จากที่ราบสูงสู่เบื้องบน

ชาญณรงค์ (โจ) วงศ์กัยราช หนุ่มจากที่ราบสูงเมืองอุบลราชธานี อายุ 39 ปี เป็นอีกชีวิตหนึ่งที่เป็นพยานถึงความรักและพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเขาผู้มีอดีตที่เปรียบเสมือนดินทรายที่ดูไร้ค่าและไร้ความหวัง แต่ด้วยแผนการอันเลิศและความอดทนนานของพระเจ้า โจถูกปั้นเป็นภาชนะที่มีคุณค่า และภาชนะชิ้นนี้รับใช้ผู้ปั้นด้วยความซื่อสัตย์อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

จากครอบครัวที่อบอุ่น ฐานะพออยู่พอกิน พ่อเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แม่ขายอาหาร โจเป็นลูกคนที่สองในจำนวน 4 คน โจใฝ่ฝันอยากจะเป็นรั้วของชาติตั้งแต่เด็ก ในวัยเรียนโจเป็นเด็กดีช่วยงานบ้านและช่วยแม่ขายอาหาร ชีวิตดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้สร้างปัญหาให้พ่อแม่หนักใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จนขึ้นชั้นมัธยมฯ 4 โจเข้าเรียนในโรงเรียนภาคค่ำขณะที่ยังช่วยแม่ขายอาหารตอนกลางวันตามปกติ โจเริ่มมีเพื่อนมากหน้าหลายตาในวัยรุ่นวัยคะนองซึ่งเป็นใจให้เขาเริ่มลองของแปลกใหม่และวิ่งเข้าหาสิ่งชั่วร้ายสารพัด ในเวลาไม่นาน “โจ” ที่ไม่มีใครรู้จักก็กลายเป็น “ขาโจ๋” ที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก เขาเข้าถึงทั้งเหล้าและบุหรี่ หนักกว่านั้น โจยังหัด “ดมกาว”เพื่อจะเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ วัยรุ่นในสมัยนั้น โจเริ่มด้วยการรับอาสาถือกระป๋องกาวให้ “ลูกพี่” ก่อน เมื่อขึ้นชั้นมัธยมฯ 5 ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น “ลูกพี่” แทนคนเดิมที่ออกจากโรงเรียนไป จากดมกาวไปจนถึงกัญชายัดไส้บุหรี่ โจสั่งสมบารมีจนมีลูกน้องหลายคน เป็นนักเลงในชุดนักเรียน มีเรื่องต่อยตีกับโรงเรียนอื่นอยู่บ่อยๆ พฤติกรรมทั้งหมดนี้ทางบ้านไม่ระแคะระคายเพราะตอนกลางวันโจยังไปช่วยแม่ขายอาหารตามปกติ และนั่นก็เป็นช่องทางที่เขาจะหยิบฉวยเงินทองของแม่เอาไปซื้อหาสิ่งเสพติด
เมื่อใกล้จะจบมัธยมฯ 6 เพื่อนในแก๊งดมกาวคนหนึ่งเกิดป่วยหนักมีอาการปอดทะลุ จมูกโบ๋เป็นโพรงและเสียชีวิตในที่สุด ภาพนี้ติดตาโจมาก เขาจึงคิดอยากจะเลิกสิ่งเสพติดทั้งหมด เมื่อเรียนจบมัธยมฯ 6 โจจึงตัดสินใจทิ้งสังคมเพื่อนที่อุบลฯ มุ่งไปโคราชเพื่อสอบเป็นทหารอาสาตามความใฝ่ฝัน โดยหวังว่าชีวิตทหารที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัดจะช่วยให้เขาห่างไกลจากสิ่งเสพติดและชีวิตที่เกเรได้
โจสอบผ่านได้เป็นทหารอาสาสมัครรุ่นที่สองของจังหวัดนครราชสีมา และถูกส่งไปประจำที่จังหวัดอุบลราชธานีบ้านเกิด ในปีแรกของการเป็นทหาร เขาดำเนินชีวิตอยู่ในกฎระเบียบทุกประการโดยไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติดอีก แต่พอขึ้นปีที่สอง ชีวิตทหารของโจเริ่มมีอิสระมากขึ้น เขาจึงหันกลับไปดื่มเหล้าอีก เมื่อเมาก็จะมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่น หลายครั้งที่เขาแอบหนีออกจากค่ายทหารเพื่อไปเที่ยว ดื่มเหล้าและเสพกัญชา ครั้งหนึ่งเขาถูกสารวัตรทหารจับได้จึงถูกติดคุกทหารอยู่ 15 วัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โจเข็ดหลาบ เขากลับติดสิ่งเสพติดหนักขึ้น เมื่อเข้าสู่ปีที่สามของการเป็นทหาร เพื่อนๆ ของโจหลายคนลาออกไปเรียนหนังสือต่อขณะที่โจได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยครูฝึกทหารเกณฑ์ มันเป็นช่วงที่เขาเริ่มคิดถึงชีวิตตนเอง อยากจะหันหลังให้กับสิ่งเสพติดและมีความก้าวหน้าในชีวิตบ้าง โจตัดสินใจวิ่งหนีสิ่งเสพติดอีกครั้งหนึ่งด้วยการลาออกจากอาชีพทหารและมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ “หลายครั้งในชีวิตของผม ผมพยายามเลิกสิ่งเสพติดที่ได้ลิ้มลองจนติด แต่ไม่สามารถเลิกได้ ผมจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นทหาร แล้วเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ปีนั้นผมจำได้ว่าเป็นปี 2534  ผมได้งานที่โรงงานแช่ปลาที่บางขุนเทียน แต่งานใหม่ที่นี่ก็ไม่ช่วยให้ผมเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยกลับทำให้เลวร้ายลงไปอีกเพราะอยู่ห้องเย็นหนาวมากก็ต้องกินเหล้า พอเมาก็หาเรื่องคนอื่น เงินทองก็ไม่มีเหลือ”

จากเครื่องแบบทหารมาสวมชุด รปภ.
โจทำงานที่ห้องเย็นบางขุนเทียนได้แค่เดือนเดียว ก็เปลี่ยนงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็นงานรักษาความปลอดภัย ที่แรกที่โจถูกส่งไปประจำเป็นอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งมีที่พักฟรีให้ด้วย เพื่อนใหม่ของโจจึงเป็นคนงานก่อสร้างที่ล้วนแต่มีน้ำใจชักชวนให้เขาทั้งดื่มและสูบ สูบทั้งบุหรี่และกัญชาเช่นเดิม โจจึงหนีไม่พ้นจากสิ่งเสพติดและของมึนเมาและยังติดหนักเข้าไปอีก ต่อมาทางบริษัทรักษาความปลอดภัยที่โจทำงานอยู่ต้องการพนักงานที่มีความรู้ อ่านเขียนหนังสือได้ดี เพื่อส่งไปประจำที่โบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งคือคริสตจักรใจสมานสุขุมวิทซอย 6 ที่คริสตจักรแห่งนี้ ช่วงกลางวันจะมีเจ้าหน้าที่คริสตจักรและสมาชิกมาติดต่องาน จึงมีคนเข้าๆ ออกๆ เป็นประจำ ส่วนกลางคืนประตูใหญ่ด้านหน้าจะปิดประมาณ 4-5 ทุ่ม ทุกคืนโจจะมีเหล้ายาดอง 1 ขวด บุหรี่ 1 ซองเตรียมไว้เพื่อดวดย้อมใจดับความรู้สึก “กลัวผี” เพราะคิดว่าโบสถ์คริสต์จะต้องมีผีอย่างที่เคยเห็นในหนังฝรั่ง ขณะที่โจทำงานอยู่ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ของคริสตจักรและสมาชิกได้แวะเวียนมาพูดคุยด้วยบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเล่าเรื่องพระเจ้าให้โจฟัง แต่เขาฟังไม่ค่อยเข้าใจและที่จริงก็ไม่อยากจะฟังเลย อยากให้พวกเขาพูดให้จบๆ และไปเสียที เขาจะได้แอบดื่มเหล้าต่อ

พระเจ้ามีจริง พระเจ้าช่วยได้
เวลาผ่านไปได้ 7 เดือน ขณะนั้นคือปี พ.ศ. 2534 เขาก็ยังต้องทนฟังเรื่องพระเจ้าจากคนในคริสตจักรนั้น อย่างไรก็ดีมีประโยคหนึ่งที่สะกิดหูสะกิดใจของโจคือ “ถ้าอยากเลิกเหล้าบุหรี่ ก็ลองอธิษฐานกับพระเจ้าดูสิ” เขาจึงเริ่มลองอธิษฐานอย่างที่ได้รับคำแนะนำ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับมัน วันเวลาผ่านไปจนถึงเทศกาลคริสตมาส ขณะที่เขาช่วยจัดระเบียบการเข้าออกรถของคนที่จะออกไปจัดกิจกรรมคริสตมาสนอกคริสตจักร กระเป๋าสตางค์ของโจเกิดหล่นหายไป เขาจำได้ว่ามีเงินอยู่ 2,740 บาท เป็นเงินที่เขาเตรียมจะส่งไปให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัดซึ่งเขาไม่เคยส่งมาหลายปีแล้ว โจเสียดายเงินจำนวนนั้นมากก็จริง แต่สิ่งที่เขาอยากได้คืนมากที่สุดคือพวกบัตรต่างๆ ที่อยู่ในกระเป๋านั้น ตอนเช้ามืด ประมาณตี 3 –  ตี 4 เมื่อสมาชิกคริสตจักรกลับมาจากร้องเพลงอวยพรตามบ้านและรู้เรื่องเข้า พวกเขาแนะนำให้โจอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเช่นเคย โจก็ทำอย่างที่เขาบอก แปลกแต่จริง ! ประมาณ 8 โมงเช้า มีคนเก็บกระเป๋าสตางค์ของโจได้ที่ด้านนอกคริสตจักร แม้จะไม่มีสตางค์เหลืออยู่ แต่โจก็ได้บัตรสำคัญต่างๆ คืนอย่างที่ต้องการ
ประมาณ 3-4 เดือนต่อมา ในช่วงต้นปี 2535 คริสตจักรจัดงานประกาศเนื่องในเทศกาลอีสเตอร์ (วันระลึกพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์) มีคนมากมายเข้ามาที่คริสตจักร วันนั้น “รปภ. โจ” เข้าห้องน้ำและวางกระเป๋าสตางค์ไว้ เมื่อออกมาได้แค่ 5 นาทีและกลับเข้าไปใหม่ กระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินอยู่ประมาณ 400 บาทก็อันตรธานไปแล้ว คนในคริสตจักรรู้เข้า ก็บอกอีกว่า พระเจ้ามีจริง พระเจ้าช่วยได้ เป็นครั้งแรกที่โจอธิษฐานออกเสียงว่า “หากพระเจ้ามีจริง ขอให้ผมเจอกระเป๋าและมีทุกอย่างครบอยู่ในนั้น” แล้วโจก็ออกเวรไปในช่วงเช้าวันนั้น โดยขอยืมเงินคนอื่นเป็นค่ารถกลับที่พัก เมื่อเขากลับมาเข้าเวรช่วงเย็นวันนั้น อีกครั้งหนึ่งที่โจคิดว่าตนโชคดีเพราะมีคนเก็บกระเป๋าสตางค์ของเขาได้และฝากมาคืนให้เขา ในนั้นมีทั้งเงินและบัตรประจำตัวต่างๆ อยู่ครบตามคำอธิษฐานของโจ โจเริ่มเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงและพระเจ้าช่วยเขา แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นพระเจ้าที่ช่วยเขาหรือเป็นความบังเอิญ
หลังจากนั้นอีก 2-3 เดือน โจเข้าเวรกะกลางวันในวันอาทิตย์ซึ่งคริสตจักรมีการประชุมนมัสการพระเจ้าตามปกติ โจต้องขึ้นไปอยู่บนชั้นลอยของโถงประชุมใหญ่เพื่อตรวจตราระวังขโมยที่อาจแฝงตัวปะปนเข้ามา ขณะนั้นเขาได้ยิน ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล ศิษยาภิบาลคริสตจักร พูดว่า “ใครที่ต้องการได้รับการปลดปล่อยจากสิ่งเสพติดและการพนัน ขอให้ก้าวออกมาด้านหน้า จะมีการอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยท่าน” โจในชุดเครื่องแบบ รปภ. และอยู่ระหว่างการปฏิบัติงาน ตัดสินใจก้าวออกไปทั้งที่ไม่ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า

พระเจ้าช่วยผมด้วย !
จากจุดนั้น โจรับเชื่อในพระเจ้าและได้ศึกษาคำสอนขั้นพื้นฐานอยู่ประมาณ 3 – 4 เดือน อย่างไรก็ตาม โจก็ยังไม่สามารถเลิกเหล้าและบุหรี่โดยเด็ดขาด ยังคงแอบสูบและดื่มอยู่เป็นประจำ และยังเลิกไม่ได้แม้จะเข้าพิธีบัพติศมารับชีวิตใหม่และประกาศตนเป็นคริสตชนอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2535 แต่พระเจ้าก็รักและให้โอกาสแก่โจที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยใจสมัคร
วันรุ่งขึ้นจากวันรับบัพติศมาคือวันที่ 1 พฤษภาคม 2535 โจร่วมเดินทางไปค่ายกิจกรรมของคริสตจักรที่ จ. นครปฐม และรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างรถบัสหลายคันที่นำสมาชิกคริสตจักรเดินทางไปค่าย การทำหน้าที่นี้โจต้องใช้วิทยุสื่อสารโดยไม่รู้ว่าทางการได้ออกกฎใหม่ให้ผู้ใช้วิทยุสื่อสารต้องมีใบอนุญาต ระหว่างเดินทาง ตำรวจได้ขึ้นมาตรวจรถและเห็นโจใช้วิทยุสื่อสารโดยไม่มีใบอนุญาต เขาถูกจับและต้องนอนห้องขัง 1 คืน ความผิดของเขามีค่าปรับสูงถึงหนึ่งแสนบาท ในช่วงที่อยู่ที่โรงพักนั้น พี่น้องในคริสตจักรที่ไปร่วมค่ายได้ไปช่วยดูแลโจตลอดเวลา เมื่อได้รับการประกันตัวออกมาจากห้องขังแล้ว โจพยายามเอาของมีค่าของตนไปจำนำเพื่อจะหาค่าปรับราคาสูงนั้นให้ได้ ผมพึ่งพาความสามารถของตนเอง โดยไม่พึ่งพระเจ้า แต่ในระหว่างนั้น ก็มีพี่น้องคริสเตียนครอบครัวหนึ่งได้เข้ามาช่วยเหลือผมและทำให้ผมหลุดพ้นจากเหตุการณ์นั้นโดยไม่ต้องเสียเงินแสน และคดีก็สิ้นสุดลงโดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งกระทำการผ่านพี่น้องในพระคริสต์

พระเจ้าช่วยผมอีก !
ขณะที่เกิดคดีเรื่องวิทยุสื่อสาร โจได้งานใหม่ที่บริษัท ฮอนด้า แผนกพ่นสีรถมอเตอร์ไซค์ และอยู่ระหว่างการทดลองงาน คดีเรื่องวิทยุสื่อสารทำให้เขาต้องขาดงานบ่อยมาก เขาจึงไม่ผ่านการทดลองงาน ต้องออกหางานใหม่ ชีวิตก็เกิดความผันผวนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ช่วงนั้น บริษัท มิตซูบิชิ เปิดรับสมัครงานสำหรับคนอายุไม่เกิน 25 ปี และต้องมีการตรวจสุขภาพ โจเป็นคนหนึ่งที่ไปสมัครงานทั้งที่มีอายุเกินเกณฑ์ไป 1 ปี มิหนำซ้ำยังไว้ผมยาวและแต่งตัวไม่เรียบร้อย บริษัทจึงปฏิเสธที่จะสัมภาษณ์เขา แต่โจไม่ละความพยายาม เขารีบกลับบ้านไปตัดผมและแต่งตัวใหม่และกลับมารอคิวสัมภาษณ์ทันในวันเดียวกัน เขากล่าวว่า ผมอธิษฐานกับพระเจ้าและพระเจ้าก็ช่วยผมอีก โจได้รับการพิจารณาและใบตรวจสุขภาพก็ผ่านด้วยดี เขาได้เข้าทำงานในแผนกขึ้นรูปโลหะเครื่องใช้ไฟฟ้า และทำงานอยู่ที่นี่ถึง 5 ปี ในระยะเวลา 5 ปีนั้น โจมีโอกาสไปศึกษาระบบงานที่บริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นนานถึง 3 เดือน เป็นความภาคภูมิใจที่เขาไม่เคยลืมและขอบพระคุณพระเจ้าเสมอสำหรับเกียรติที่ได้รับ

พระเจ้าช่วยผมอีกครั้งเถิด !
ปี 2536 โจสมรสกับกับคุณผ่องพรรณ (คุณหล้า) เจ้าหน้าที่คริสตจักรใจสมานผู้จบการศึกษาจากวิทยาลัยพระคริสตธรรมพะเยา โจยังทำงานอยู่ที่บริษัทมิตซูบิชิ แต่ก็มีโอกาสได้ใช้ฝีมือด้านช่างเข้าไปช่วยงานด้านสถานที่ของคริสตจักรเป็นบางเวลา ตลอดเวลานั้นโจอธิษฐานขอพระเจ้าประทานความเข้มแข็งในการเลิกเหล้าและบุหรี่อย่างเด็ดขาด และในที่สุดเขาก็สามารถเอาชนะตนเองได้ นับเป็นเวลา 1 ปีหลังประกาศตนเป็นคริสตชนโดยการรับบัพติศมา
ชีวิตสมรสผ่านไปได้ 3 ปี โจและภรรยายังไม่มีบุตร แพทย์ลงความเห็นว่าภรรยามีลูกยาก ต้องอาศัยการทำกิ๊ฟท์ซึ่งแน่นอนที่ค่าใช้จ่ายจะต้องสูงมาก แต่ทั้งโจและภรรยาเชื่อว่าทุกสิ่งจะเป็นไปได้ด้วยพระพรจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผมและภรรยาอธิษฐานอย่างหนัก แม้หลายๆ ครั้งจะเกิดความท้อใจ แต่เราเชื่อว่าในความท้อใจนั้น ก็เป็นเวลาที่พระเจ้ากำลังกระทำการตามน้ำพระทัยของพระองค์ โจมีสัญญาใจกับพระเจ้าว่าจะมอบชีวิตเพื่อรับใช้พระองค์หากพระองค์ประทานลูกให้
ปี 2539 ระหว่างการประชุมค่ายคริสตจักรประจำปี พระเจ้าทรงสัมผัสใจของโจจนเขารู้สึกได้ว่าพระองค์กำลังกระทำการสิ่งใดสิ่ง หนึ่งกับเขา ปรากฏการณ์นั้นทำให้เขาร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจและมีสันติสุขโดยตัวเขาเอง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองต้องร้องไห้ ไม่นานนัก ภรรยาของโจก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกชายที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีในปี 2540 ภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่ลูกเกิดมา โจได้ทำตามสัญญาที่เขาให้ไว้กับพระเจ้าคือลาออกจากบริษัทมิตซูบิชิมาทำงาน รับใช้คริสตจักรใจสมานเต็มเวลาโดยทั้งครอบครัวได้ย้ายมาช่วยงานที่คริสตจักร ใจสมานรามคำแหงซอย 68 ซึ่งเป็นส่วนขยายของคริสตจักรใจสมานสุขุมวิทซอย 6
ต่อมาในปี 2542 ภรรยาตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง แต่เพียงแค่ 7 เดือน เธอก็คลอดก่อนกำหนดเป็นลูกผู้หญิงมีน้ำหนักแค่ 1.9 กิโลกรัม ต้องย้ายจากโรงพยาบาลราชวิถีไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเด็ก และลูกต้องอยู่ในตู้อบนานเป็นเดือน มีเข็มเจาะทั่วตัวตั้งแต่ศีรษะ หน้าอกสองข้าง มือทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองข้าง และลูกไม่ตอบสนองต่อการดื่มนม โจและภรรยากังวลใจมาก เพื่อนๆ คริสเตียนได้ร่วมกันอธิษฐานเผื่อเด็กและครอบครัวของโจเพื่อทั้งครอบครัวจะยึดมั่นอยู่ในพระเมตตาจากพระเจ้า
เมื่อลูกอยู่ในตู้อบได้ 10 กว่าวัน โจทราบว่ามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นแล้วประมาณ 14,000 บาท และยังไม่รู้ว่าลูกจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลอีกนานเท่าใด โจไม่มีเงินพอสำหรับภาระใหญ่ขนาดนั้น เงินที่พอมีอยู่บ้างก็นำมาจ่ายเป็นค่าคลอดบุตรไปหมดแล้ว มันเป็นความกังวลใจอย่างใหญ่หลวงที่สอนให้โจและภรรยาต้องเชื่อพึ่งในพระเจ้าอย่างสุดกำลัง เมื่อเหลืออีกเพียงวันเดียวที่ลูกจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว โจยังไม่รู้ว่าจะไปหาเงินได้ที่ไหน แพทย์แนะนำว่าหากโจมีใบสงเคราะห์จากสถานีสาธารณสุขในเขตที่โจพำนักอาศัยอยู่ โจจะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลที่เกิดขึ้น โจรีบไปติดต่อสถานีสาธารณสุขตามคำแนะนำของแพทย์ แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบอกว่าใบสงเคราะห์อย่างนั้นไม่สามารถทำเสร็จได้ภายในวันเดียว ต้องใช้เวลาเตรียมหลายวันโดยเฉพาะเมื่อไม่เคยมีประวัติเด็กอยู่ที่นั่นมาก่อน โจเข่าอ่อนและรู้สึกจนปัญญาเพราะจะต้องนำลูกออกจากโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้นแล้ว วันนั้นโจและภรรยาอธิษฐานร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอย่างหนัก ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ติดต่อให้โจทราบว่าใบสงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยพระคุณพระเจ้า ผมสามารถนำลูกออกจากโรงพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ปัจจุบันลูกสาวของผมมีสุขภาพแข็งแรงดี
ปัจจุบันโจเป็นพนักงานประจำหน่วยขายเคลื่อนที่เต็มเวลาของของสมาคมพระคริสตธรรมไทย เป็นงานบริการที่ช่วยนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่ท้องที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล คุณผ่องพรรณ ภรรยาทำงานอยู่ที่คริสตจักรใจสมานรามคำแหง 68 บุตรชายชื่อ ชัชพงศ์ (เจมส์) อายุ 10 ขวบ บุตรสาวชื่อ ชลธิชา (จีจี้) อายุ 8 ขวบ ทั้งสองคนเป็นปกติสุขมีสุขภาพแข็งแรง และเป็นนักเรียนโรงเรียนพร้อมมิตรวิทยา โจและภรรยาปรารถนาให้ลูกอย่างน้อย 1 คนได้เป็นผู้รับใช้พระเจ้าในอนาคต โจกล่าวว่า “พระคุณพระเจ้ามีมากมายเหลือคณานับ และพระองค์ทรงยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงในชีวิตของผมและครอบครัว เราบอกได้อย่างเต็มปากว่าเรารักพระองค์สุดหัวใจ”

ข้อพระคัมภีร์เปลี่ยนชีวิตโจ
พระเยซูตรัสว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก
 (มัทธิว 11:28)

คุณชาญณรงค์ วงศ์กัยราช