คำเทศนาของ ผป.วิชัย ตรังคสมบัติ ในการประชุมสมัชชาสมาคมพระคริสตธรรมไทย วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2004
“และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถให้ปัญญาแก่ท่านในเรื่องความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งที่ผิด และการอบรมในความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถ และพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง”(2 ทิโมธี บทที่ 3 ข้อ 15-17)
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารของสหรัฐอเมริกายกพลขึ้นบกที่หมู่เกาะแปซิฟิกเพื่อกวาดต้อนทหารญี่ปุ่น ชาวพื้นเมืองซึ่งส่วนใหญ่มีพระคริสตธรรมคัมภีร์อยู่ในมือ ได้ให้การต้อนรับทหารสหรัฐฯ อย่างดี หัวหน้าชาวพื้นเมืองได้พูดกับทหารสหรัฐฯ ว่า “พวกคุณโชคดี ถ้าไม่ใช่เพราะหนังสือเล่มนี้ พวกเราจะฆ่าและกินพวกคุณทั้งหมด” ในอดีตคนพื้นเมืองเหล่านี้เป็นคนเถื่อนและกินคน แต่พระวจนะ (คำสอนของพระเจ้า) ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง
ในประเทศเอควาดอร์ในอเมริกาใต้แถบแม่น้ำอเมซอน ชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งมีชื่อด้านความโหดร้าย เขาจะฆ่าคนแปลกหน้าทั้งหมดไม่ว่าจะมาแบบเป็นมิตรหรือไม่ ใน ค.ศ.1952 มิชชันนารีอเมริกันหนุ่มสาว 5 คน เดินทางเข้าไปในแถบนั้นด้วยความปรารถนาสูงสุดที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปให้เขา เพราะเชื่อว่าพระวจนะเปลี่ยนแปลงจิตใจอันโหดร้ายได้ เขาต้องไปสร้างบ้านอยู่บนต้นไม้และผูกมิตรกับชนเผ่านี้ แต่ในที่สุดก็ถูกฆ่าตายทั้งหมด แต่ญาติพี่น้องของมิชชันนารีกลุ่มนี้ก็ไม่ลดละความพยายามที่จะไปสอนพระคัมภีร์ให้แก่ชนเผ่านี้ ซึ่งในที่สุดพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาได้จริงๆ
ชนเผ่าไวกิ้งของประเทศนอร์เวย์ก็เป็นกลุ่มชนที่เคยปล้นฆ่าและทำลายทุกสิ่งเช่นเดียวกัน และชีวิตของคนเหล่านี้ก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเพราะพระวจนะของพระเจ้า
ในประเทศไทยเอง เมื่อหลายปีมาแล้วที่ตำบลปางเม็ง จังหวัดตรัง ซึ่งอยู่ติดกับทะเล มีชุมชนโจรซึ่งโหดร้ายมาก ถ้าจับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ก็จะตัดคอประจาน ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่ชุมชนนี้ แต่มีสตรีคริสเตียนท่านหนึ่งชื่อ “ป้าแคล้ว” เป็นคนรักพระวจนะของพระเจ้า ป้าแคล้วไม่มีความรู้และอ่านหนังสือทั่วไปไม่ได้ แต่พระเจ้าให้ป้าแคล้วอ่านพระคัมภีร์ได้ ป้าแคล้วได้เข้าไปที่ชุมชนนี้และในที่สุดชุมชนนี้ก็เปลี่ยนเป็นคริสเตียน สิ่งเหล่านี้เป็นความอัศจรรย์อันเกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระวจนะของพระเจ้า ท่านมหาตมะคานธีซึ่งเป็นชาวฮินดู และเป็นผู้กอบกู้อิสรภาพให้อินเดียจากอังกฤษ กล่าวว่า “คริสเตียนมีหนังสือที่มีพลังอำนาจ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรม สังคม นำสันติภาพมาสู่โลก และเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ได้ไม่ว่าคนนั้นจะเลวร้ายสักเท่าใด คริสเตียนมีหนังสือที่มีพลังเหมือนระเบิด” และท่านสรุปว่า “แต่คริสเตียนอ่านพระคัมภีร์เหมือนอ่านนวนิยาย”
พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่มีชีวิตและมีฤทธิ์อำนาจ
ในฮีบรูบทที่ 4 ข้อ 12 กล่าวอย่างชัดเจนว่า “พระวจนะของพระเจ้ามีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” พระวจนะไม่ใช่หนังสือทั่วไป แต่เป็นหนังสือที่มีชีวิตและมีพลังอำนาจยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ ศัลยแพทย์มีมีดที่จะเปลี่ยนแปลงร่างกายของคน แต่พระวจนะเปลี่ยนได้แม้แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ซึ่งมีดทำไม่ได้ พระวจนะสามารถรู้ความรู้สึกนึกคิดความดีความชั่วในใจของมนุษย์ได้อย่างอัศจรรย์ พระวจนะเป็นดาบสองคมที่ให้คุณและให้โทษ ในขณะที่พระสัญญาของพระเจ้าช่วยให้ครอบครัวของโนอาห์รอดตายจากน้ำท่วม คนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อก็ต้องตายเพราะเหตุนี้ พระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระองค์ทำทุกสิ่งได้ พระวจนะของพระองค์ก็สามารถทำทุกสิ่งได้เช่นเดียวกัน
พระคัมภีร์ทุกตอนเป็นความจริงและเกิดผล
พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เป็นเพียงกระดาษและหมึก แต่เป็นหนังสือเล่มเดียวในจักรวาลที่เปิดทางให้มนุษย์รอดจากบาปไปสู่ชีวิตนิรันดร์ สามารถนำคนไปถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะ “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า” คำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดไม่ได้มาจากความคิดสติปัญญาของมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้าโดยการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่มนุษย์เขียนเอง ก็จะเป็นแค่หนังสืออ้างอิงที่ไม่มีฤทธิ์อำนาจ เป็นแค่กระดาษและหมึกที่ไม่มีคุณค่าอันใด พระวจนะของพระเจ้าเปรียบเสมือนเมล็ดพืชเล็กๆ ที่มีพลังที่จะเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขาเป็นต้นไม้ใหญ่เมื่อถูกเพาะลงดิน เช่นเดียวกับพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเพาะลงในชีวิต ชีวิตของเราก็จะเจริญเติบโต เมื่อเราเชื่อและปฏิบัติตามพระวจนะด้วยความเข้าใจ ความจริงและฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะสำแดงแก่เรา
พระวจนะของพระเจ้าแทงทะลุถึงจิตวิญญาณและรักษาความเจ็บป่วยได้
ผู้รับใช้ของพระเจ้าชาวอเมริกันชื่อ ออรัล โรเบิร์ต บิดาของท่านเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักร ออรัล โรเบิร์ตมีชีวิตที่เกเรเมื่อเป็นวัยรุ่น และเขาล้มป่วยด้วยโรคปอดบวมถึงขั้นสุดท้ายรักษาไม่ได้แล้ว กำลังจะตาย เพื่อนของแม่ได้มาร่วมกันอธิษฐานขอให้พระเจ้ารักษาเขา ซึ่งมีใจความว่า “คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังจะเกิดผลและออรัลจะหาย” เมื่อออรัลได้ยินคำอธิษฐานนี้ เขารู้สึกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนน่าทุเรศมีความเชื่อที่เพี้ยนๆ อยู่มาวันหนึ่ง มีเสียงหนึ่งกล่าวกับออรัลว่า จงอ่านพระธรรม 3 ยอห์น ข้อ 2 ซึ่งกล่าวว่า “ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขความเจริญทุกอย่าง ดังที่จิตวิญญาณของท่านกำลังเจริญอยู่นั้น” เสียงนั้นได้บอกด้วยว่าให้เขาอ่านพระธรรมข้อนี้หนึ่งหมื่นครั้ง ออรัลก็ทำตามและเมื่ออ่านไปได้ห้าพันครั้ง ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็รักษาเขาให้หายป่วย ตั้งแต่นั้นมาออรัลก็ไปศึกษาพระคัมภีร์และรับใช้พระเจ้า
นักเขียน นักการเมืองคนหนึ่งของอเมริกาชื่อ Lew Wallace เป็นคนไม่เชื่อพระเจ้าและเห็นว่าความเชื่อของคริสเตียนเป็นเรื่องเหลวไหล เขาพยายามศึกษาพระคัมภีร์เพื่อหาข้อโต้แย้ง และหลังจากใช้เวลาศึกษายาวนานจึงได้เชื่อพระเจ้า เขาเป็นผู้แต่งเรื่อง “เบนเฮอร์” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอาแคดเดอมีอวอร์ด 11 รางวัลจากทั้งหมด 12 รางวัล
พระคัมภีร์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์
1.พระวจนะเป็นนิรันดร์ คือไม่เปลี่ยนแปลงแม้วันเวลาจะผ่านไป ในอิสยาห์ 40:8 “หญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง ดอกไม้นั้นก็ร่วงโรยไป แต่พระวจนะของพระเจ้าของเรา จะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” ทุกสิ่งในโลกเปลี่ยนไปตามกาลเวลาไม่ว่าจะเป็นอำนาจวาสนาหรือวิทยาศาสตร์ แต่พระวจนะของพระเจ้าจะเป็นรากฐานที่มั่นคงของชีวิต เป็นรากฐานของความสำเร็จ และเป็นพรแก่ผู้เชื่อและปฏิบัติตาม
2.พระวจนะเป็นความจริงในทุกสถานการณ์ ทุกกาลเวลา ในฮีบรู 6:17 “…พระเจ้าทรงประสงค์จะแสดงให้บรรดาผู้ที่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้เป็นมรดกรู้แน่ยิ่งขึ้นว่าพระดำริของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง…” พระเจ้าไม่มุสาเพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งสัจจธรรม คำพูดของมนุษย์สามารถพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าโกหกหรือไม่ แต่พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงเสมอ ผู้ที่ปฏิบัติตามก็จะได้รับพรทุกประการ
3.พระวจนะเกิดผลแน่นอน ในสดุดี 33:9 กล่าวว่า “เพราะพระองค์ตรัส มันก็เกิดขึ้นมา พระองค์ทรงบัญชา มันก็ออกมา” ในกันดารวิถี 23:19 “…ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ” ในอิสยาห์ 46:11 “…เราพูดแล้วและเราจะให้เป็นไป เรามุ่งแล้วและเราจะกระทำ” ยิ่งไปกว่านี้ พระคัมภีร์พิสูจน์ตนเองว่าทุกอย่างสำเร็จแน่นอน ในโยชูวา 21:45 “สรรพสิ่งอันดีทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาต่อประชาชนอิสราเอลนั้นก็ไม่ขาดสักสิ่งเดียวสำเร็จทั้งสิ้น” นั่นคือทุกอย่างที่พระองค์ตรัสและสัญญาไว้จะเกิดผลทุกประการ พระเจ้าสัญญากับอิสราเอลอย่างไร พระองค์ก็สัญญากับเราอย่างนั้น ถ้าเราปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ด้วยความเชื่อ พระพรและความรุ่งเรืองก็จะมาสู่ชีวิตของเราอย่างแน่นอน
อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “พระคัมภีร์คือของขวัญที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งจากพระเจ้าที่ให้ไว้กับมนุษย์ตั้งแต่พระองค์สร้างโลก” ความจริงอันนี้พิสูจน์ได้จากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในประเทศคอมมิวนิสต์หรือประเทศที่มีความเชื่อแตกต่าง คือพระคัมภีร์ถูกเผา ทำลาย ห้ามพิมพ์ ห้ามมี ห้ามอ่าน ห้ามศึกษา ถ้าพระคัมภีร์ไม่มีค่าก็คงจะไม่เกิดเหตุเช่นนั้น ในปี ค.ศ. 303 บิชอปฟิลิกซ์แห่งกรุงโรมไม่ยอมให้จักรพรรดิโรมยึดพระคัมภีร์ของท่าน และในที่สุดก็ถูกประหารชีวิต ในประเทศจีนสมัยประธานเหมาเจ๋อตุง ผู้มีพระคัมภีร์ก็จะถูกประหารบ้าง ติดคุกบ้าง ไม่มีงานทำบ้าง ในปัจจุบัน รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านของเราเช่น ลาว ก็ได้ยึดพระคัมภีร์ของชาวม้ง คนที่มีพระคัมภีร์ก็จะติดคุก ถ้าพระคัมภีร์เป็นหนังสือนวนิยาย สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงคือ พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลก พิมพ์มากที่สุด มีการพิมพ์พระคัมภีร์ฉบับย่อมากกว่า 2,000 ภาษา ฉบับสมบูรณ์เกือบ 400 ภาษา ถ้าพระคัมภีร์ไม่เป็นความจริงและไม่มีชีวิต ก็จะไม่มีการลักลอบนำไปให้แก่ผู้ที่ต้องการ เมื่อผมทำงานในประเทศจีน ผมลอบนำพระคัมภีร์เข้าไปแจก กว่าจะผ่านด่านก็เหงื่อแตกเหมือนนำทองคำหรือของเถื่อนเข้าไป ครั้งหนึ่งผมและเพื่อนนำพระคัมภีร์ไปให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ปักกิ่ง เธอเรียกร้องหาพระคัมภีร์มานานมาก เมื่อได้รับ เธอร้องไห้ซาบซึ้งและกอดพระคัมภีร์ไว้ เธอรักพระคัมภีร์เพราะชีวิตของเธอได้รับการเปลี่ยนแปลงเพราะพระวจนะของพระเจ้า
ทำไมพระเจ้าประทานพระวจนะให้แก่มนุษย์
ประการที่ 1 พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ในบรรดาสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง มนุษย์มีค่าที่สุดในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์สร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ มนุษย์จึงมีวิญญาณและมีชีวิตนิรันดร์เพราะพระเจ้าเป็นพระวิญญาณที่เป็นนิรันดร์พระเจ้าทรงรักและหวงแหนมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมาและได้ทรงมอบพระวจนะให้เพื่อมนุษย์จะรู้จักพระองค์ พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ให้ประจักษ์ชัดโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่า “เขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?” (มัทธิว 16:26) แสดงว่าชีวิตมนุษย์มีค่าที่สุด นักปรัชญาชื่อโสเครติสกล่าวว่า “มนุษย์ต้องรู้จักตนเอง” แล้วมนุษย์จะรู้จักตนเองได้อย่างไร เราเกิดมาได้อย่างไร เราอยู่ในโลกได้อย่างไร อยู่เพื่ออะไร หลังจากนี้เราจะไปไหน ไปทำไม เราตอบไม่ได้ ผู้ที่ตอบเราได้คือพระเจ้าผู้สร้างเรามา และพระองค์ประทานพระวจนะเพื่อเป็นคำตอบแก่เรา
ประการที่ 2 พระเจ้าประทานพระวจนะให้เป็นกฎหมายสูงสุดในชีวิตของเรา ในเฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-13 “ดูก่อน คนอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประสงค์ให้ท่านกระทำอย่างไร คือให้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งปวงของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่านทั้งหลาย และให้รักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย” นั่นคือให้เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยและพระวจนะของพระองค์แบบสุดจิตสุดใจ เพื่อเราจะได้รับพรจากพระองค์เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและทรงรักษาสัญญาทุกประการ นอกจากนั้น พระเจ้าไม่ได้อวยพรเฉพาะแต่ตัวเราแต่พระพรจะไปถึงลูกหลานของเราด้วย ดังที่มีเขียนไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 5:29 “โอ อยากให้มีจิตใจเช่นนี้อยู่เสมอไปหนอ คือที่จะยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เขาทั้งหลายก็จะสุขเจริญอยู่ตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์” พระเจ้าอยากให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างและเป็นสิ่งประเสริฐสุดได้รอดจากบาป พระองค์จึงเปิดทางไปสู่ความรอด พระวจนะได้บอกว่าถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราไปจากโลกนี้ เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์ ในทางตรงข้าม ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะตกนรกชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน ในโยชูวา 1:8 “อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี” ถ้าเราอ่านพระวจนะอย่างมีวินัยและปฏิบัติตามอย่างจริงใจ พระสัญญาของพระเจ้าจะเป็นจริงในชีวิตเรา
เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้าได้ไม่นาน ผมมีวิกฤติในชีวิตและถ้าผมล้มในวิกฤตินั้น ผมจะหมดสิ้นทุกอย่าง ต้องออกจากงาน บ้านช่องจะถูกยึด เงินทองไม่เหลือ ผมได้อธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยผม สิ่งแรกที่ผมเรียนรู้คือ พระเจ้าพูดกับผมว่า “เจ้ายังไม่รู้จักเรา ความเชื่อของเจ้ายังไม่มี เจ้าต้องศึกษาพระวจนะเพื่อเจ้าจะรู้จักเรา” ผมได้เริ่มศึกษาพระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง และพระเจ้าทรงสำแดงความสัตย์ซื่อของพระองค์ นำพาให้ผมสู้กับวิกฤติเป็นเวลาถึง 5 ปี วันที่พระองค์ให้ผมได้รับอิสรภาพ พระองค์ให้ผมได้รู้ด้วยว่าจะเป็นวันนั้น หลังจากนั้น พระองค์ได้นำพาชีวิตผมต่อไป ให้ผมรู้ว่าจะย้ายไปฮ่องกงและจะไปทำงานในประเทศจีน และผมก็ไปตามนั้นจริงๆ และเมื่อถึงเวลากลับประเทศไทย พระเจ้าก็บอกผมล่วงหน้าว่าถึงเวลาแล้ว และพระองค์จะให้งานทำและจะอวยพร พระเจ้าก็อวยพรผมจริงๆ ผมจึงกล้ายืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้ที่เชื่อ เรามักใช้เวลาแสวงหาสิ่งต่างๆ ในโลกนี้อย่างมากมาย แต่ผลสุดท้ายสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งจอมปลอม ว่างเปล่า ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาในชีวิตผม พระเจ้าสำแดงให้เห็นว่าพระวจนะเป็นจริงทุกตอน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค คนหายป่วยด้วยคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ เมื่อมีปัญหา พระเจ้าก็ดลใจให้รู้วิธีแก้ไข ผมเป็นคนหนึ่งที่เจอวิกฤติเศรษฐกิจ พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อก็ได้ทรงนำวิถีชีวิตของผมให้ผ่านพ้นมาได้
พระวจนะของพระเจ้ามีชีวิตและทำงานในชีวิตของเรา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนชีวิต เราต้องใช้เวลาศึกษาพระวจนะ เพื่อพระพรของพระองค์จะมีมายังเราอย่างบริบูรณ์
ผป.วิชัย ตรังคสมบัติ