จากโลกบันเทิง สู่ชีวิตที่มีพระเจ้านำ
สำหรับคนรุ่นผู้ใหญ่สักหน่อย คงเคยได้ยินชื่อของ “ตุ๊กตา จินดานุช” ในวันที่เริ่มก้าวสู่วงการบันเทิงไทยในฐานะดาราเด็ก
เธอย้อนอดีตให้ฟังว่า “ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ไปเกิดที่จังหวัดชัยภูมิ พ่อแม่ของดิฉันเป็นศิลปินนักแสดง ตอนจะคลอดดิฉันนั้น คุณแม่อยู่บนเวทีแสดงเรื่องสโนไวท์ พอดีชุดที่สวมเป็นกระโปรงบานๆ คนเลยไม่รู้ว่านางเอกท้อง เล่นไปได้สักพัก คุณแม่เจ็บท้องคลอด ต้องหยุดการแสดง ไปโรงพยาบาลแทน ตอนเด็กอายุ 4-5 ขวบดิฉันก็อยู่ในแวดวงดนตรีลูกทุ่ง พออายุ 7 ขวบก็มีคนสนใจชวนให้ไปเล่นหนังเป็นคุณเพชราตอนเด็ก ก็เลยเติบโตจากการเล่นเป็นนางเอกตอนเด็กๆ มาเรื่อยๆ แสดงหนังละคร มากมายจนเป็นที่รู้จัก เรียกว่าช่วงที่มีชื่อเสียง คือช่วงวัยเด็ก”
หลังจากนั้นเธอเริ่มหันมาสนใจด้านการเรียนอย่างจริงจัง บทบาทในวงการบันเทิงจึงมีน้อยลง “เรียน ป.1-4 ที่โรงเรียนวัดใหม่พิเรนทร์, ป.5-7 ที่ประถมทวีธาภิเศก แล้วก็ไปต่อ ม.ศ.1-5 ที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย กระทั่งจบระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ วิชาเอกโฆษณา วิชาโทประชาสัมพันธ์ “ส่วนงานเล่นหนัง เล่นละครก็มีบ้าง และมีงานพากย์หนังด้วย คือเริ่มพากย์หนังตั้งแต่อายุ 9 ขวบ อยู่กับคุณป้าจุรี โอศิริ ท่านเป็นอาจารย์ที่สอนดิฉันในเรื่องการพากย์หนัง ช่วงวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นนับเป็นช่วงที่ดิฉันประสบความสำเร็จในวงการบันเทิง พอสมควร เพราะเคยได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตน ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พออายุ 20 ปี ก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ดาราประกอบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนต์เรื่องถ้าเธอยังมีรัก ในปี พ.ศ.2524 และปี พ.ศ.2532 ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองในฐานะผู้พากย์ จากนั้นปี พ.ศ.2535 ได้รางวัลโทรทัศน์ทองคำจากการพากย์ภาพยนต์ซี่รี่ย์ฝรั่ง จากทางช่อง 5 กับช่อง 9 นั่นเป็นเรื่องของความสำเร็จในด้านหน้าที่การงาน ดิฉันไม่ได้ทำงานประจำ เคยเป็นนักพากย์ประจำช่อง 3 อยู่สัก 2-3 ปี แต่ก็ต้องหยุดเพราะไม่ลงตัวในเรื่องเวลาดูแลลูกๆ กับครอบครัว เพราะดิฉันกับสามีเลี้ยงลูกกันเอง”
รู้จักพระเจ้าทั้งครอบครัว
คุณตุ๊กตาย้อนให้ฟังถึงวันเวลาที่เริ่มรู้จักคำว่า ‘พระเจ้า’ ว่า “จุดเริ่มต้นจริงๆ เกิดขึ้นตอนดิฉันเป็นวัยรุ่น เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ได้สนใจที่จะเรียนรู้ศึกษาโดยไปร่วมกลุ่มต่างๆ ตามบ้าน ต่อมาอีกหลายปีดิฉันก็ได้ไปโบสถ์ของคาทอลิก ไปเรียนคำสอนกับคุณพ่อบาทหลวงที่โบสถ์มหาไถ่ ในทางของคาทอลิกต้องเรียนจบเล่มก่อนแล้วก็จะมีการทดสอบ แล้วจึงจะได้รับพิธีบัพติศมา ดิฉันไปเรียนได้แค่ปีเศษก็หยุดไป เพราะพอดีช่วงที่ไปเรียนดิฉันอายุประมาณ 30 ปี แล้วก็แต่งงานมีครอบครัวและตั้งครรภ์ด้วย อย่างไรก็ตามในความคิดและในใจของดิฉัน รักและเชื่อวางใจในพระเจ้าดิฉันเชื่อว่ามีพระเจ้านำทางเสมอมา เพียงแต่ว่าดิฉันไม่ได้แสดงตน เพราะว่าวิถีของคาทอลิกจะเงียบๆ เรียบๆ ซึ่งแตกต่างจากคริสเตียน ตอนนั้นดิฉันยังไม่รู้จักว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียนเป็นอย่างไร ก็แค่คิดว่าดิฉันมีพระเจ้าอยู่ในใจก็พอ”
แต่กว่าเธอจะมารู้จักพระเจ้าจริงๆ นั้น “มีอยู่ช่วงหนึ่งฐานะทางบ้านค่อนข้างลำบาก ดิฉันคิดว่าจะต้องเอาลูกออกจากระบบการเรียนภาคภาษาอังกฤษมาเป็นเรียนแบบ สามัญภาคปกติ ดิฉันไปคุยกับทางโรงเรียนของลูกซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิกก็ได้รับความเมตตา จากซิสเตอร์ ดร.สุรีย์พร ระดมกิจ ผู้อำนวยการโรงเรียนช่วยคลี่คลายและให้คำปรึกษา ท่านเห็นว่าลูกดิฉันเป็นเด็กดีมากๆ ตั้งใจเรียน และอยู่ในสภานักเรียน กับช่วยงานโรงเรียนมากมาย ท่านก็เลยจะรับดูแลลูกชายคนโตให้ในเรื่องขอทุนเรียนระดับมหาวิทยาลัย เพียงแค่ให้รักษาเกรดให้ดี ซึ่งลูกดิฉันเกรดเฉลี่ย 3.95 อยู่แล้ว ตอนนั้นลูกชายอายุ 15 ปี ต่อมาผู้บริหารการศึกษาแผนกอิงลิชโปรแกรมทราบ ท่านจึงบอกว่าจะให้ทุนไปเรียนที่ต่างประเทศ และให้กลับมาทำงานเป็นครูที่โรงเรียน ท่านให้ไปเรียนที่ประเทศอเมริกา โดยให้ไปตั้งแต่อยู่ชั้น ม.5 ตอนนี้เขาก็จบมัธยมปลายแล้ว และกำลังจะเตรียมเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ได้ อ.วิวรณ์ มีชูธน เป็นผู้ช่วยแนะนำเรื่องสถาบันการศึกษาให้มาโดยตลอดคือเป็นโรงเรียนและ มหาวิทยาลัยของคริสเตียน”
ก่อนหน้านี้ คุณตุ๊กตาเคยขอให้ อ.รับพร ชุณธรรม มาเป็นครูสอนเปียโนให้ลูกที่บ้านอยู่หลายปี จึงมีความคุ้นเคยกันดี “ตอนลูกจะไปเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปี ดิฉันเป็นห่วงลูกมาก เพราะเป็นลักษณะชนบทที่ไม่มีคนไทย ไม่มีรถโดยสารประจำทาง ห้ามพกมือถือ ใช้อินเตอร์เน็ตได้อาทิตย์ละ 2 ครั้งๆ ละ 15 นาที อ.รับพรก็หนุนใจว่า โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนคริสเตียน สังคมจะไม่เหมือนกับที่เราเคยเห็นจากในหนัง ดิฉันก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ อ.รับพรจึงเชิญชวนให้เรามาที่คริสตจักรแสงสว่าง เพื่อที่จะได้เห็น เรียนรู้ และ
วางใจในการปรับวิถีชีวิตท่ามกลางพี่น้องคริสเตียนที่อเมริกาให้ลูก ดิฉันและลูกได้มาที่คริสตจักรสักระยะหนึ่ง จริงๆ ใจของดิฉันก็เปิดใจให้กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ดิฉันก็ให้เวลาตัวเองกับลูกๆ ศึกษาและเข้าชั้นรวีฯ เรียนรู้เรื่องพระเจ้ามากขึ้น”
มีเหตุการณ์เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว “มีอยู่อาทิตย์หนึ่งที่โบสถ์จัดนมัสการพิเศษเพราะเป็นวันแห่งความรัก ที่คริสตจักรแห่งนี้แบ่งการประชุมนมัสการเป็นคริสตจักรเด็ก และคริสตจักรในส่วนของผู้ใหญ่ จำได้ว่าวันนั้นช่วงที่ดิฉันหลับตาได้ยินผู้เทศนาถามว่ามีใครอยากจะต้อนรับ พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ก็ให้คนนั้นยกมือขึ้นวันนั้นดิฉันยกมือขึ้น และมีเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่งคือ เป็นวันเดียวกันกับที่ลูกทั้งสามซึ่งนมัสการอยู่ที่คริสจักรเด็ก พวกเขาหลับตาไม่เห็นกัน แต่เปิดใจ ยกมือรับเชื่อพร้อมกัน”
ในส่วนของครอบครัวนั้นคุณตุ๊กตาเล่าว่าไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งในเรื่องที่เธอ มานมัสการที่คริสตจักรแต่อย่างใด “สามีดิฉันสนับสนุนให้มาตั้งแต่ต้น เพราะเขารู้ว่าเป็นการดีที่จะให้ลูกเตรียมตัวเรียนรู้วิถีชีวิตคริสเตียน ก่อนการไปอยู่จริง รู้ว่าพี่น้องในพระคริสต์มีความรัก, ความอบอุ่นให้กันหลังจากที่ดิฉันมาประชุมนมัสการที่คริสตจักรได้ประมาณ 6-7 เดือน ดิฉันก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปใจเย็น และถ่อมใจ มีสันติสุขในใจ ความจริงปัญหาต่างๆ ในครอบครัวไม่ได้หมดไป แต่มันคลี่คลายไปในทางที่ดี พระเจ้านำทางและให้ดิฉันเรียนรู้ และเมื่อมีปัญหาดิฉันก็อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ เรียนรู้ที่จะมีชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้า วิถีชีวิตตรงนี้ทำให้สามีของดิฉันมองเห็น เขาก็เลยได้รับพระพรจากพระเจ้าด้วย ดิฉันยอมรับว่ารู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ตัวเองไม่ได้ชักชวนสามีโดยตรงดิฉัน รู้ว่าเขามีความเป็นตัวเองสูง จะต้องฟังด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากปากของดิฉัน ดิฉันก็รอคอยว่าเมื่อวันนั้นมาถึงพระองค์คงจัดเตรียมไว้อย่างดีที่สุด
“แล้วพระองค์ทรงเรียกเขาจริงๆ คือสามีดิฉันเป็นโปรดิวเซอร์เกี่ยวกับงานเสียง, การทำสื่อโฆษณา เคยช่วยเหลือเรื่องการถ่ายและตัดต่อวีดีโอ กิจกรรมของโรงเรียนลูกอยู่เสมอ เขามีจิตใจที่มีความรักอยู่แล้ว เพียงแค่เขายังไม่รู้จักพระเจ้าแต่พอพระเจ้าเปิดทางให้โดยเรียกใช้เขา เข้ามาถ่ายทำกิจกรรมในคริสตจักร เวลาที่เขาถ่ายทำไปเรื่อยๆ หูของเขาจะได้ยินได้ฟังตลอดเวลา เขารู้สึกอิ่มเอม ซาบซึ้งและสัมผัสถึงความอบอุ่นที่พี่น้องคริสเตียนมี ต่อมาเขาก็เปิดใจและเริ่มเข้าชั้นเรียนรวีฯ และก็ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและรับพิธีบัพติศมาแล้ว เช่นกัน”
พระเจ้าคือผู้เปลี่ยนแปลงชีวิต
คุณตุ๊กตาเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอหลังจากมารู้จักกับพระ เจ้าแล้วว่า “ในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะเปิดใจให้พระเจ้าจริงจัง ครอบครัวของดิฉันเป็นศิลปินจะมีความอ่อนไหวมากและค่อนข้างสูงเกินคนทั่วไป แม้ดิฉันพยายามควบคุมตัวเองให้มีสติ แต่ก็จะเจอปัญหาตรงจุดนี้เยอะมากเวลาโกรธมักจะรุนแรง และถ้าเสียใจก็จะเสียใจอย่างหนัก เวลาแค้นมันทุกข์ไม่หาย แต่ก็ไม่ได้ไปทำลายผู้อื่น ไม่สามารถปลดปล่อยตรงนี้ได้เลยชีวิตในช่วงนั้นมีอารมณ์เหล่านี้ผสมผสานอยู่ ตลอด แต่ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เมตตาเรียกหาดิฉันตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้เรียนไม่ ได้รู้จักพระวจนะโดยตรง พระเจ้าเมตตาให้ดิฉันได้รู้จักแวดวงพี่น้องคาทอลิก และดิฉันก็ได้รับความเมตตาจากพี่น้องเหล่านั้น เรียกว่า มีพระกระแสร์เรียก
พระองค์ นำให้ดิฉันอธิษฐานและทูลขอ ทำให้ดิฉันมีจิตใจที่มีสันติสุขมากขึ้น มาคิดดูแล้วตั้งแต่แต่งงานและมีลูกๆ ดิฉันได้รับพระพรจากพระเจ้ามาตลอด จนกระทั่งลูกชายคนโตได้รับทุนการศึกษาที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่กับพี่น้อง คริสเตียนที่ต่างประเทศ นั่นเป็นจุดที่ทำให้ดิฉันได้เข้ามาที่คริสตจักรแสงสว่าง และทั้ง 5 คนในครอบครัวก็ได้มาเป็นลูกของพระเจ้ากันทั้งหมด
“ก่อนที่ดิฉันจะไปที่คริสตจักร ดิฉันแค่รู้ว่ามีพระเจ้าและดิฉันก็อธิษฐานและคิดถึงพระองค์เป็นบางเวลา นั่นเป็นความรักความศรัทธาที่มีกับพระองค์แค่สองคน เพราะดิฉันยังไม่รู้จักและเรียนรู้การหนุนใจกับพี่น้องคริสเตียน ตอนนั้นดิฉันยอมรับว่าการเข้าหาพระเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นสม่ำเสมอยังมีความ อ่อนแอ ยังล้มลงในความบาป เมื่อประสบปัญหาหนัก เช่น เรื่องงาน ครอบครัว หรือการดูแลลูก สุดท้ายดิฉันก็จะอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย พระเจ้าจะทรงเมตตาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ตรงกับใจดิฉันที่ขอไป แต่ดิฉันก็เชื่อและไว้วางใจว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขทุกอย่างไปในทางที่ ดีเสมอ เป็นความเชื่อแบบที่ว่าเมื่อฝนตกที่นี่วันนี้ พรุ่งนี้ฟ้าก็จะสว่างที่นี่บ้าง เราต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุดก่อน แล้วที่เหลือพระเจ้าจะสานต่อให้เราเอง แต่นั่นเป็นแค่ดิฉันกับพระเจ้า เมื่อมาเป็นคริสเตียน ดิฉันรู้เลยว่า แค่นี้ยังไม่พอ เราต้องเก็บเกี่ยวประชากรของพระองค์ให้เขาได้รับความรอดด้วย ต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐ นี่คือหลักในการดำเนินชีวิตของดิฉันเมื่อมารู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง
พระเจ้าคือผู้เปลี่ยนแปลงชีวิต “ครอบครัวเรามีค่าใช้จ่ายสูงมาก ลูกๆ สามคน เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ สามีดิฉันทำงานกินเงินเดือนประจำส่วนดิฉันไม่ได้มีงานประจำ เป็นนักพากย์อิสระพระเจ้าก็อวยพระพร ให้ดิฉันเรียนรู้ที่จะไม่กระวนกระวายใจมากในเรื่องเงินทอง แต่ให้ทั้งดิฉันและสามี เรียนรู้ที่จะรักคนอื่นให้มาก อย่างเช่นไปช่วยกิจกรรมเครือข่ายผู้ปกครองของลูก ไปแสดงความรักกับพวกเขา เพื่อช่วยเสริมสร้างสังคมในโรงเรียนให้อบอุ่นและใกล้ชิดกันกับเรา เรายังสอนลูกไม่ให้เป็นคนใจแคบ รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือเพื่อน พอมาเป็นคริสเตียน ดิฉันได้เรียนรู้ว่าต้องเพิ่มเรื่องการแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขา ด้วย คือตอนแรกเราพยายามเข้าหาพวกเขาเพื่อให้ลูกมีสังคมที่ดี แต่ตอนนี้เราอยากจะเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณเหล่านี้มาให้พระเจ้าด้วย”
พระเจ้ายังนำคุณตุ๊กตาให้เรียนรู้ที่จะไว้วางใจพระองค์ในเรื่องของลูกๆ ด้วย “ดิฉันเป็นคนที่รักลูกมาก ตอนรู้ว่าลูกจะต้องไปอยู่ต่างประเทศถึงหกปีตั้งแต่อายุ 15 ดิฉันคิดแต่ว่าจะปล่อยเขาได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเลย แต่จากเหตุการณ์นั้นพระเจ้านำให้ดิฉันรู้ว่าความรักที่แท้นั้นต้องรักอย่าง ไร ดิฉันเคยคิดว่าวันที่ลูกชายคนนี้บินไปต่างประเทศ ตัวเองจะต้องร้องไห้อย่างหนักเหมือนใจจะขาด แต่เอาเข้าจริงวันที่ลูกเดินทาง ดิฉันยิ้มและกอดลูกด้วยความชื่นชมยินดี… เขาจะได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้าพระองค์จะขัดเกลาให้เขาเป็นภาชนะที่ พระองค์ทรงเรียกใช้ได้ การกลับมาเป็นครูให้สถาบัน 10 ปีก็จะได้ทำงานและรับใช้พระเจ้าได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง เขาสามารถที่จะเก็บเกี่ยวให้เกิดผล สามารถที่จะประกาศข่าวประเสริฐกับคนอื่นๆ ได้มาก …ก็คือส่งเขาด้วยความเชื่อและวางใจในพระองค์ ออกจากสนามบินต้องรีบตรงมาที่คริสตจักรเพราะเป็นวันอาทิตย์ และเพื่อมาเป็นพยานเนื่องใน “วันแม่” พอดี คือดิฉันได้วางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริง ว่าพระองค์ได้จัดเตรียมสิ่งที่ดีเลิศประเสริฐให้กับลูกแล้ว ไม่ว่าเขาจะพบความยากลำบากหรือขาดประสบการณ์สิ่งไหน พระองค์ก็จะเติมเต็มสิ่งนั้นให้เองด้วยวิธีของพระองค์ ด้วยความไว้วางใจตรงนั้นทำให้ดิฉันสามารถที่จะยิ้มและส่งลูกด้วยความรัก แท้.. แล้วสามารถกลับมาพูดเป็นพยานในสิ่งนี้ได้
“ดิฉันยึดหลักข้อพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:4-7 ที่ว่า ‘ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอมีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ’ เป็นหลักในการดำเนินชีวิตของดิฉัน และในพระธรรมกาลาเทีย 6:9 ที่ว่า ‘อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร'”
พระพรมาถึงทั้งครอบครัว
คุณตุ๊กตาแบ่งปันเพิ่มถึงพระพรที่มาถึงทุกคนในครอบครัวของเธอ เพื่อเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่า “ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ดิฉันมีวันดีๆ อย่างนี้ พระพรไม่ได้มาถึงแค่ลูกชายคนโตเท่านั้น ลูกชายคนกลางที่เคยเรียนกีต้าร์กับครูเศรษฐา หรือครูนิวสามีของอาจารย์รับพร ลูกเขาเคยเรียนกีต้าร์เบื้องต้นก่อนจะมาเป็นพี่น้องคริสเตียน พอมาฝึกที่คริสตจักรเพิ่มเติม ก็ได้มาเป็นนักดนตรีประจำที่คริสตจักร มีโอกาสได้เป็นผู้นำนมัสการพระเจ้าด้วยในส่วนของคริสตจักรเด็กตอนนี้เขาอายุ 15 เป็นคนที่อธิษฐานหนุนจิตชูใจผู้คนรอบข้างได้ดีมาก ส่วนลูกสาวคนเล็กอายุ 13 ก็ได้รับพระพรให้ได้ใช้ของประทานเช่นกัน เขาได้รับโอกาสเป็นตัวแทนจากคริสตจักรแสงสว่าง ร้องเพลงหนึ่งเพลงในซีดีเพลงคริสเตียนที่ทำร่วมกับนักร้องและนักดนตรี คริสเตียนคนอื่นๆ จาก 9 คริสตจักร ในอัลบั้มที่ชื่อว่า ‘Forward’
“ในส่วนของสามีดิฉัน ตอนแรกเขาปิดใจมาก เราสี่คนมาคริสตจักรได้ปีกว่าแล้ว เขาก็ไม่มีเวลาไปคริสตจักรด้วยตลอด ช่วงลูกชายคนโตไปเรียนที่ต่างประเทศได้เกือบปี ลูกบอกกับดิฉันว่า ที่เขามาอเมริกาตามลำพัง เขาไม่ร้องไห้ มีบาดแผลขนาดใหญ่เป็นแผลเป็น เจ็บมากก็ไม่ร้อง แต่ที่เขาอธิษฐานกับพระเจ้าว่าให้คุณพ่อไปประชุมนมัสการที่คริสตจักร และต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทุกวันเป็นเวลาเกือบปี สุดท้ายเขาไม่ไหวแล้วเพราะเห็นว่าคุณพ่อยังไม่ยอมไป เขาก็คุกเข่าลงอธิษฐานในโบส์ถต่อหน้าพระเจ้า เขาร้องไห้กับพระเจ้า ขอให้คุณพ่อเปิดใจรับเชื่อและไปนมัสการที่คริสตจักร ดิฉันฟังแค่นี้ก็น้ำตาไหลและเล่าให้สามีฟัง
“หลังจากนั้น 2-3 อาทิตย์ลูกชายโทรมา วันนั้นเราไปอยู่ที่คริสตจักรกันเช้ามาก และสามีดิฉันก็เริ่มเข้ากลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่คริสตจักรเป็นวันแรก ดิฉันก็เลยส่งโทรศัพท์ให้กับสามี พอเขารับโทรศัพท์ ก็พูดกับลูกว่า เขาดีใจที่ลูกได้อยู่ในทางของพระเจ้า และก็บอกลูกว่าตอนนี้พ่อกำลังเข้ากลุ่มศึกษาพระคัมภีร์และมาที่คริสตจักร ร่วมนมัสการพระเจ้าแล้ว ลูกชายมาเล่าให้ฟังทีหลังว่ารุ่งขึ้นเป็นวันที่เขาต้องไปเป็นพยานที่คริสต จักรของเขา ลูกจึงนำเรื่องนี้เป็นคำพยาน เขาเล่าให้ที่คริสตจักรฟังว่าเขาตั้งใจจะพูดกับพ่อในสิ่งที่เขาอธิษฐานเผื่อ อยู่ แต่เมื่อพ่อรับสาย เขาไม่ทันได้พูดอะไร กลายเป็นประโยคที่เตรียมพูดนั้น พ่อ
เป็นคนพูดกับเขา เหตุการณ์ในวันนั้นทุกคนที่คริสตจักรร่วมกันขอบคุณพระเจ้ากับเขา แผนการของพระเจ้าสำเร็จแล้ว”
“ที่ต่างประเทศ จะมีรางวัลชื่อว่า “Light and Salt” ลูกดิฉันได้รับรางวัลจากสถาบัน ให้เป็น “เกลือและแสงสว่าง” ถึงลูกจะได้รับพระพรให้ได้สำแดงความรักของพระองค์ผ่านชีวิตเขา ได้เป็นแบบอย่างให้เพื่อนๆ หนุนจิตชูใจหลายๆ คนตอนไปค่ายนมัสการ แต่เขาก็มีช่วงอ่อนล้า ช่วงล้มลงฝ่ายจิตวิญญาณเหมือนกันค่ะ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ก็ไม่ทรงปล่อยลูกดิฉันไว้ลำพัง ช่วงที่ลูกรอคำตอบอย่างกระวนกระวายใจว่าจะได้รับทุนเรียนต่อหรือไม่อย่างไร เพื่อนๆ ที่เขาเคยปลอบประโลมมาตลอดสองปี ก็มาคอยเปิดพระคัมภีร์อ่านไปพร้อมๆ กัน แนะให้เขาเขียนคำพยานส่งให้สถาบัน ว่าตลอดเส้นทางการเรียนและการใช้ชีวิตในอเมริกานั้นพระเจ้าได้ดูแลเขาอย่าง ไร และด้วยคำพยานเหล่านั้น สุดท้ายพระองค์ก็จัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด คือเขาได้ทั้งทุนเรียนจากเมืองไทย และได้ทุนค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตที่อเมริกาจากสถาบันที่นั่น ปีละ 6,000 ดอลล่าร์ พระองค์ยังทรงดูแลลูกดิฉันไปจนถึงยามป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ใจหายกับการรอฟังผล หากคำตอบคือโรคร้ายแรงตามที่วัดค่าเป็นบวก ก็ต้องออกจากโรงเรียนทันทีและกลับเมืองไทย ขอบคุณพระองค์ที่ผลเอ็กซ์เรย์, วัดค่าน้ำลายออกมาไม่น่าห่วง แต่ก็ต้องฉีดยารักษาอีกหลายเดือน ค่ารักษาที่นั่นสูงมาก ที่ทราบคือหลายหมื่นแล้ว เขาหนักใจอย่างที่สุด แต่อยู่ๆพยาบาลก็บอกว่า ทำเรื่องให้แล้ว..ไม่ต้องจ่าย พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐทรงเป็นที่ปรึกษาอัศจรรย์จริงๆ”
มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องเรียกว่าเป็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคุณตุ๊กตาเอง “ดิฉันได้ตรวจพบว่าตัวเองมีก้อนเนื้ออยู่ที่ท้อง 2 ก้อน หลังจากไปตรวจมาระยะหนึ่งก็พบว่าก้อนเนื้อนั้นโตขึ้น ครั้งแรกที่พบ คุณหมอถ่ายภาพเก็บไว้ ปีที่สองก็ถ่ายเก็บ ดิฉันอธิษฐานกับพระเจ้าในเรื่องนี้ และพี่น้องที่คริสตจักรก็อธิษฐานเผื่อเสมอ ตอนนั้นดิฉันรู้สึกกังวลใจไม่น้อย ยังบอกลูกเลยว่า ถ้ากลับมาเยี่ยมแล้วไม่เจอแม่ก็อย่าเสียใจ แต่ลูกบอกว่าพระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีให้กับพวกเราเสมอ อีก 6 เดือน หลังจากนั้น ดิฉันกลับไปตรวจอีก คราวนี้คุณหมอก็ขอถ่ายไว้อีก แต่เพราะเนื่องจากหาไม่พบก้อนเนื้อนั้นหายไปไม่ต้องผ่าออก ตอนนั้นดิฉันร้องตะโกนออกมาว่าขอบคุณพระเจ้า..ๆ ๆ ดังลั่นพยาบาลกับคุณหมอเลยหัวเราะและตื่นเต้นไปด้วย
ส่องสว่างไปถึงคนอื่นๆ ในครอบครัว
การมาเป็นคริสเตียนของคุณตุ๊กตาและครอบครัวย่อมส่งผลต่อคนอื่นๆ ในครอบครัวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง “ดิฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ แม้ทางครอบครัวฝ่ายสามีจะเป็นครอบครัวคนจีนโดยแท้ แต่ท่านและญาติๆ คนอื่น ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านอะไร ท่านคงจะเห็นการถ่อมใจของเราที่มีต่อผู้ใหญ่ เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ให้เราเหินห่างกับครอบครัว ในทางตรงกันข้าม เมื่อก่อนดิฉันบกพร่องในหลายสิ่งหลายอย่าง ปัจจุบันพระเจ้าอวยพรให้ดิฉันรู้จักเข้าหาและให้เกียรติผู้ใหญ่มากขึ้น เพราะในพระคัมภีร์สอนไว้ว่า จงรักนับถือ เลี้ยงดูบิดามารดา และให้เกียรติบิดามารดา
“อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ดิฉันเห็นถึงพระคุณของพระเจ้าที่ส่งผ่านจากครอบครัว เราไปถึงคนใกล้ชิดคือ เมื่อปลายปีที่แล้ว ทราบว่าพี่สาวคนหนึ่งของสามีป่วยเป็นมะเร็ง ไปผ่าตัดรักษาที่โรงพยาบาลพวกเราก็ไปให้กำลังใจ และคิดว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะเป็นท่อพระพรความรักของพระเจ้าให้แก่พี่สาวคน นี้ อาจารย์พูลสุข เศรษฐ์โสภณกุล และทีมพี่น้องที่คริสตจักรได้ไปเยี่ยม หลังผ่าตัดเสร็จก็กลับบ้านที่สุขาภิบาล 3 ด้วยความที่ระยะทางไกลกับความจำกัดในการเปิดใจ ทำให้ดิฉันไม่มีโอกาสพาเขามาที่คริสตจักรเลยสักครั้ง สี่ห้าเดือนต่อมาอาการก็ทรุดลงอีก อาจารย์และพี่น้องที่คริสตจักรได้ไปเยี่ยมเขาอีกครั้ง ดิฉันรู้สึกทุกข์ใจมากเพราะคิดว่าก่อนหน้านี้น่าจะพาเขาไปที่คริสตจักร เอาแต่ถามตัวเองว่านี่เราพลาดหรือช้าเกินไปหรือเปล่า แต่ลูกชายคนโตที่อยู่อเมริกาได้โทรมาหนุนใจว่าถ้ามั่นใจว่าแม่ทำเต็มที่แล้ว ความสำเร็จเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น พระองค์มีแผนการให้กับทุกสิ่งและไม่ให้แม่โทษตัวเอง ลูกชายหนุนใจผ่านทางโทรศัพท์และเขาก็อธิษฐานเผื่อ ขอให้พระเจ้าช่วยดิฉันให้มีความเข้าใจในความรักของพระเจ้ามากขึ้น ว่าพระเจ้าจัดเตรียมทุกอย่างไว้ดีแล้ว ลูกบอกว่าพระเจ้ารักป้ามาก ถึงแม้ว่าป้าอยู่ไกล แต่ก็ยังมีพี่น้องคริสเตียนไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน คำพูดของเขาตรงนี้ทำให้ดิฉันมีพลังในการอดทนรอคอยพอวางโทรศัพท์จากลูกในใจ ดิฉันคิดว่าอยากให้พระเจ้าดลใจให้พี่สาวเปิดใจอย่างแท้จริง พอสามีดิฉันกลับมาและบอกว่าพี่สาวเปิดใจให้กับพระเจ้าแล้วรวมทั้งแม่สามี ด้วย ดิฉันดีใจมาก วันรุ่งขึ้นพี่สาวได้เสียชีวิตลง ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่ทอดทิ้งและมาทันเวลาเสมอ เราได้ทำพิธีนมัสการพระเจ้าเพื่อไว้อาลัยด้วย เนื่องจากพี่สาวได้เปิดใจรับเชื่อและได้อ่านพระคัมภีร์ไปพร้อมๆ กันกับอาจารย์สมใจ เชษฐพยัคฆ์ เราได้สำแดงความรักของพระองค์ผ่านท่าทีของพี่น้องคริสเตียนทุกคน พวกญาติๆ และแขกที่มาในงานมีโอกาสได้ฟังพระวจนะ ผ่านคำเทศนาของ ศาสนาจารย์วิรัช เศรษฐ์โสภณกุล
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ยอห์น 14:6
ในหมู่ญาติยังมีอีกคนหนึ่งที่คุณตุ๊กตาเป็นห่วงและอยากให้มารู้จักพระเจ้า มาก “ดิฉันมีพี่สาวคนเดียว เขาไปอยู่ที่ไต้หวันได้ประมาณ 20 ปีแล้วเวลาดิฉันจะเล่าเรื่องพระเจ้าให้ฟัง เขาจะบอกว่ารู้แล้ว ที่ไต้หวันก็มีเพื่อนบ้านมาเคาะประตู เล่าเรื่องพระเจ้า รู้ว่าบางคนดีมากถึงกับให้ความช่วยเหลือกันยามขัดสน ดิฉันบอกไปว่าพวกเขาไม่ใช่ช่วยเพราะแค่อยากทำดีด้วย แต่เพราะเขามีพระเจ้าและอยากทำตามพระประสงค์ เหมือนที่พระคัมภีร์สอนให้รักคนอื่นเหมือนรักตนเอง ตอนนี้พี่สาวดิฉันยังไม่เปิดใจ ดิฉันจะอธิษฐานเผื่อเขาตลอดไปและรอคอยวันที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเขา จริงๆ”
เป็นเกลือในสังคมรอบข้าง
เมื่อมารู้จักพระเจ้าแล้ว คำสั่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่คริสเตียนทุกคนคือ การออกไปเป็นพยานในแผ่นดินโลก คุณตุ๊กตากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ดิฉันต้องพูดแน่นอน แม้เราไม่ใช่ผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา เมื่อดิฉันมาที่คริสตจักรและร่วมประชุมในกลุ่มสตรีไม่นาน ดิฉันก็มีโอกาสได้ถวายงานรับใช้พระเจ้า ด้วยการทำหน้าที่เลขาฯ กลุ่มสตรี โดยส่วนตัวดิฉันไม่รู้ว่าเลขาฯ ต้องทำอะไร แต่นี่ คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ดิฉันได้เรียนรู้ ดิฉันมีโอกาสไปร่วมการประชุมที่ผ่านมาคือ งานสมัชชาของสมาคมพระคริสตธรรมไทยก็ได้ไปถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ เก็บข้อมูลไว้ให้ คณะสตรีแสงสว่าง ทุกๆ เดือนที่มีการประชุม ดิฉัน
ต้อง จดและเขียนรายงานเพื่อสรุปให้พี่น้องในกลุ่มสตรีนั่นก็ทำให้ดิฉันได้รู้จัก การทำงานแบบมีระบบได้ช่วยด้านความจำของตัวเอง ได้เติบโตในพระคริสต์ไปพร้อมๆ กัน
“นอกจากนี้พระเจ้ายังเทพระพรให้ดิฉัน ในตอนที่ดิฉันอายุ 50 ให้ดิฉันสามารถเรียนรู้ในการใช้อินเตอร์เน็ต ดิฉันก็เลยเปิดหน้าเว็บของคณะสตรีคริสตจักรแสงสว่างขึ้น ดิฉันยังเรียนรู้ที่จะดึงลิงค์เพลงของพระเจ้า หรือการเทศนาของศาสนาจารย์ต่างๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์มาใส่ด้วย แต่ความสามารถของดิฉันก็ยังคงมีความจำกัดพระเจ้าทรงเลือกใช้สามีดิฉัน ซึ่งได้รับของประทานมากกว่าในเรื่องการถ่ายทำวีดีโอและตัดต่อเป็นเรื่องราว การมาร่วมกันทำกิจกรรม ทำให้เราได้รู้จักพี่น้องคริสเตียนมากขึ้น”
คุณตุ๊กตายังใช้โซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค เป็นที่สำแดงความรักของพระเจ้าด้วย “ดิฉันใส่พระวจนะของพระเจ้าในเฟสบุ๊กของดิฉัน ก็มักจะมีหลายคนถามว่าครอบครัวของดิฉันเป็นคริสเตียนหรือ และก็มีการแลกเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกันและกัน อันนี้ไม่ใช่เฉพาะกับคนระดับผู้ใหญ่ด้วยกันแม้แต่กับเพื่อนๆ ของลูก พระเจ้าอาจจะเห็นว่าดิฉันมีความสนิทสนมกับพวกเขา เลยให้ช่องทางนี้ที่จะเป็นพระพรเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์กับพวกเขา ดิฉันดีใจมากที่สามารถใช้ช่องทางนี้สื่ออะไรได้อีกเยอะ ดิฉันเชื่อว่าการที่จะให้ใครมารู้จักกับพระเจ้าได้นั้น ดิฉันต้องสำแดงตนว่าเป็นคนคริสเตียนที่เข้มแข็ง มีสันติสุขในใจจริงๆ เขาจะเห็นว่าแม้ครอบครัวดิฉันจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็มีความอบอุ่นเพราะเรามีพระเจ้าทรงนำ เราดำเนินชีวิตติดสนิทกับพระองค์ เราจึงจะเป็นท่อพระพรส่งต่อได้” ดีใจที่ตอนนี้มีเพื่อนลูกและผู้ปกครองมานมัสการที่คริสตจักรแล้ว
มีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคุณตุ๊กตาและเป็นโอกาสที่เธอบอก ว่า อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นถึงความเป็นคริสเตียน เห็นความรักของพระเจ้าในวันเวลานั้นด้วย “ดิฉันขอบคุณพระเจ้าที่นำให้ดิฉันได้กลับไปพบเจอกับผู้คนในวงการบันเทิงอีก คือในวันที่ 21 พฤษภาคม 2011 ทางหอภาพยนตร์แห่งชาติได้เชิญดิฉันไปประทับมือเท้า ในฐานะนักแสดงเด็กในอดีต ที่โดดเด่นในวงการภาพยนตร์ ดิฉันเป็น 1 ใน 3 คน อีก 2 ท่านที่ได้มาประทับมือและเท้าด้วยคือ คุณสุทิศา พัฒนุช เป็นนางเอกแสนสวยในอดีต และอีกท่านคือ คุณปริม ประภาพร นางรองสุดแสนเซ็กซี่ คนเหล่านี้อยู่ในวงการในยุคสมัยเดียวกับดิฉันซึ่งตอนนั้นดิฉันยังเป็นเด็ก อยู่ และนี่เป็นโอกาสที่ดิฉันคาดหวังว่าหลายคนจะได้เห็นถึงความเป็นคริสเตียนและ ความรักของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของดิฉันและของพี่น้องในคริสตจักรที่ดิฉัน เชิญไปร่วมเป็นกำลังใจให้ดิฉันในวันนั้นด้วย”
ชีวิตของคนเรานั้นเป็นดั่งละครเวทีโรงใหญ่แต่ละคนสวมบทบาทของตัวเองและต้อง พบเจอสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตไม่หยุดหย่อน วันนี้ชีวิตของคุณตุ๊กตา จินดานุชและครอบครัว ได้พบกับความรักที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ซึ่งเป็นคำตอบที่แท้ให้แก่ทุกเหตุการณ์ที่เธอจะต้องเผชิญต่อไปในอนาคตด้วย ความไว้วางใจในพระองค์
- คุณตุ๊กตา จินดานุช