จะมีสักกี่คนที่ขอบคุณพระเจ้าได้สำหรับทุกเรื่องของชีวิต คงไม่ใช่เรื่องยากถ้าเราจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายหรือวิกฤตชีวิตเราจะขอบคุณพระเจ้าได้ไหม?
ด้านหลังคือการ์ดของครอบครัว สารกิติพันธ์ ซึ่งถูกพิมพ์ขึ้น เพื่อใช้เป็นคำหนุนใจ เป็นพระพรสำหรับทุกคนที่มีโอกาส ได้ยินได้ฟังเรื่องราวชีวิตของ เอิร์ธ วันเฉลิม สารกิติพันธ์ ลูกชายคนเล็กของครอบครัว เอิร์ธเป็นเจ้าของถ้อยคำที่ปรากฏอยู่บนการ์ดใบนี้ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดลงบนกระดาษ ตามคำบอกของเอิร์ธ ในช่วงที่ไม่สามารถเขียนเองได้แล้ว ถ้อยคำบ่งบอกถึงความเชื่ออันมั่นคง ความไว้วางใจใน พระเจ้าอย่างสุดหัวใจ และการขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีอย่างแท้จริง เราจะเห็นว่าเอิร์ธสามารถมองเห็นสิ่งดีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ครอบครัวของเขา ท่ามกลางเหตุการณ์ที่โลกเห็นว่าเลวร้าย แต่วิกฤตของชีวิตก็กลับกลายเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่ที่เปิดเผยออกมาโดยผ่านชีวิตของเอิร์ธเอง
พฤศจิกายน 1997 เอิร์ธเริ่มมีอาการปวดศีรษะ โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ไม่ได้บอกใครเลย หายาแก้ปวดศีรษะทานเอง แต่อาการก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เอิร์ธปวดศีรษะมากขึ้นๆ จนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจบอกพ่อกับแม่ ตอนแรกที่บ้านก็ไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก จนในที่สุด นอกจากอาการปวดหัวจะทวีความรุนแรงมากขึ้นแล้ว ยังมีอาการอาเจียนซึ่งที่บ้านคิดว่าเป็นผลมาจากกินอาหารผิดสำแดง จึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอบอกว่าเอิร์ธเครียดกับการเรียนมากเกินไป ก็เชื่อหมอเพราะโดยปกติเอิร์ธเป็นเด็กเรียนดี ฉลาดและจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอด จึงดูเหมือนว่า เคร่งเครียดกับการเรียนมากเกินไป หลังจากที่ทานยาตามที่หมอสั่งไป ได้สักระยะหนึ่งอาการก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น จึงเปลี่ยนโรงพยาบาลผลออกมาว่าเป็นไซนัส จึงรักษาไซนัสอยู่ 2 สัปดาห์ก็หาย แต่อาการปวดหัวกับอาเจียนยังเป็นอยู่ หนักไปกว่านั้นคือเอิร์ธเริ่มเดินเซ เสียการทรงตัว เดินชนโน่นชนนี่ ผิดปกติมากและนับวันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ พ่อกับแม่กลุ้มใจเพราะไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไรกันแน่ จนกระทั่งวันหนึ่ง เอิร์ธดูทีวีรายการหนึ่ง ซึ่งบอกว่า “บุคคลที่มีอาการปวดศีรษะอย่างไร้สาเหตุ อาเจียน เสียการ ทรงตัว สรุปเบื้องต้นได้เลยว่าเป็นเนื้องอกในสมอง” เอิร์ธจึงบอกพ่อกับแม่ ให้ดูรายการทีวีช่องนี้เพราะบอกอาการเหมือนที่เอิร์ธเป็นทุกอย่าง พ่อกับแม่เกิดความวิตก เชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องพาไปหาหมอ วันรุ่งขึ้น ไปหาหมอให้ตรวจเช็คสมอง ผลการตรวจ ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นอะไร แต่เกี่ยวกับสมองแน่นอน และที่สำคัญ คือหมอพบว่า ความผิดปกตินั้นอยู่ในตำแหน่งสำคัญมากของสมอง หมอเองขอให้เป็นแค่เลือดคั่งในสมองหรือเนื้องอกในสมอง หรือถ้าจะเป็นมะเร็งก็ขอให้เป็นขั้นต้นๆ หมอพยายามไม่ให้เอิร์ธรับรู้ ถึงอาการที่เป็น แต่คุณพ่อบอกกับหมอว่า “ให้ลูกของผมรับรู้เถอะ เพราะสิ่งที่หมอพูดให้ผมฟังเหมือนกับสิ่งที่ลูกบอกกับผม เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับมะเร็งในห้องสมุดของโรงเรียนแล้ว เขารู้อนาคตของเขาว่าจะต้องเป็นอย่างไร เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง เขารู้ว่าเขาจะไม่ เหมือนเก่า เขาจะเรียนไม่ได้ เดินไม่ได้ เพราะตำแหน่งที่เขาเป็นนั้น คือส่วนที่ควบคุมอากัปกริยาของร่างกายทั้งหมด เขารู้ก่อนหน้าที่หมอจะบอกเสียอีก”
29 มกราคม 1998 เอิร์ธเข้ารับการผ่าตัด แต่ครั้งนี้หมอทำอะไรไม่ได้มากเพราะถ้าเลือดไหลเพียงหยดเดียว ระบบการหายใจของเอิร์ธจะหยุดทันที หมอไม่กล้าเสี่ยงแต่บอกได้ว่าเป็นมะเร็งแน่ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าขั้นไหน หมอได้ตัดเนื้อเพื่อไปทำการตรวจผลปรากฏว่าเอิร์ธเป็นมะเร็งในสมองขั้นสุดท้าย และหมอบอกด้วยว่าเอิร์ธ จะมีชีวิตอยู่ได้อีก 2 เดือนและไม่เกิน 5 เดือน “เกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างไวจนตั้งตัวแทบไม่ติด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร?” เอิร์ธเป็นคนที่รักพระเจ้ามากและมากที่สุดในบ้าน ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามเอิร์ธจะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะคุกเข่าก้มหน้าอธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า ครอบครัวมี ด้วยกันทั้งหมด 4 คน คุณพ่อ (อาจารย์กู้ศักดิ์ โรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียน) คุณแม่ (อาจารย์อรุณรัตน์ โรงเรียนราชวินิตบางแค) ลูกชาย 2 คน คืออาร์มและเอิร์ธ คุณแม่เพียงคนเดียวที่ไม่ได้ เป็นคริสเตียน ส่วนคุณพ่อเองเป็นคริสเตียนก็จริง แต่ไม่เอาจริงเอาจัง กับพระเจ้าเลยทั้งๆ ที่มีโอกาสรู้จักกับพระเจ้าตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยผ่านทางมิชชันนารี (อ. ริชาร์ด ไบรอัน) ซึ่งเป็นผู้ที่จัดหาทุนการศึกษาให้ จากนั้นมาก็ได้รู้เรื่องพระเจ้ามาโดยตลอด แม้จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนที่รักพระเจ้า แต่การเป็นคริสเตียนของคุณพ่อ เหมือนกับการใส่เสื้อตัวหนึ่ง เข้าโบสถ์ก็ใส่เสื้อคริสเตียน ออกจากโบสถ์ก็ถอดเสื้อนั้นทิ้ง คุณพ่อไม่เคยสัมผัสกับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ไม่ใส่ใจไม่สนใจ จนมาถึงวันนี้ที่เอิร์ธต้องเข้าห้องไอซียู วินาทีที่ชีวิตของลูกอยู่ระหว่างความเป็นกับความตายนั้น คุณพ่อเรียกหาพระเจ้าทันที ไม่มีใครสามารถช่วยได้แม้แต่หมอก็สุดปัญญา พระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยได้
วันต่อมา คุณพ่อหยิบพระคัมภีร์มาอ่าน ทั้งที่ไม่เคยจับต้องเลยพระคัมภีร์มีไว้เพื่อตบตาให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคริสเตียน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วใจอยากจะอ่านพระคัมภีร์จริงๆ อ่านทุกวันที่หน้าห้องไอซียู อ่านพระคัมภีร์แล้วก็อธิษฐาน ขอกับพระเจ้าทั้งๆ ที่ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ทำวันนั้นและทำมาโดยตลอด อ่านพระคัมภีร์แล้วเจอแต่เรื่องของตัวเอง เพราะในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องความทุกข์ แล้วทุกข์ของเราจะพบสุขได้อย่างไร ก็ต้องวางใจพระเจ้าอย่างเดียว สิ่งสารพัดที่เคยคิดว่าเป็นความมั่นคงของชีวิต บัดนี้มีทุกอย่างพร้อมแล้วแต่ก็ไม่สามารถให้ความมั่นคงได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ไม่สามารถช่วยอะไรเอิร์ธได้เลย
คำตอบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ “นี่เป็นแผนงานของพระเจ้า” เอิร์ธมักจะพูดอยู่เสมอว่า “พ่อกับแม่ไม่ต้องกังวลนะ เพราะนี่คือแผนงานของพระเจ้า เอิร์ธจะเป็นคนนำพระเจ้าเข้ามาในบ้านของเรา” และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความเจ็บป่วยทางร่างกายของเอิร์ธทำให้ครอบครัวกลับใจมาเชื่อพระเจ้าทั้งพ่อแม่และพี่ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ยังไม่รู้จัก กับพระเจ้าเลย คุณแม่เล่าว่า “พอเห็นคริสเตียนมาช่วยกันอธิษฐานวางมือ ทูลขอพระเจ้าเพื่อเอิร์ธ แต่คุณแม่กลับต้องออกไปนั่งรอข้างนอก ด้วยเหตุผลว่าให้อยู่เฉพาะผู้ที่เชื่อ ก็คิดหนักว่าทั้งๆ ที่เราเป็นแม่ ทุกคนทำเพื่อลูกเรา แต่ทำไมเราถึงไม่มีส่วนตรงนั้น ที่จะทำเพื่อลูกเลย การที่เราไม่เชื่อพระเจ้านอกจากไม่มีส่วนช่วยแล้ว ยังกลับเป็นแรงต้านของลูกอีก ความคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ปลดล็อค ในหัวใจของคุณแม่ที่มีต่อพระเจ้า
หลังจากนั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งมาเยี่ยมเอิร์ธแล้วก็บอกกับคุณแม่ว่า “คุณแม่จะต่อรองกับพระเจ้า อยู่ทำไม” ประโยคนี้ตอกย้ำความรู้สึกมากเพราะตรงกับใจที่คิดอยู่” โดยพระคุณความรักของพระเจ้า ในที่สุดหัวใจคุณแม่ก็เปิดออก ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าใช้ชีวิตของเอิร์ธเป็นพระพรสู่ครอบครัว เอิร์ธยังย้ำกับทุกคนในบ้านเสมอว่า “เรื่องที่เอิร์ธป่วยเป็นเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง” และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จะมีคนเข้ามาเยี่ยมเอิร์ธไม่เว้นแต่ละวัน และเงิน ค่ารักษาพยาบาลที่ดูเหมือนจะไม่พอในหลายๆ ครั้ง แต่ทุกครั้งก็มีคนส่งเงินมาช่วยค่ารักษาพยาบาลเสมออย่างอัศจรรย์ พระเจ้าทรง ดูแลและจัดเตรียมทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอที่จะมาทำการ รักษา เครื่องมืออุปกรณ์ในการรักษา ห้องพัก ทุกขั้นตอน ทุกเรื่อง ถูกจัดเตรียมไว้อย่างอัศจรรย์ และที่สำคัญทุกคนในครอบครัว มีความชื่นชมยินดีและขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอสำหรับความรอด และการเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งครอบครัว และสำหรับชีวิตของเอิร์ธด้วย คุณพ่อคุณแม่มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูไม่เหมือนคนที่กำลัง มีลูกนอนป่วยหนักเลย ความชื่นชมยินดีของครอบครัวนี้เป็น ที่สนใจของคนรอบข้างจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเป็นพยานประกาศ ถึงเรื่องของพระเจ้าให้คนเหล่านั้นฟัง ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่รัก พระเจ้าสุดหัวใจ มีชีวิตที่พระเจ้าใช้ได้ เป็นพระพรต่อครอบครัว และยังแบ่งปันพระพรให้ไหลล้นไปสู่คนอื่นๆ ด้วย
28 กุมภาพันธ์ 2000 พระเจ้ารับเอิร์ธไป รวมอายุ 17 ปี ดูเหมือนว่าแผนการณ์ในชีวิตที่เอิร์ธวาดหวังไว้ได้สำเร็จแล้ว เพราะบ่อยครั้งเอิร์ธจะพูดว่า “เอิร์ธอยากไปเรียนต่อเมืองนอก ไปแล้วจะไม่กลับมาอีก แต่เอิร์ธจะอยู่ที่โน่นเลย เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่า ก็ตามไปอยู่กับเอิร์ธได้ที่นั่น เอิร์ธจะรออยู่” เช่นเดียวกับเวลานี้ที่เขา ได้อยู่ในอ้อมแขนของพระเจ้าแล้วเป็นนิจกาล
พระคัมภีร์ที่เอิร์ธมักจะพูดหนุนใจคุณพ่อคุณแม่ และพี่อาร์มเสมออยู่ในพระธรรม 1โครินธ์ 2:9 “ดังที่มีเขียนไว้ ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยินและสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์”
สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบพระคุณ อาจารย์กู้ศักดิ์ และ อาจารย์อรุณรัตน์ สารกิติพันธ์ เป็นอย่างสูง ที่ให้เกียรติแก่สมาคมฯ สละเวลาให้สัมภาษณ์ และยินยอมให้ตีพิมพ์ เรื่องราวของครอบครัวใน “คริสตสายสัมพันธ์” ฉบับนี้ ขอพระเจ้าอวยพระพรครอบครัวสารกิติพันธ์ให้ เป็นครอบครัวแห่งพระพร นำพระพรไปสู่คนมากมาย และเป็นที่หนุนใจแก่คริสตชนตลอดไป “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัย ของพระเจ้าซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” (1 เธสะโลนิกา 5:18)
คุณวันเฉลิม สารกิตติพันธ์