ชีวิตที่เคลื่อนไปตามวัตถุประสงค์
พี่น้องคริสตชนมักรู้จัก หรือได้ยินชื่อของ คุณมนตรี ศรไพศาล อยู่เนืองๆ ด้วยความเป็นนักธุรกิจคริสเตียนที่มุ่งมั่นตั้งใจในการรับใช้พระเจ้าควบคู่ไปกับการทำาธุรกิจสายการเงิน วันนี้เราขอพาท่านมารู้จักกับพี่ชายแท้ๆ ของคุณมนตรี ซึ่งวันนี้ท่านมารู้จักพระเจ้าแล้ว และชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุประสงค์ที่พระเจ้ามีในชีวิตท่าน…
ได้พบพระเจ้าเพราะน้องชาย
“การพบพระเจ้าได้ ก็ฟังจากน้องชายของตัวเองคือ คุณมนตรี ศรไพศาล ซึ่งรู้จักพระเจ้ามาก่อนหน้าผม 30 ปี ตั้งแต่อายุของเขา 11 ขวบ ต่อมาในเดือนธันวาคม 2005 เมื่อ 6ปีที่แล้วเขาก็พูดกับผมอีกครั้งหนึ่งว่า ‘เฮียก็เป็นคนฉลาดนะ… แต่เฮียมองข้ามความรักของพระเจ้าไปได้อย่างไร’ วันนั้นมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจของผม ทำาให้รู้สึกว่าอยากศึกษาเรื่อง ราวของพระเจ้าดู ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นพุทธมามกะที่น่าจะเรียกได้ว่าจริงจัง มีความศรัทธาในหลักพุทธรรมและได้รับคุณูปการจากหลักข้อเชื่อเหล่านั้นมากมายแม้จนทุกวันนี้ แต่ก็รู้สึกว่าทำาไม
คุณมนตรีมั่นคงในการพูดเรื่องราวของพระเจ้าเสมอมา ก็เลยคิดว่าผมควรจะศึกษาในหลักข้อเชื่อของเขาด้วย คล้ายๆ กับการรับคำาท้าทายมากกว่า ก็เลยบอกกับเขาว่าเราทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่เป็นศาสนิกชนที่ดี และเราก็เชื่อซึ่งกันและกันว่าเราเป็นคนที่ดีของสังคม ถ้าเราใช้บทบาทของนักศึกษาที่จะเปิดใจออกศึกษาความคิด ความเชื่อของซึ่งกันและกันก็น่าจะดี แต่มีข้อแม้ว่า ต้องไม่ตั้งสมมุติฐานว่าของเราถูกแน่ๆ แล้วพวกเราก็เริ่มแลกกันศึกษา คุณมนตรีเอาหนังสือ Purpose Driven Life (ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์) ของ Rick Warren ให้ผม ผมก็เอาหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของ ติชนัทฮันต์ให้มนตรี
จุดเริ่มต้นของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
หนังสือชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ประกอบด้วยบทเรียน40 บทที่ผู้เขียนแนะนำให้อ่านและใคร่ครวญวันละหนึ่งบทเป็นเวลา 40 วันติดต่อกัน ซึ่งผู้เขียนบอกว่าถ้าเราตั้งใจทำจริง เราจะสามารถรู้คำตอบของคำถามสำคัญว่า What on earth am I here for? ซึ่งผมพากย์ไทยว่า “เราเกิดมาทำไม”เนื้อหาของหนังสือดีมาก ทำให้ผมสามารถอ่านได้อย่างต่อเนื่องทุกเช้า และในวันที่เจ็ดของหนังสือชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ริค วอร์เรน บอกกับผู้อ่านว่า พระเจ้ารักเราและอยากจะให้เราได้รับความรอด ถ้าหากว่าเราหลับตาและกระซิบว่า Jesus I believe in you and I receive you. พระเจ้าก็จะเข้ามาในชีวิตเรา จะนำทางชีวิตของเรา และเราจะรู้จักพระองค์มาก
ขึ้น ในเวลานั้นผมคิดถึงคำพูดหนึ่งที่คุณมนตรีพูดเสมอก็คือ เรื่องของพระเจ้าต้องเชื่อก่อนแล้ว จึงจะเห็น ไม่ใช่ต้องเห็นก่อนแล้วจึงจะเชื่อ ในที่สุดผมตัดสินใจอย่างนักศึกษาความจริงของชีวิตหลับตาแล้วกระซิบตามที่หนังสือบอก แล้วผมก็เริ่มต้นแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง วันถัดมาหลังจากนั้นผมแวะไปร้านหนังสือที่ตลาดหลักทรัพย์ จึงลองมองหาหนังสือเกี่ยวกับพระเจ้า แต่ก็หาไม่ได้สักเล่ม แต่เจอหนังสือนิทานแปลไทยชื่อGOOD LUCK แทน ซึ่งไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าแต่เป็นหนังสือพัฒนาตนในรูปแบบนิทาน ผมอ่านหนังสือ GOOD LUCK จบในสองวัน แม้จะไม่พบเรื่องราวของพระเจ้าอย่างที่แอบหวังเอาไว้ แต่พออ่านไปถึงหน้าสุดท้าย ผมก็สะดุดใจกับประโยคสุดท้ายที่ว่า “และจงจำไว้ว่า นิทานโชคดีนี้ไม่ได้มาอยู่ในมือคุณด้วยความบังเอิญ”และเมื่อมองไปที่หน้าปกอีกครั้งก็สังเกตว่าชื่อหนังสืออาจอ่านได้ว่า “GOD LUCK”เพราะมีต้นโคลเวอร์วิเศษปิดทับตัวโอไปตัวหนึ่ง ในเวลานั้นผมน้ำตาซึม อดคิดไม่ได้ว่า นี่อาจเป็นวิธีส่งสัญญาณของพระเจ้า ในเวลาที่ผมเริ่มตั้งใจค้นหาพระองค์ โดยคิดเอาว่าหนังสือนิทานโชคดีนี้ เป็นของขวัญสำหรับการเริ่มต้นรู้จักกันของเรา… ในเวลานั้นผมยังไม่รู้หรอกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นในคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึง
ของขวัญวันคริสต์มาสจากพระเจ้า
มีเรื่องสำคัญในชีวิตของผมอีกเรื่องที่เกิดในเดือนธันวาเดียวกันนั้น คือ ผมได้รับโอกาสเข้าสัมภาษณ์งานในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณจำกัด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงคาบเกี่ยวกับคริสต์มาสพอดี ปีนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมบอกคุณแม่ให้ชวนพี่น้องคริสเตียนมาร้องเพลงที่บ้าน(แม่เป็นคริสเตียนก่อนหลายปี) หลังจากที่ผมได้เข้าสัมภาษณ์ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2005 และรู้ว่าน่าจะได้งานนี้ ผมอดคิดที่จะผูกเรื่องการต้อนรับพระเจ้ากับโอกาสทางการงานที่มีเกียรตินี้เข้าด้วยกันไม่ได้ ผมก็เลยตัดสินใจบอกคุณมนตรีว่าจะไปโบสถ์ด้วย ผมไปที่คริสตจักรความหวัง สุขุมวิทซอย 5ในวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2006 และในวันนั้น อาจารย์ผู้เทศนาได้พูดถึงโยชูวา มีข้อความตอนหนึ่งที่สะกิดใจของผมคือ ‘พระเจ้าก็รู้ว่าโยชูวาไม่มั่นใจในตนเองในการที่จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำพระเจ้าจึงบอกว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าหวาดหวั่นหรือคร้ามกลัวเลยเพราะไม่ว่าเจ้าจะไป ณ แห่งหนใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าสถิตอยู่กบั เจ้า’ อาจารย์ท่านพูดย้ำหลายครั้ง คุณมนตรีก็หันมาหาผมแล้วบอกว่า ‘เฮียพระเจ้าเทศน์ให้เฮียฟังโดยเฉพาะเลยนะ’ ทุกวันนี้ผมมักจะร้องเพลง ‘เราบัญชาเจ้า แล้วมิใช่หรือ ว่าจงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด…’ อยู่เสมอ เป็นเพลงที่ผมชอบและทำให้มีกำลังมากขึ้นในทุกๆ วัน”
เรื่องประจวบเหมาะสุดท้ายที่ภรรยาของผมเป็นผู้ชี้ให้ผมดู คือ หนังสือ GOOD LUCK นี้ใช้พื้นปกสีฟ้าเทอร์ควอยส์ ซึ่งบังเอิญเป็นสีโลโก้ของ บลจ.วรรณ อีกด้วย จำได้ว่าวันนั้นผมรู้สึกปลาบปลื้มตื้นตันจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นน้ำตาไหลด้วยความขอบพระคุณ เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ (รวมทั้งอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้เล่า) เมื่อประมวลรวมกันเข้า ทำให้รู้สึกว่าอาจเกินไปกว่าความบังเอิญ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงประทานงานที่มีเกียรติและมีความหมายนี้เป็นของขวัญคริสต์มาสแรกที่ผมต้อนรับพระองค์ คือเป็น GOD LUCK เป็น GOD GIFT… ไม่ใช่ความบังเอิญ
ชีวิตคริสเตียนค่อยๆ เติบโตขึ้น
“ผมเป็นนักอ่านหนังสืออยู่แต่เดิม ผมขอบคุณพระเจ้าที่ได้เริ่มต้นจากหนังสือชีวิตที่เคลื่อน
ไปด้วยวัตถุประสงค์ ของ ริค วอร์เรน หนังสือเล่มนี้เป็นการวางรากฐานชีวิตคริสเตียนที่ดีมาก คำว่าวัตถุประสงค์ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ ในทุกสิ่งที่กระทำต้องมีวัตถุประสงค์เสมอ ต้องถามตัวเองเสมอว่าเราทำเพื่ออะไร และผมยังเรียนรู้จากหนังสือสำคัญๆ อีกหลายเล่ม ถ้าเป็นในพระคัมภีร์ผมชอบพระธรรมมัทธิวมาก เป็นแหล่งรวมคำสอน แนวคิด และหลักปฏิบัติที่สำคัญและมีความครอบคลุมกว้างขวาง ผมยังทำตามแผนการอ่านพระคัมภีร์หกสัปดาห์ ของThe Quest Bibleซึ่งประกอบด้วย พระกิตติคุณและคำสอนของพระเยซูคริสต์ 2 สัปดาห์ เป็นของ อ.เปาโล 2 สัปดาห์และอีก 2 สัปดาห์เป็นของพระคัมภีร์เดิม หนังสือเล่มนี้จะมีเกริ่นนำประวัติ คำสอน การใช้ชีวิตของพระเยซู ของ อ.เปาโล และของพระคัมภีร์เดิม นี่เป็นจุดเริ่มต้นของผม ผมยังได้ฝึกนิสัยและความเชื่อในพลังแห่งการอธิษฐานจากหนังสือสามเล่ม ของ สตอมี่ โอมาเทียน
พลังแห่งการอธิษฐานของครอบครัว
หนังสือเล่มแรกคือ พลังแห่งการอธิษฐานของสามี ผมได้เล่มนี้จากการไปค่ายที่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งท้ายบทจะมีตัวอย่างการอธิษฐานให้ภรรยา อ่านดูแล้วชอบใจ ผมก็นำมาใช้โดยจับมืออธิษฐานออกเสียงตามแต่ละบทในหนังสือให้ภรรยา(คุณเมตตา ศรไพศาล หรือมิ้งค์)อธิษฐานทุกคืน ทำแบบนี้ประมาณสามสัปดาห์ก็จบเล่ม เราได้สัมผัสถึงพลังแห่งการอธิษฐานที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้ มีความรัก ความเข้าใจในกันและกันมากขึ้น ผมก็ไปอ่านหนังสือเรื่อง พลังแห่งการอธิษฐานของพ่อแม่ โดยชวนมิ้งค์อธิษฐานให้ลูกๆอีกประมาณสามสัปดาห์ และผมก็ได้เอาหนังสือเรื่อง พลังแห่งการอธิษฐานของภรรยา ไปให้ภรรยาอธิษฐานให้ผมเองบ้างในลักษณะเดียวกันครอบครัวของผมมีโอกาสฝึกการอธิษฐาน การคิดถึงซึ่งกันและกัน ซึ่งการอธิษฐานก็ยังคงนำชีวิตของพวกเราในทุกวันนี้ “สิ่งหนึ่งที่ผมขอบคุณพระเจ้ามากคือหน้าที่การงานที่ผมได้มา ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ ตอนนั้นลูกของผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ส่วนอีกคนเรียนอยู่ที่อำนวยศิลป์ที่ทำงานของผมอยู่ตรงกลางพอดี ทุกเช้าผมจึงไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียนก่อน เรามีเวลาคุยกันบนรถ และสิ่งที่พวกเราทำร่วมกันเป็นประจำคือการอธิษฐานเหมือนในพระธรรมมัทธิว 6:9-15ก่อนที่จะอธิษฐาน ผมจะถามลูกๆ ว่าวันนี้จะให้อธิษฐานเผื่อเรื่องอะไร ทุกคนก็จะบอกว่าวันนี้มีอะไร ต่างคนก็ต่างเสนอมา ตอนแรกๆ ผมก็จะอธิษฐานนำเสมอ บางครั้งพวกเราก็จะเวียนกันเป็นผู้อธิษฐานนำไป การทำเช่นนี้ ทำให้ทุกเช้าเป็นเวลาที่เราได้เรียนรู้จากกันและกันว่าแต่ละคนทำอะไรอยู่ และเราฝากสิ่งต่างๆ นั้นไว้กับเพระเจ้า นอกจากนี้เราก็จะอธิษฐานเผื่อแม่ เผื่ออาม่า ที่อยู่ที่บ้าน และคนที่เรารักคนอื่นๆ ด้วย รวมไปถึงคนขับรถ และแม่บ้านของเราด้วย
หลักการของพระเจ้านำมาปรับใช้ในครอบครัว
“นอกเหนือจากการอธิษฐานภายในครอบครัว ในพระธรรมตอนหนึ่งที่พูดถึงว่า ‘ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรัก และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร’ (เอเฟซัส 5:22-25)
“และอีกข้อที่พูดถึงว่า ‘ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติที่มีพระสัญญาไว้ด้วย เพื่อเจ้าจะไปดีมาดี และมีอายุยืนนานในแผ่นดินโลก ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ (เอเฟซัส 6:1-4)
“ผมคิดว่านี่เป็นหลักพื้นฐานที่นำมาใช้ได้จริงและง่ายมาก เหมือนอย่างในท้ายของจดหมายที่มักลงท้ายว่า ‘ด้วยรักและเคารพ’ ซึ่งผมคิดว่าเป็นแกนของความสัมพันธ์ และแกนตรงนี้มีบนมีล่าง เวลาที่เรามองขึ้น ความเคารพเป็นหลัก ความรักเป็นรอง เวลามองลง ความรักเป็นหลัก ความเคารพเป็นรอง ในทำนองเดียวกัน ลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ พ่อแม่ต้องไม่ทำให้ลูกโกรธเช่น พ่อแม่เก็บกดมาจากข้างนอกทำงานเครียดกลับมา มีโอกาสสูงมากที่จะไปใช้อำนาจหรืออารมณ์กับลูกๆแต่พระเจ้าบอกเราว่าอย่าไปทำให้เด็กโกรธ เราไประบายใส่เขาไม่ได้ เราไปกดดันเขาไม่ได้ เราจะต้องให้เกียรติลูกๆ เหมือนกัน รักและเคารพด้วยดีกรีที่แตกต่างกันไป นี่คือแกนที่สร้างชีวิตครอบครัวของผม
“ที่บ้านของผม ผมจะใช้หลักความรัก การให้เกียรติ การยอมฟังกันและกัน ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งอาจารย์ท่านหนึ่งสัมภาษณ์ผมตอนที่จะให้ลูกเข้าโรงเรียน เขาถามว่าคุณพ่อตีลูกไหมผมบอกว่าตีครับ ตอนที่เขาเด็กๆ เท่าที่ผมจำได้ ลูกๆ แต่ละคน จะถูกตีไม่เกิน 5 ครั้ง ตอนที่เขายังพูดไม่เข้าใจและเขาไปทำผิด ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมก็กอดแล้วค่อยตี ตีแล้วกอดใหม่ โดยอธิบายด้วยว่าทำไมพ่อถึงตีลูก แต่พอเขาโตมาในระดับที่สามารถคุยกันเข้าใจ ผมก็ไม่จำเป็นต้องตีเขาอีก เพราะว่าในครอบครัวพวกเราจะให้เกียรติกันเสมอ ผมเชื่อว่าลูกๆ ของผมเป็นเด็กดีพูดรู้เรื่อง ผมจะบอกเขาด้วยเหตุผลเสมอว่าทำไมจึงควรทำแบบนี้และทำไมไม่ควรทำแบบนี้ เขาฟังเข้าใจก็ไม่ต้องใช้การตีอีก ผมเชื่อว่าหลักของการรัก และเคารพเป็นหลักพื้นฐาน ของครอบครัว การพูดคุยกันแบบเป็นเพื่อน ใช้คำสอนตามพระคัมภีร์ ไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ ก่อนที่เราจะไปพิพากษาว่าสิ่งที่เขาทำถูกหรือผิด เลือกที่จะฟังก่อนว่าทำไมทำแบบนั้น วัตถุประสงค์คืออะไรอย่างนี้เป็นต้น สำหรับพ่อแม่การให้โอกาสลูกคือสิ่งที่สำคัญเสมอ การที่ให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำการค้นพบสิ่งเขาชอบในชีวิต หรืออาจจะใช้คำว่าของประทานของเขา แล้วก็สนับสนุนให้เขามีโอกาสเลือกนี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ “สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำร่วมกันคือ การอธิษฐานร่วมกัน การอ่านหนังสือร่วมกัน อย่างอยู่ภายในรถ เราก็จะผลัดกันอ่านและเรียนรู้ร่วมกัน ตอนหลังพวกเขาก็จะเริ่มแยกเอาหนังสือไปอ่านกันเอง อ่านเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างมานำเสนอหรือเล่าให้ฟัง”
หลักความเชื่อคริสเตียนนำมาใช้ในชีวิตการทำงาน
ปัจจุบัน ดร.สมจินต์ ศรไพศาล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด อีกทั้งยังได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) จึงอาจกล่าวได้ว่า ดร.สมจินต์ จะต้องมีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบสูงในการดำรงตำแหน่งสำคัญเหล่านี้
“เมื่อมีโอกาสผมจะเตือนตัวเองเสมอว่า เรามาทำงานไม่ใช่เพียงเพื่อรับเงินเดือน ผมจะบริหารกองทุนเพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์ เมื่อลูกค้าได้ประโยชน์ เราก็จะได้เงินเดือน ถ้าเกิดเราไม่ชัดเจนกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของสิ่งที่กำลังทำอยู่ ก็จะหลงทางทันที ถ้าเราคิดอยู่เสมอว่าจะต้องทำงานให้ได้เงินเดือน เส้นทางการทำงานของเราก็จะเหน็ดเหนื่อยมากเพราะมีเงินเป็นนาย ฉะนั้นการทำงานให้สนุกเพื่อให้คนอื่นได้รับประโยชน์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าหากว่าเราทำงานได้ดี และเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ก็จะทำให้การทำงานของเราดำเนินไปด้วยดีเสมอ
สุดท้ายแล้วเงินทองก็ไม่หนีไปไหน
“บางครั้งผมก็พบอุปสรรคในการทำงาน ถ้าผมไม่มีพระเจ้าเป็นหลักในชีวิต ก็จะหวั่นไหวมากว่าผมจะผ่านมัน ไปได้ไหม และกังวลว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ในความเชื่อของผม ผมมักจะนึกถึงสิ่งที่ อ.เปาโลพูดอยู่เสมอ คือ ‘ดังนั้นจึงตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก’ เป็นการสรุปภาพใหญ่ๆ ได้ดีมากว่า ถ้าหากเชื่อว่า พระเจ้าดำรงอยู่และสถิตอยู่กับเราในการทำทุกสิ่ง เมื่อใดที่เรากระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็ทำให้มีความหวังใจว่าพระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น และแน่นอนว่า การกระทำทุกอย่างของเราต้องทำด้วยความรัก ไม่ได้ทำด้วยความเห็นแก่ตัว ผมเองยึดสามสิ่งนี้มาตลอด
“ในความเห็นของผม ผู้บริหารบางคนชอบมีแนวคิดแบ่งแยกและปกครอง ซึ่งทำให้เกิดการคานอำนาจ เกิดการแย่งชิงโอกาส แต่นั่นไม่ใช่วิถีของคริสตชน ผมชอบที่จะทำให้เกิดความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน องค์กรที่ผมอยู่เป็นองค์กรขนาดกลางมีพนักงานประมาณ 130 คน มีแผนกต่างๆ ในทางทฤษฎีแต่ละฝ่ายก็มีวัตถุประสงค์ของตนเองอยู่ และบ้างครั้งอาจจะมีเรื่องที่ขัดแย้งกันได้ ความขัดแย้งเหล่านั้นจะถูกแก้ไขได้ถ้าต่างฝ่ายต่างมีสายตาที่สูงขึ้น คือไม่ใช่จากจุดที่ตัวเองยืนเท่านั้น แต่เป็นจุดที่สูงขึ้น ถ้าเป็นคริสตชน เราก็มองในมุมของสายพระเนตรของพระเจ้า ถ้าเป็นในลักษณะขององค์กร ก็เป็นในมุมของสายตาของซีอีโอ ที่มองเห็นว่าเราต้องทำเพื่อองค์กร หรือไปไกลกว่านั้นก็คือทำเพื่อลูกค้า ถ้าหากว่าเรามีความขัดแย้งในการตัดสินใจ คนหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง อีกคนคิดอีกอย่าง บ่อยครั้งก็มาจากวัตถุประสงค์ส่วนตัวหรือมุมที่ตัวเองมอง แต่ถ้าหากเราพยายามมองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ในมุมมองขององค์กร ในมุมมองของลูกค้า เมื่อภาพกว้างขึ้น ครบขึ้น ความขัดแย้งก็จะเล็กลงและจางหายไป
“แรงกดดันอีกประเภทหนึ่งคือแรงกดดันจากการแข่งขัน ในลักษณะว่าลูกค้ามีอยู่แค่นี้ ทุกคนจะต้องแข่งขันแย่งชิงกันอย่างไร คนจำนวนมากมองเรื่องการทำธุรกิจเป็นสงครามที่จะต้องแย่งชิงกัน แต่ผมคิดว่าการสร้างสรรค์สำคัญกว่าการแข่งขัน แน่นอนว่าถ้าเราทำของที่เหมือนๆ กัน ก็จะไปแย่งเอาลูกค้าของกันและกัน แต่ถ้าหากเราพยายามสร้างสรรค์ให้มีสิ่งใหม่เกิดขึ้น เราก็สามารถบริการความต้องการที่แตกต่างกันไป เราพยายามสร้างสรรค์มากกว่าแข่งขันเราพยายามสื่อความรู้มากกว่าสื่อโฆษณา เวลาที่เราจะสื่อสารออกไปไม่ใช่เราเพียงแต่บอกเพื่อให้เกิดการแย่งชิง เราพยายามทำให้มันเกิดเป็นความรู้ขึ้นมา อย่างเช่นผมกับลูกน้องในที่ทำงานทำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาให้กับตลาดหลักทรัพย์ ผมคิดว่าสื่อแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ไม่ใช่แค่บริษัทเราได้รับประโยชน์ แต่ บลจ. อื่นๆ ก็อาจจะได้รับประโยชน์ด้วยจากการที่ความรู้ถูกเผยแพร่ออกไป และการที่ความรู้ถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง เราก็จะได้นักลงทนุ ในวงกว้างขึ้นด้วย มุมมองธุรกิจของผมคือ ถ้าถามว่าจะแข่งกับใคร ก็ต้องบอกว่าแข่งกับตัวเองและจุดโฟกัสของผมอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจึงบริการคนให้กว้างขึ้น ทำให้เขามีความเข้าใจ และสามารถลงทุนด้วยวัตถุประสงค์ของเขาเอง”
วิกฤติที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพึ่งพาพระเจ้าเสมอ
“ในโลกธุรกิจที่แข่งขันกันตลอดเวลา ยังไงผมก็ต้องพบเจออุปสรรคมากมาย เมื่อมารู้จักพระเจ้าแล้ว ทัศนคติของผมเปลี่ยนไป คือ ผมจะวิตกกังวลน้อยลงเมื่อพบกับปัญหา แต่ก็จะไม่ประมาท ผมจะเตรียมการคาดการณ์ เหมือนที่ในพระคำของพระเจ้าพูดถึงมดที่ต้องเตรียมอาหารของมัน ผมจะไม่ประมาทในการเตรียมการหาแนวทางที่จะพัฒนาบริการและแนวทางในการเติบโต “อีกอย่างที่ทำให้ผมเป็นกังวลน้อยลง คือ เมื่อองค์กรของผมมีแนวทางการใช้ความรัก ความเข้าใจ การสื่อสาร การรับฟัง ทำให้ผมมีทีมงานที่ดีมากที่จะทำงานร่วมกัน ช่วยกันคิดหาแนวทางที่จะพัฒนางาน การมีทีมงานที่ดี เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ พวกเรามักจะแก้ไขและผ่านมันไปได้ แม้ว่าทุกอย่างจะไม่ได้เป็นไปตามความคิดของผมทั้งหมดแต่ในที่สุดแล้วพวกเราก็จะผ่านมันไปได้เสมอ ด้วยความตั้งใจในการทำงานของพวกเราทุกคนและยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางทำงานอย่างซื่อสัตย์วางแผนให้ดี ประสานงานกันให้ดี”
นักธุรกิจคริสเตียน กับมุมมองในชีวิต
“การที่ผมจะสำแดงชีวิตที่ยึดหลักของความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก การรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง การปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่อยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา การมีสันติสุข การมีความชื่นชมยินดี การพูดเรื่องราวของพระเจ้า การที่เรายื่นมือออกไปทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในยามที่เรามีโอกาส นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องอยู่ในความถูกต้อง เดินให้ถูกทาง เมื่อชีวิตของผมพึ่งพาพระเจ้า ไม่ว่าจะทำอะไรผมไม่ลังเลที่จะเลือกทางที่ถูกต้อง และผมก็จะปฏิเสธทางลัดที่ไม่ถูกต้อง เพราะผมไม่เชื่อว่าทางลัดที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นจะยั่งยืน
“ผมมีโอกาสเจอผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงินค่อนข้างเยอะ มีบางท่านเป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะพูดอยู่เสมอว่าเงินที่เกินไปจากตรงนี้มันไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เรานอนได้คืนละที่เดียวรถก็ขับได้ทีละคันเดียว อาหารที่ทานง่ายๆ ก็อร่อย ทานมากไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สิ่งเหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า เมื่อมาถึงในระดับหนึ่งแล้ว เงินที่มีเยอะเกินไปกว่าที่ควรจะมี ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีสันติสุขมากขึ้น “ในพระคำของพระเจ้าบอกว่า พระเจ้าจะให้เรามีใช้อย่างพอเพียงและมีอย่างบริบูรณ์เพื่อการทำสิ่งที่ดีทุกอย่าง เพื่อที่จะให้เกิดการขอบคุณพระเจ้าผ่านทางชีวิตของเรา ความมั่งคั่งไม่ได้เป็นสิ่งที่จะบอกได้ว่าดีหรือไม่ดีในตัวของมัน จะดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ว่าเรามีทัศนคติอย่างไรกับสิ่งนี้ที่เรามี ถ้าหากว่าเรามีทัศนคติในการพึ่งพาเงินมากเกินไปในการที่จะทำให้ตัวเราเองมีความสุขผลที่ตามมาคือการแก่งแย่งกันมากเกินไป สันติสุขก็เกิดขึ้นยากเพราะเมื่อไม่พอก็ไม่อิ่ม แต่ถ้าหากว่าเราทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้หญิงหม้ายและเด็กกำพร้า ให้ลูกค้า หรือให้ใครต่อใครเขาได้ประโยชน์และเราจะมีความมั่งคั่งมากขึ้น แบบนี้พระเจ้าคงไม่ได้ว่าอะไร เพราะว่าเราได้ให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้าผ่านทางชีวิตของเรา
“ในข้อพระคัมภีร์บางตอนบอกว่า คนที่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ คำพูดของเขาก็จะไม่มีคนฟัง แต่คนที่มีความสำเร็จและดูแลตัวเองได้ คำพูดของเขาก็จะมีคนฟังมากขึ้น “ผมเคยจัดงานสัมมนาและถามที่ประชุมว่าในความสามารถ 3 เรื่องคือ หาเงิน ออมเงินและใช้เงิน ความสามารถใดที่คิดว่ายากที่สุด แต่ละคนก็ตอบหลากหลายกันไป แต่คนส่วนใหญ่ตอบว่าออมเงินยากที่สุด ผมก็ถามต่อไปว่าทำไมการออมเงินถึงยากที่สุด เหตุที่การออมเงินยากเพราะคนส่วนใหญ่มองว่า ความสุขมาจากการใช้เงินไปซื้อ เมื่อคนใช้เงินไปซื้อความสุข การออมเงินจึงเป็นการสวนกระแสของความรู้สึกของตัวเอง เป็นการพายเรือทวนน้ำจึงยากเสมอ และเมื่อเรารู้จักแต่ความสุขที่ต้องเอาเงินไปซื้อ เราก็จะเป็นทาสของเงินอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นคนที่จะก้าวข้าม และเอาชนะเงินให้ได้นั้น เราต้องมีแหล่งแห่งความสุขที่นอกเหนือไปจากเงิน คำถามต่อมาคือ แหล่งแห่งความสุขนั้นคืออะไร ผมให้ที่ประชุมหลับตาและนึกถึงความสุขและถามเขาว่าภาพอะไรปรากฏขึ้นมา คำตอบก็จะมี เช่น ภาพที่ไปต่างจังหวัดกับเพื่อน อยู่เล่นกับครอบครัว รักษาคนไข้แล้วก็หายป่วย ฯลฯ ซึ่งถ้ามานั่งประมวลสิ่งเหล่านี้ก็จะพบว่าเป็นเรื่องของการกลับไปสู่ธรรมชาติ กลับไปสู่แวดวงของพี่น้องที่รักกันและกัน กลับไปสู่การทำงานตามวัตถุประสงค์ของเรา เพื่อจะให้ผู้ที่ได้รับบริการนั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของความรักและกลับไปสู่ทางของพระเจ้า ดังนั้นเองคำถามที่กล่าวว่า ทำอย่างไรเราหรือนักธุรกิจคริสตชนจะก้าวข้ามการเป็นทาสของเงินได้ ก็อยู่ที่ความชัดเจนของความจริงที่ว่า ที่มาของความสุขที่แท้จริงคืออะไร คือความสุขที่มาจากความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุขจากการให้ความรัก แล้วสร้างสังคมแห่งความรักขึ้นมา และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าการกลับไปคุยเล่นกับลูกๆ และกินข้าวไข่เจียวด้วยกันมันมีความสุขมากกว่าการไปซื้อสเต็กกินในโรงแรมหรูๆ มันจบแล้ว เราไม่ต้องทุรนทุรายไปหาเงินเกินพอดีอย่างทาสผู้หิวโหย ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าความสุขเป็นรากฐาน ความสุขทำให้เราเป็นไทจากเงินทองได้ และสันติสุขแท้นั้นอยู่บนพื้นฐานของความรัก… พระเจ้าทรงเป็นความรัก”
พระวจนะที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
“สำหรับผมไม่มีตอนไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าคำอธิษฐานของพระเยซู ในพระธรรมมัทธิว 6:9-15
‘ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่าข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้และขอทรงยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้นและขออย่านำาข้าพระองค์เข้าไปในการทดลองแต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย “เพราะว่าถ้าพวกท่านให้อภัยการล่วงละเมิดของเพื่อนมนุษย์พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะทรงให้อภัยการล่วงละเมิดของพวกท่านด้วยแต่ถ้าพวกท่านไม่ให้อภัยการล่วงละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงให้อภัย การล่วงละเมิดของพวกท่านเหมือนกัน’
“เพราะพระธรรมตอนนี้ทำาให้ผมเห็นถึงการระลึกถึงน้ำาพระทัยพระเจ้า การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มีเรื่องของการเพียงพอกับสิ่งที่จำาเป็นในวันนี้ มีการเตือนให้สำารวจความผิดของตัวเอง มีเรื่องของการให้อภัยคนอื่น มีเรื่องของการที่เราไม่สามารถทำาทุกอย่างได้ แต่ขอพระเจ้าอย่านำาเราเข้าไปในการทดลองและให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย นี่เป็นข้อพระคัมภีร์หลักที่ผมใช้อธิษฐานในการเริ่มต้นวัน “อีกข้อหนึ่งคือ ‘จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่เราปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อเรา’ ผมคิดว่ามันคือสิ่งเดียวกันกับการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง อย่างประโยคที่ว่า You can give withoutloving but you can not love without giving. ผมมีความเชื่อว่า การที่เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองแล้วนั้นคือคุณภาพของใจ แต่ความรักมันไม่ได้หยุดที่คุณภาพของใจ ความรักมุ่งไปสู่การกระทำา คือการได้ลงมือปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่เราอยากให้เขาปฏิบัติกับเรา ถ้าเรายึดหลักตรงนี้ได้ ย่อมสามารถนำาความสำาเร็จ และความชื่นชมยินดีมาสู่ทุกพันธกิจทุกความสัมพันธ์ของชีวิต ไม่ว่ากับครอบครัว เพื่อนฝูง ลูกค้า ลูกน้อง หรือเจ้านาย”
- ดร.สมจินต์ ศรไพศาล