ฉันติด Facebook? 1/11

ฉันติด Facebook?

คนที่ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดสารเสพติด นั้นสังเกตไม่ยาก เด็กที่ติดเกม ก็มีพ่อแม่คอยวิ่งพามารักษาไม่ขาดสาย แต่อาการเสพติดประเภทใหม่ ยังเป็นข้อถกเถียงของสังคม ก็คือการเสพติด social network ซึ่งถ้าเราพูดให้ชัด หรือเจาะจงกว่านี้สักหน่อย Facebook น่าจะเป็นตัวแทนที่พอพูดถึงใครๆ ก็ต่างนึกออก เคยสงสัยบ้างไหมครับว่าการเสพติด Facebook มันมีจริง หรือเป็นแค่คำพูดประชดกันแรงๆ ของนายจ้างที่เกลียดที่สุดเวลาเห็นคนในบริษัทแอบเบียดบังเวลางานไปเล่นเจ้าFacebook

วิธีการที่จะบอกได้ดีที่สุดว่า Facebook เสพติดได้จริงหรือไม่ก็คือ การสำรวจว่ามีใครบ้างที่ลงแดง (withdrawal symptoms) หรือทุรนทุรายอย่างหนักเวลาไม่ได้เสพเจ้า Facebook วิธีทดสอบที่ผมไม่เคยใช้กับสารเสพติดประเภทอื่นก็คือ ผมต้องลองเสพ Facebook ด้วยตัวผมเองดูสักครั้ง ซึ่งนับจากวันนั้นก็ผ่านมากว่า 2 ปีแล้ว จากการได้ทดสอบกับตัวเองและได้สังเกตจากเพื่อนๆ รวมทั้งคนที่มาขอคำปรึกษาทำให้ผมเกิดความเชื่อส่วนตัวว่า Facebook สามารถเสพติดได้จริงเพราะในช่วงปีแรกตัวผมเองติด Facebook อย่างงอมแงม ถามว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าติด? ผมอยากให้หลักง่ายๆ ที่คุณผู้อ่านสามารถใช้ถามตัวเองได้เช่นกันว่าคุณติดมันหรือไม่ (ดัดแปลงจากนิตยสาร GM 371 ,2009) Facebook ทำให้นอนดึกผิดปกติ บางคนบอกว่านอนเช้า คือเช้าของอีกวัน

ทุกครั้งที่เข้า internet ไม่เคยพลาดการเข้า Facebook เลยสักครั้งทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย

มีรายชื่อเพื่อนใน Facebook มากเกินไป (บางคนมีเป็นหลักหลายพัน) ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นดาราหรือคนมีชื่อเสียง หรือต้องการใช้เพื่อโฆษณา

เริ่มคุยกับเพื่อนใน Facebook มากกว่าเพื่อนในชีวิตจริง พนักงานบริษัทบางคนแอบคุยกับเพื่อนที่นั่งติดกันด้วย Facebook ก็มี จนเริ่มกลายเป็นความเคยชิน

กระหน่ำเล่นเกมใน Facebook เพื่อจะมีแต้มในระดับ Top 5 (ส่วนตัวผมเคยติด Bejeweled Blitz จนนึกว่าตัวเองเพิ่งนั่งเล่นไปชั่วโมงเดียว ทั้งๆ ที่ผ่านมาแล้วสามชั่วโมง)

เวลาว่างมักนึกอยากเข้าไปเช็ค comment ใน Facebook จนแทบนั่งไม่ติด ไม่เว้นแม้แต่เวลาไปเที่ยวพักผ่อนในที่ที่ไม่มีสัญญาณ internet และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ อ.ปาย มี internet cafe แล้ว

กัดฟันซื้อ iPhone, iPad, Blackberry หรือ Galaxy เรียกว่ายอมอดข้าวอดน้ำเพียงเพราะจะสามารถเข้า Facebook ได้ตลอดเวลา

ถ้าเราถามหัวใจตัวเองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมเชื่อว่าเราทุกคนต่างทราบดีว่า เราติดหรือไม่ติด Facebook โดยไม่ต้องพึ่งนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญมานั่งวิเคราะห์โรคให้ และหากท่านพบว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่เสพติดและเริ่มมีอาการลงแดงและปรารถนาจะเอาชนะใจตนเอง ผมขอเสนอทางออกแก่ท่านสามประการดังนี้

ประการแรก จงจำกัดเวลาที่ใช้กับ Facebook วิธีที่ผมใช้กับตัวเองก็คือการหักดิบผมหยุดการใช้ Facebook จนกว่าผมจะแน่ใจกับตัวเองว่าผมไม่มีอาการลงแดง ทุรนทุรายอีกต่อไป แต่ผู้อ่านอาจใช้วิธีอื่นๆ เช่น การเล่นเฉพาะวันคี่ เพื่อเป็นการค่อยๆ ลดเวลาในการใช้ ในเด็กวัยรุ่นที่มาขอคำปรึกษากับผมบางคนผมแนะนำให้เปลี่ยนมือถือเป็นระบบโทรอย่างเดียวชั่วคราว เพื่อลดโอกาสในการเข้า Facebook ให้น้อยลง

ประการต่อมา เพิ่มงานและความรับผิดชอบให้มากขึ้น ผมพบกับตัวเองว่าในช่วงที่ผมมีงานเขียน หรืองานอบรม ผมจะสามารถลืมความรู้สึกอยากเล่น Facebook ได้มากกว่าเวลาปกติ ดังนั้นการที่ท่านติด Facebook อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าท่านมีเวลาว่างมากเกินไป ลองอาสาสมัครเข้าไปรับผิดชอบโครงการอะไรสักอย่างในบริษัท หรือ หาคอร์สเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มหลังเลิกงาน ก็น่าจะช่วยให้เราหายอาการอยากเล่นได้มากทีเดียวครับ

ประการสุดท้าย เพิ่มเวลาสามัคคีธรรมในชีวิตให้มากขึ้น คนที่มีอาการเสพติด Facebook มีลักษณะร่วมอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างตรงกันก็คือ เป็นพวกชอบปลีกวิเวก ไม่ทานข้าวพร้อมกับครอบครัว ไม่ไปเตะบอลกับเพื่อน หลายคนที่ผมรู้จักจะเริ่มไม่มาคริสตจักร อาจเพราะนอนดึกด้วย แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาหลอกตัวเองโดยการมีสังคมผ่านทางโลกไซเบอร์มากเกินไป และไม่รู้ตัวเองว่าเริ่มกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคมไปแล้ว Facebook เป็นเครื่องมือให้เรารู้จักเพื่อนมากขึ้นก็จริงแต่มันก็ไม่สามารถทดแทนการใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนจริงๆ ได้ ดังนั้นจงลุกขึ้นจากที่นอนหรือเงยหน้าจากจอมือถือสักที แล้วโทรไปนัดคุณพ่อคุณแม่ หรือเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันนาน ออกไปเที่ยวไปใช้เวลาด้วยกัน แล้วคุณจะพบว่ามันวิเศษมากแค่ไหน

ผมไม่ปฏิเสธว่า Facebook มีประโยชน์มากจริงๆ ทั้งการติดต่อสื่อสาร และการใช้ในธุรกิจ แต่กว่าที่ผมจะสามารถยอมรับและเอาชนะการเสพติด Facebook จนมาอยู่ในระดับแค่การใช้ประโยชน์จากมัน ผมก็ต้องเสียเวลาไปนานโขทีเดียว เราคงคุ้นกับพระธรรมอพยพ 20:4 ที่กล่าวว่า “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน” ในมุมมองของพระคัมภีร์นั้นสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เราเสพติดมากยิ่งกว่าการติดสนิทกับพระเจ้าสิ่งนั้นก็เปรียบเสมือน “รูปเคารพ” นั่นเอง แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมฟันธงว่า Facebook คือรูปเคารพ มันขึ้นอยู่กับเราเองว่าเราจะให้ Facebook เป็นอะไรในชีวิตของเรา ทุกวันนี้ผมยังคงใช้ Facebook แต่ผมไม่ได้ติด Facebook อีกต่อไป ผมมีความสุขมากเมื่อพบเพื่อนเก่าที่ผมไม่ได้พูดคุยกันมาเป็นเวลานานใน Facebook และผมดีใจมากที่สามารถประชาสัมพันธ์งานประกาศ หรือพันธกิจของคริสตจักรผ่าน Facebook ได้อย่างมีประสิทธิผล

ในพระธรรม 1 โครินธ์ 9:22 อ.เปาโลได้ให้ข้อคิดกับเราว่า “ต่อพวกคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้พวกคนอ่อนแอมา ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกแบบต่อทุกคน เพื่อช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทาง” ดังนั้นผมจึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนหันมาใช้ Facebook หรือ social network แบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Hi5 หรือ multiply โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่เคยสัมผัสสิ่งเหล่านี้มาก่อน ไม่เพียงเพื่อว่าเราจะสามารถเข้าใจคนที่ใช้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าถึงคนในยุคปัจจุบันเพื่อนำสาระแห่งพระกิตติคุณ ตลอดจนเรื่องราวหนุนใจดีๆ ไปถึงคนเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดีเราต้องหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราจะใช้ social network เหล่านี้เป็นเครื่องมือ โดยที่ไม่กลายเป็นทาสของเครื่องมือนั้นๆ เสียเอง สุดท้ายนี้หวังว่าพวกเราจะไม่ได้เจอกันเฉพาะในสังคมสมมติอย่างโลกไซเบอร์เท่านั้น แต่เราจะสามารถพบกันจริงๆ กอดกันแตะบ่าให้กำลังใจกัน ในสังคมที่อบอวลด้วยความรักอย่างแท้จริงอีกด้วย ขอพระเจ้าอวยพรครับ….

  • อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ Thaspol_S – Freepik.com