ชีวิตมีคุณค่าถ้าเริ่มต้นที่พระเจ้า
รู้จักพระเจ้า
เริ่มจากสมัยที่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ชอบอ่านชอบดูพระคัมภีร์สำหรับเด็กเล่มที่ปกสีม่วงมีรูปเด็กแก้มตุ่ยๆ ใส่ชุดสีแดงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกเมื่อมองย้อนกลับไป เพราะตอนนั้นอ่านหนังสือไม่ค่อยออกและไม่ชอบอ่านหนังสือด้วย แต่ทำไมถึงชอบพระคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่ทราบ พอโตขึ้นก็ค่อยๆ ได้ยินเรื่องราวของพระเจ้าผ่านทางคุณแม่และพี่สาว จนกระทั่งมาอยู่ชั้นมัธยมต้น มีโอกาสไปค่ายประกาศผู้นำได้ถามว่าใครยังไม่เคยอธิษฐานรับเชื่อบ้าง ผมก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เราจะไปพาคนอื่นมาเชื่อพระเจ้า เราก็ควรจะรับเชื่อก่อน ผมจึงรับเชื่อตอนนั้น อธิษฐานรับเชื่อเองแล้วก็ออกไปประกาศกับทีม จากนั้นประมาณมัธยมปีที่ 3-4 ผมก็ขอรับบัพติศมา
ชีวิตเปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงค่อยๆ เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ใช่การเปลี่ยนที่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ หรือชั่วข้ามคืน แต่เปลี่ยนตามกาลเวลาที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปที่เห็นเป็นรูปธรรมคือการเรียน ผมเป็นคนที่มีพัฒนาการการอ่านที่ช้ามาก ตั้งแต่เด็กๆ ผมอ่านหนังสือไม่ออก เริ่มอ่านได้บ้างตอนอยู่ประถม 6 ผลการเรียนทุกเทอมได้ศูนย์เกือบทุกวิชาโดยเฉพาะวิชาหลักๆ อย่างภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์และภาษาไทย จนวันหนึ่งเมื่อผมได้รับสมุดพกผลการเรียนมัธยมปีที่ 3 ผมรู้สึกว่าเอียนกับการติดศูนย์แล้ว ผมไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจและผิดหวังอีกต่อไป ผมจึงเริ่มตั้งใจอธิษฐานขอพระเจ้าตรงๆเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรให้คะแนนดีขึ้น ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี บอกแค่ว่าพระเจ้าช่วยผมด้วย
วันหนึ่งหลังจากหมดคาบเรียนแล้ว ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งปกติผมจะกลัวอาจารย์ท่านนี้มาก เพราะท่านดุมาก และทุกคนจะกลัวท่าน เวลาเรียนไม่เข้าใจก็ไม่กล้าถามท่าน ผมมักจะโดนอาจารย์ตีอยู่เสมอ เพราะผมทำการบ้านไม่ได้ วันนั้นผมเดิน เข้าไปหาแล้วถามอาจารย์ว่ารับสอนภาษาอังกฤษไหม อาจารย์ดูแปลกใจมาก บอกกับผมว่าจะขอไปคุยกับคุณแม่ของผมก่อน ท่านถามคุณแม่ว่าผมเป็นคนอย่างไร อาจารย์ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผมเรียนมาตั้งแต่อนุบาล คุณแม่เลยบอกท่านว่าผมมีพัฒนาการอ่านช้ากว่าปกติทำให้เป็นอุปสรรคในการเรียนไม่เข้าใจบทเรียน เมื่อไม่เข้าใจก็ทำการบ้านไม่ได้ เวลาสอบก็ทำไม่ได้ พออาจารย์รู้ว่าผมไม่ใช่เด็กเกเรหรือเด็กดื้ออย่างที่อาจารย์คิด อาจารย์ก็เลยตอบตกลงสอนพิเศษภาษาอังกฤษให้ผม พอเรียนกับอาจารย์ก็เหมือนกับได้พื้นฐานมากขึ้นเริ่มทำให้เรียนเข้าใจแล้วตามเพื่อนทัน ซึ่งจากจุดนี้เองผมบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่า ไม่ใช่ด้วยตัวผมเองแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้านำเข้ามาในชีวิต และพระองค์ทรงนำผมในการเรียนระดับมัธยมปลายไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ผมสอบติดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมสอบได้อันดับที่หนึ่งทำคะแนนสูงสุดในคนที่สอบ และผมใช้เวลาเรียนที่นั่น3 ปีครึ่ง ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.5-3.7 ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
เผชิญโลกใบใหม่
หลังจากที่เรียนจบพี่สาวของผมก็ถามผมว่าสนใจที่จะรับการฝึกอบรมในโรงเรียนสร้างสาวกDTS ของวายแวมไหม เป็นโครงการอบรมและเรียนรู้งานประกาศแบบมิชชันนารี โดยจะอบรมที่รัฐมอนเทน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณ 2เดือน แล้วไปลงภาคสนามที่ประเทศอูกานด้า ทวีปแอฟริกา ทั้งหมดอยู่ในเวลา 6 เดือน ผมคิดหนักหลายอย่าง ทั้งเรื่องอนาคตการทำงาน เพื่อนที่เราจะไม่ได้ติดต่อเลยในช่วงที่เราไม่อยู่ และเรื่องค่าใช้ จ่ายที่ต้องใช้ประมาณสองแสนกว่าบาท เพราะโครงการไม่มีทุนให้ และผมก็ไม่มีเงินเลย ผมเริ่มอธิษฐานแบบจริงจังและเจาะจงบอกกับพระเจ้าว่าถ้าเป็นเสียงของพระเจ้าจริงๆ ที่จะให้ผมไปครั้งนี้ขอพระเจ้าให้ผมเห็นอะไรสักอย่างที่ชัดเจนแล้วพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานของผม คุณพ่อผมท่านไม่ได้เป็นคริสเตียนและตอนแรกที่ผมพูดกับท่านเรื่องโครงการนี้ ท่านก็ไม่เห็นด้วย แต่ด้วยคำอธิษฐานผมเชื่อว่าพระเจ้าทำให้ท่านเปลี่ยนใจ ท่านออกค่าเครื่องบินให้ผม ขณะเดียวกันคริสตจักรที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ก็ช่วยกันถวาย และที่ศูนย์วายแวมนั้นก็มีคนช่วยถวายให้ผมเงินถวายหลั่งไหลมาจากหลายแห่ง เมื่อรวบรวมแล้วปรากฏว่าได้มากกว่าที่ประมาณการไว้และมีเหลืออีกด้วย ผมไม่รู้ว่ามีเงินถวายมาจากใครบ้าง ผมดีใจมากขอบคุณพระเจ้า ผมได้ถวายส่วนที่เกินมานั้นให้กับคนอื่นที่เข้าร่วมโครงการนี้ด้วยผมเรียนรู้การใช้ชีวิตที่แตกต่างของผู้คนทั้งในอเมริกาและแอฟริกา ต้องปรับตัวอย่างมากทั้งเรื่องความเป็นอยู่ อาหารการกิน และวัฒนธรรมต่างๆช่วงแรกผมคิดถึงบ้านมากๆ แต่ผมก็เรียนรู้ว่าผมต้องพึ่งพาพระ
เจ้ามากขึ้น มากแบบยอมทั้งหมดเลย ในแต่ละวันที่ผมออกไปประกาศ ผมต้องเดินไม่ต่ำกว่าวันละ 7 ชั่วโมง เป็นระยะทางไม่ต่ำกว่าสิบกิโลเมตร ไปตามหมู่บ้านที่มีคนเจ็บป่วย มีคนถูกผีเข้า เราก็ไปอธิษฐานไปวางมือ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ที่นั่น แล้วแต่ว่าพระองค์จะทำอะไร บางวันก็มีพูดภาษาแปลกๆ แต่ที่วิเศษสุดคือมีผู้ที่ได้ฟังข่าวประเสริฐและรับเชื่อเยอะแยะมากมาย
เห็นคุณค่าของตัวเอง
เมื่อก่อนผมเอาคุณค่าของตัวเองไปแขวนไว้กับคนอื่น เราจะรู้สึกว่าเรามีค่าก็ต่อเมื่อคนอื่นมองว่าเรามีค่า แต่พอรับเชื่อ ผมมีมุมมองใหม่ เปลี่ยนจากการที่เราเอาคุณค่า ความหวัง หรือความรักไปแขวนไว้กับคนอื่น ไปผูกไว้กับพระเจ้าแทน คนที่เป็นคนชี้ขาดว่าเราเป็นใคร ตัวตนของเราเป็นอย่างไร คือพระเจ้า ไม่ใช่คนอื่นหรือเสียงอื่นๆ ผมตระหนักได้ว่าการเฝ้าเดี่ยวเป็นส่วนหนึ่งที่มีผลมากในชีวิต ช่วยให้เรามองชีวิตได้ลึกขึ้น มองไปถึงหลักและแก่นของชีวิต ทำให้เราตอบคำถามตัวเองได้มากขึ้นว่าชีวิตมีคุณค่าอย่างไร การเฝ้าเดี่ยวทำให้เราเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น ผมได้เรียนรู้จักความรัก ความหวัง และความเชื่อ ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการดำเนินชีวิต มีหลักในการคิด ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ผมให้คุณค่ากับความรักมากที่สุด เพราะว่าเป็นสิ่งเดียวที่ยึดผมไว้ให้ทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ยังทำต่อ แล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีพลังในชีวิตมากขึ้น และสร้างความสุขให้กับชีวิตอื่นได้ด้วย ขณะเดียวกัน ความรักยังมีความหมายในเชิงของการรักในสิ่งที่ทำ รักสิ่งมีชีวิต รักมนุษย์ รักภาษาอังกฤษ รักงาน คือพอเรารักอะไร เราสามารถทำสิ่งนั้นได้ดี
One Young World
One Young World คือการรวมตัวของเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ที่มีผู้นำรุ่นใหม่ที่เคยร่วมโครงการนี้มาแล้วกว่า 6,000 คนจาก 196 ประเทศทั่วโลกในปี 2015 กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมซึ่งเป็นการจัดการประชุมครั้งแรกในเอเชีย One Young World และกรุงเทพมหานครจึงต้องการเฟ้นหาผู้นำเยาวชนไทยรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและประเทศได้รับการสร้างเสริมและส่งเสริมทักษะ เพื่อนำไปสู่การเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคมอย่างประสบความสำเร็จเมื่อผมได้ยินข่าวการจัดงานครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าผมต้องไม่พลาด เพราะเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของผม และในเมื่อ ผมเองก็ทำงานเพื่อสังคมอยู่แล้ว ผมคิดว่าจำเป็นที่ผมควรจะไปเรียนรู้และหาประสบการณ์เพื่อทำกิจการเพื่อสังคมให้ได้มากขึ้น ผมรู้สึกว่าผมอยากทำงานและใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นมากกว่าเพื่อตัวเอง ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะไปสมัคร มีผู้สมัครเยาวชนทั่วประเทศที่จะต้องผ่านการคัดกรองให้เหลือเพียง 100 คน และในจำนวน 100 คนก็มีการแบ่งเป็นกลุ่มให้ทำ โครงการแผนธุรกิจเพื่อสังคม คัดกันหลายรอบจนรอบสุดท้ายเหลือเพียง 4 ทีม ซึ่งทีมที่ผมอยู่เป็น 1 ใน 4 ทีมนี้และทีมผมก็ชนะได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการนำเสนอโครงการธุรกิจเพื่อสังคม
ประสบการณ์ในการรับใช้พระเจ้า
สมัยที่ผมยังเป็นอนุชนอยู่ที่คริสตจักรจีนนครปฐม ผมได้อยู่ในฝ่ายธรรมชีวิต 4 ปี เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมก็ได้สัมผัสกับงานรับใช้ในรูปแบบการประกาศแบบมิชชันนารีกับโครงการโรงเรียนสร้างสาวก DTS ของวายแวม แต่ที่เป็นงานรับใช้เต็มเวลาที่แรกก็คืองานที่สมาคมพระคริสตธรรมไทย ผมช่วยงานฝ่ายแปลพระคัมภีร์แต่เป็นระยะเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ถึงอย่างนั้นผมก็ภูมิใจมากเพราะที่นี่เป็นที่แรกและเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเต็มเวลาปัจจุบันถึงแม้ผมจะทำงานในมูลนิธิเพื่อคนไทยเต็มเวลา และเพื่อนร่วมงานของผมก็ไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย ผมก็มักจะให้ชีวิตของผมเป็นตัวบอกเรื่องราวของพระเยซู เช่น ผมจะอธิษฐานก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง หรือวันคริสตมาส ผมก็จะบอกกับเพื่อนร่วมงานของผมว่าความหมายที่แท้จริงคืออะไร
นอกจากนี้ผมได้รับใช้พระเจ้าที่ Evangelical Church of Bangkok เป็นมือกลองให้ทีมนมัสการและบางครั้งนำนมัสการและเป็นผู้นำกลุ่มเซลด้วย
เป้าหมายในชีวิต
ผมอยากใช้ความรู้ความสามารถและสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ ทำให้ชีวิตของคนรอบข้างและโดยรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมเชื่อว่าเราสามารถที่จะอยู่เพื่อคนอื่นได้มากกว่าอยู่เพื่อตัวเอง เชื่อว่าเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่นให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ ขณะเดียวกันก็ดูแลตัวเองและคนที่เรารักไปได้เรื่อยๆ ด้วยเหมือนกัน จากการเชื่อนี้เองนำมาซึ่งงานที่เข้ามาในชีวิต ได้ใช้ความรู้ในเรื่องของการทำธุรกิจเข้ามาทำระโยชน์ให้คนอื่น นอกนั้นก็คงเป็นเรื่องของชีวิตครอบครัวและชีวิตส่วนตัวมากกว่า เราอยากเป็นทั้งลูกที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี และถ้าพระเจ้าอนุญาตก็อยากเป็นพ่อที่ดีให้กับลูกในอนาคตด้วย เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิต ข้อพระคัมภีร์ที่ชอบและใช้ในชีวิตประจำวันพระคัมภีร์แต่ละข้อมีความสำคัญกับช่วงชีวิตที่ต่างกัน แต่ข้อที่ประทับใจมากอยู่ในพระธรรมโรมบทที่ 8:28 “เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อเกิดผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” ที่ประทับใจข้อนี้มากเพราะมีประสบการณ์ร่วม อย่างตอนที่ไปวายแวม ชัดเจนว่าพระเจ้าใช้ข้อพระคัมภีร์นี้ในการเรียน ให้ผมวางใจพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เพราะตัวผมเองเป็นคนค่อนข้างจะคิดเยอะและขี้กังวล แต่พระเจ้าทำให้ผู้ที่เชื่อและรักในพระองค์เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง แค่คำว่าทุกสิ่งนี่ก็คือทุกสิ่งจริงๆ ไม่ใช่แค่มุมหนึ่งในชีวิตหรือสิ่งสองสิ่ง หรือครั้งสองครั้งในชีวิต แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม พระเจ้าจะทำให้เกิดผลอันดีจริงๆ ในทุกอย่าง ต่อให้เราไม่เห็นด้วย ต่อให้เราไม่ชอบ แต่สุดท้ายมันก็จะดีแน่นอน
คำหนุนใจ
สำหรับผู้อ่านที่กำลังหมดหวังกับการเรียนโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ผมอยากจะหนุนใจให้มีความหวังและความเชื่อและการไม่ยอมแพ้ ที่สำคัญคือความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะเป็นผู้ทำให้เรามีความหวัง ตราบใดที่เรามีพระเจ้าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถ้าเราเริ่มจากการเชื่อว่าเราเรียนรู้ได้จริงๆ เราก็จะเรียนได้ พัฒนาได้ ทุกวันนี้ผมรักการเรียนและชอบอ่านหนังสือมากนอกจากนี้ผู้ที่กำลังท้อใจ ผมก็ขอหนุนใจให้เชื่อและวางใจในพระเจ้าเสมอ เพราะว่าพระเจ้าดีและพระเจ้าเชื่อ ถือได้จริงๆ ต่อให้ชีวิตเรามีอุปสรรคมีความยากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหรือว่าปัญหาชีวิต หรือไม่ว่าสถานการณ์จะบอกว่าเราไม่มีความหวังเลย ประสบการณ์ความล้มเหลวในอดีตที่คอยตอกย้ำว่าเราไม่มีทางทำได้หรือทำสำเร็จในอนาคต ถ้าเราไม่หยุดที่จะเชื่อและวางใจในพระเจ้าและถ้าพระเจ้าอยู่ข้างเราแล้ว ไม่มีใครที่จะปฏิเสธหรือขวางได้ ให้เราเชื่อวางใจและลงมือทำโดยการทรงนำของพระเจ้า ความเชื่อและความวางใจต้องแสดงออกด้วยการกระทำด้วย ไม่ใช่แค่นั่งลงอธิษฐานแล้วบอกว่าพระเจ้าช่วยด้วย นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแต่หลังจากนั้นเราต้องทำคู่กับพระเจ้า
- คุณชัยภัทร ทรงลิลิตชูวงศ์ อายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 4 คน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันทำงานให้กับมูลนิธิเพื่อ คนไทยในตำแหน่งผู้จัดการโครงการและเป็นสมาชิกคริสตจักรจีนนครปฐม