตอนนั้นถ้าใครอยากเล่นเกมก็ต้องแลกเหรียญมานั่งเล่นเกมตู้กัน ผมชอบเล่นเกมตู้เอามากๆจนขนาดออมเงินได้หลายร้อยเพื่อมาเตรียมนั่งเล่นทั้งวัน จุดมุ่งหมายเดียวของคนที่มานั่งเล่นเกมก็คือ เราต้องการทำลายสถิติสูงสุดของคะแนนในแต่ละเกม เหรียญแล้วเหรียญเล่าถูกหยอดลงไปในเกม ต่างคนต่างเล่นอย่างเอาจริงเอาจัง แต่สุดท้ายเมื่อร้านเกมค่อยๆ ปิดลงในแต่ละวัน คะแนนเหล่านั้นก็กลายเป็นเหมือนหมอกที่หายไปและไม่มีใครนึกถึงหรือให้ความสำคัญกับมันอีกเลย ชีวิตจริงของเราไม่ใช่เกมที่เริ่มต้นเล่นใหม่ได้เรื่อยๆ ชีวิตเป็นสิ่งมีค่าและเรามีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น หากเรามัวแต่สนใจสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเราก็คงถูกเรียกว่าเป็นคนไม่ฉลาด พระวจนะพระเจ้าในพระธรรมลูกาบทที่12 ข้อ16 ถึง 21 เป็นอุปมาเกี่ยวกับเศรษฐีโง่ ซึ่งใช้ชีวิตอย่างไม่คุ้มค่า พระวจนะตอนนี้ได้ให้ความจริงเกี่ยวกับความมีค่าของชีวิตไว้อย่างน่าสนใจ ประการแรก ชีวิตมีค่า เพราะชีวิตเกิดผลและเป็นพระพรได้ ในพระธรรมตอนนี้ข้อ16-17 บันทึกไว้ว่า “แล้ว​พระ​องค์​ตรัส​อุป​มา​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​เขา​ฟัง​ว่า “ไร่​นา​ของ​เศรษฐี​คน​หนึ่ง​เกิด​ผล​บริ​บูรณ์​มาก เศรษฐี​คน​นั้น​จึง​คิด​ใน​ใจ​ว่า ‘ข้า​จะ​ทำ​อย่าง​ไร​ดี? เพราะ​ว่า​ข้า​ไม่​มี​ที่​ที่​จะ​เก็บ​พืช​ผล​ของ​ข้า’” พระคัมภีร์ตอนนี้บอกกับเราว่า “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก” แปลความได้ว่าเศรษฐีคนนี้มีความสามารถ หรือคงมีคนเก่งๆที่มาช่วยทำให้พื้นที่ของเขากลายเป็นนาที่เกิดผล และไม่ได้เกิดผลแบบปกติ แต่พระคัมภีร์ใช้คำว่า เกิดผลบริบูรณ์มาก และมันมากจนกระทั่งเกินความจำเป็นของตัวเศรษฐีเอง และมากไปกว่านั้นมากเกินความต้องการในการสะสมเพื่ออนาคตของตัวเองด้วย เราทราบได้อย่างไร? เพราะเศรษฐีคิดในใจว่า ‘ข้าจะทำอย่างไรดี? เพราะว่าข้าไม่มีที่ที่จะเก็บพืชผลของข้า’ พี่น้องคงสามารถจินตนาการได้ว่าคนที่รวยจนได้ชื่อว่าเศรษฐีนั้น สถานที่ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อใช้เก็บผลผลิตนั้นต้องใหญ่โตกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เวลานี้พืชผลเกิดมามากมายจนที่เก็บมีไม่พออีกต่อไป แม้เราทุกคนไม่ได้เป็นเจ้าของนาแบบเศรษฐีคนนี้ หรือไม่ได้ร่ำรวยในทรัพย์สิน แต่เราทุกคนที่นี่ต่างได้รับการอวยพรจากพระเจ้าในชีวิตให้เกิดผลบริบูรณ์มากในด้านที่แตกต่างกันไป […]

เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยิน? 4/18

เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยิน? ครั้งแรกที่ผมเรียนวิชาจิตเวชวัยรุ่นในมหา-วิทยาลัย ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมนึกจินตนาการว่า เมื่อผมจบการศึกษาและทำงานในโรงพยาบาล คงมีพ่อแม่มากมายให้ความสนใจพาลูกมาคลินิกรักษาอาการทางจิตเวชแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกของตนอย่างดีที่สุด แต่ในชีวิตจริงเมื่อผมมาทำงานให้การบำบัดรักษา ผมพบความแตกต่างในภาพที่เหมือนกัน ที่ว่าเหมือนกันก็คือ มีพ่อแม่ผู้ปกครองพาลูกหลานของตนเองมารับการรักษามากมายพอสมควรจริงๆ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เด็กกันแล้ว แต่เป็นวัยรุ่นตอนปลาย หรือเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กันแล้ว บางรายก็มีอาการเรื้อรังมาหลายปีแต่พ่อแม่ไม่เคยพามา หากจะมีเด็กเล็กก็จะเป็นเฉพาะรายที่มีผลกระทบต่อผลการเรียนของเด็กเท่านั้น และพ่อแม่ส่วนใหญ่จะคาดหวังให้ลูกๆ ของพวกเขาหายทันทีที่มารับการรักษาครั้งแรก หรืออย่างมากก็ไม่นานเกินเดือน บางรายก็สมหวัง แต่ในเด็กบางคนการให้ความช่วยเหลือเป็นกระบวนการระยะยาว ถามว่าเราต้องใช้เวลานานขนาดไหน บางทีอาจจะต้องตอบว่าคงนานพอๆ กับที่ปัญหาก่อตัวในเด็กตั้งแต่ครั้งแรก แต่มันถูกเพิกเฉย หรือมองข้ามไป น่าแปลกใจเหลือเกินที่สิ่งสำคัญในชีวิตหลายเรื่องถูกมองข้าม เพียงเพราะพ่อแม่สนใจเรื่องผลการเรียนของลูกเท่านั้น ผมเชื่อจริงๆ ครับว่าพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีความสุข พบความสำเร็จในชีวิต มีครอบครัวที่ดีและอบอุ่น พ่อแม่จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะแน่ใจว่าลูกจะพบกับสิ่งเหล่านั้น แล้วพ่อแม่ทำอย่างไร? สิ่งที่ผมพบค่อนข้างบ่อยก็คือ พ่อแม่เชื่อว่า INPUT สิ่งที่เป็นประโยชน์และดีกว่าเด็กคนอื่นๆ จะนำลูกให้มีความสุข เราจึงเห็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวแข่งกันสมัครเรียนเปียโน เรียนเต้น เรียนร้องเพลง เรียนฟิสิกส์ เรียนว่ายน้ำ เรียนคณิตศาสตร์ ทุกอย่างที่พ่อแม่แน่ใจว่าเรื่องนั้นจะพาลูกรักไปสู่ความสำเร็จ แท้จริงแล้วการเรียนไม่เคยทำร้ายใครหากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เด็กปรารถนาจะเรียนจริงๆ เหมาะสมและพอดีกับช่วงวัย ถ้าเรายังเข้าใจผิดกันแบบนี้คนที่ประสบความสำเร็จคงไม่ใช่ลูกเราแต่เป็นโรงเรียนสอนพิเศษต่างๆ ที่จะได้ค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้น วันนี้ผมจึงอยากหนุนใจและให้พระวจนะพระเจ้าได้ชี้ให้คุณพ่อคุณแม่เห็นความจริงที่พระเจ้าอยากให้เราได้เรียนรู้ และผมขอยกเอาพระธรรมสุภาษิต บทที่ 1 ตั้งแต่ข้อ […]

1 2 3 6