ช่วยเพศที่สาม 4/11

ช่วยเพศที่สาม

สมัยที่ผมเริ่ม เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนที่สะดุดตาสำหรับผู้ชายทุกคนมาก ด้วยความเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย ดูน่ารัก และมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร จนกระทั่งวันสอบกลางภาคครั้งแรกมาถึงผู้ชายทุกคนต้องตกใจจนหงายหลังเพราะสาว น่ารักที่ทุกคนเหลียวมองแต่งชุดนิสิตชายมาสอบ ความก็เลยแตก ผมอดขำเพื่อนของตัวเองไม่ได้ เพราะมีหลายคนเหลือเกินที่พยายามจะจีบเธอมาเป็นแฟน

ในวัยเรียนผมมีเพื่อนที่หลายคนที่มีบุคลิกทางเพศผิดแผกไปจากคนทั่วไป ผมไม่ค่อยสนใจมากนักว่าเพื่อนคนนั้นจะมีรสนิยมทางเพศอย่างไร รู้สึกว่ามันเป็นสิทธิส่วนตัวขอแค่เขาไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อนก็น่าจะพอ แต่ก็มีเพื่อนผู้ชายบางคนที่รู้สึกเกลียดคนพวกนี้จนเข้าไส้ บางคนถึงขนาดที่เห็นเมื่อไหร่ต้องไปวิ่งไล่เตะกันเลยทีเดียว ที่รุนแรงไปกว่านั้นนิสิตที่แสดงออกถึงรสนิยมทางเพศของตนเองอย่างตรงไปตรงมามักจะถูกเพ่งเล็งและถูกอาจารย์บางท่านเรียกไปตักเตือนบ่อยครั้ง บางคนถึงกับต้องพักการเรียนก็มี

ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้ค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปด้วย ปัจจุบันสังคมยอมรับคนที่เคยถูกเรียกอย่างรังเกียจและดูถูกว่าเป็นพวกกระเทยมากขึ้นกว่าในอดีตชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปเป็นวิทยากรบรรยายความรู้เรื่องเพศ และใช้คำวิชาการว่า “รักร่วมเพศ” (homosexual) ในการอธิบายมีคนยกมือขึ้นมากลางคันเพื่อขอให้ผมเปลี่ยนไปใช้คำว่า “คนรักเพศเดียวกัน” แทน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมมีการยอมรับและให้คุณค่ากับคนรักเพศเดียวกันมากขึ้น ในอดีตผมยอมรับว่าผมมีท่าทีสนับสนุนความคิดดังกล่าวอย่างเต็มตัว แต่เมื่อผมได้ทราบความจริงว่าสิ่งนี้เป็นความบาปทัศนคติของผมจึงเปลี่ยนไป เมื่อผมมารู้จักกับพระเจ้าและทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษา ผมตำหนิคริสเตียนที่มีปัญหาเอกลักษณ์ในเรื่องเพศอย่างรุนแรง บอกว่าเขาต้องกลับใจ โดยยกเหตุผลและข้อพระคัมภีร์มากมายมาสนับสนุน ผมยังจำได้ว่าทุกคนที่ถูกตำหนิมีสีหน้าแย่ขนาดไหนแต่ผลก็คือผมไม่เคยช่วยให้ใครกลับสู่เพศที่แท้จริงของเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งวันหนึ่งพระเจ้าเรียกให้ผมกลับใจ

ในขณะที่ผมกำลังอ่านพระธรรมยอห์น 8:1-11 เรื่องธรรมมาจารย์และฟาริสีจับหญิงคนหนึ่งฐานล่วงประเวณีมาให้พระเยซูคริสต์ทรงตัดสิน คำตรัสของพระเยซูว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” เสียดแทงหัวใจของผมอย่างมาก ผมย้อนนึกไปถึงคนมีปัญหาที่มาพบผมเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ผมกลับขว้างก้อนหินแห่งการตำหนิ และการพิพากษาใส่พวกเขา ผมขอให้พระเจ้าโปรดยกโทษให้ผม และตั้งแต่วันนั้นความคิดของผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย พระเจ้าประทานโอกาสให้ผมได้แก้ไขตัวเองผมได้คุยกับน้องต้น (นามสมมุติ) ผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่อายุสิบสองปี (ตอนพบกันน้องต้นอายุประมาณสิบห้าปี) น้องต้นเล่าให้ผมฟังภายหลังว่าคนที่ให้คำปรึกษากับน้องต้นมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกก็สนับสนุนให้น้องต้นแต่งหญิง แสดงตัวตนให้ชัดเจนไปเลย กับประเภทที่สองก็จะตำหนิน้องต้นอย่างรุนแรงว่าทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ทำให้คนที่รักต้องผิดหวัง ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เปลี่ยนให้ผมแตกต่างออกไปเพราะไม่เช่นนั้นผมก็ไม่แตกต่างกับที่ปรึกษาที่ผ่านๆ มาของน้องต้นเลย น้องต้นบอกผมว่าเขารู้สึกแปลกที่ผมมีจุดยืนว่าอยากให้เขากลับเป็นผู้ชาย แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความหวังดีของผม และไม่รู้สึกว่าตนถูกตำหนิ น้องต้นกับผมผ่านช่วงเวลาหกปีอันยาวนาน ชนะบ้างแพ้บ้าง จนในที่สุดน้องต้นสามารถเริ่มกลับมาเป็นผู้ชายเต็มตัวอีกครั้งน้องต้นสามารถรักผู้หญิงอย่างจริงใจ แต่งงานและมีลูกจนกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ในปัจจุบัน แต่ที่ผมดีใจมากที่สุดก็คือต้นได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ในหลายๆ คริสตจักรคงมีโอกาสได้พบเห็นคนที่มีปัญหาในด้านนี้ไม่มากก็น้อย หรืออาจมีคริสเตียนที่รักพระเจ้าหลายคนตกอยู่ในหลุมของความผิดบาปนี้แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง หลายครั้งเราอาจทำเหมือนปิดตาข้างหนึ่งเพื่อมองข้ามปัญหาเหมือนกับว่ามันไม่ได้มีอยู่จริง แต่ความจริงก็คือความจริง ผมอยากจะหนุนใจและแบ่งปันประสบการณ์ของตัวผมเองเพื่อจะช่วยให้ผู้ที่มีภาระใจในเรื่องเหล่านี้สามารถรับมือกับปัญหานี้ในระดับเบื้องต้นได้ดีขึ้นดังนี้

     ประการแรก “ยอมรับเขาด้วยใจจริง” ในพระธรรมโรม 5:8 กล่วว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้นพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา” ผมพบความจริงอย่างนึงว่าถ้าเราคิดจะรักเฉพาะคนที่ดีพร้อม คงไม่มีใครในโลกนี้ที่เราสามารถรักได้เลย ความรักเป็นสิ่งที่อธิบายยากก็จริง แต่สัมผัสได้ง่ายคนที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะรู้แก่ใจอยู่แล้วว่าเขามีปัญหา จึงไม่จำเป็นต้องไปตอกย้ำความผิดของเขาอีก ผมพูดกับนักเรียนของผมอยู่เสมอว่า “ถ้าไม่คิดจะช่วย ก็จงอย่าพิพากษา” คนที่มีรสนิยมทางเพศที่ผิดปกติไม่ได้มีคุณค่าในสายพระเนตรพระเจ้าน้อยไปกว่าเราเลย เพียงแต่ว่าความบาปของพวกเขาสังเกตได้ง่ายกว่าความบาปของเราก็เท่านั้นแน่นอนว่าเราจะไม่สนับสนุนหรือเห็นดีเห็นงามไปกับความประพฤติของเขา แต่เรายังสามารถรักเขาด้วยใจจริงได้ และนั่นเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เขาไม่วิ่งหนีออกไปจากคริสตจักร

     ประการที่สอง “ความบาปไม่ใช่เรื่องตลก” มีค่ายเยาวชนค่ายหนึ่งที่ผมเป็นวิทยากรระหว่างที่มีการสัมมนาใหญ่และมีการละลายพฤติกรรม จู่ๆ ก็มีเด็กชายท่าทางกระตุ้งกระติ้งลุกขึ้นมาเต้นท่ายั่วยวนอย่างผู้หญิง ปรากฏว่าในค่ายมีหลายคนทีเดียวที่ไปล้อเลียนเขาว่าไอ้ตุ๊ด ไอ้กระเทย หรือบางคนพอเห็นหน้าก็หัวเราะคิกคักอย่างขบขัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตลกเลย ทุกครั้งที่เราล้อเลียนความบาปอย่างขบขัน กลับกลายเป็นการเสริมแรงให้พฤติกรรมนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ในทางจิตวิทยาเราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า reinforcement เหมือนกับการได้รางวัลในการเป็นจุดสนใจของผู้อื่น ดังนั้นหากมีผู้ชายท่าทางตุ้งติ้งหรือผู้หญิงดูเป็นทอมบอยเข้ามาในคริสตจักร เราควรจะปฏิบัติตัวกับเขาอย่างให้เกียรติอย่างที่สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีควรได้รับ มีคนเคยถามผมว่าแล้วถ้าเขาแปลงเพศไปแล้วเราควรจะปฏิบัติตัวกับเขาอย่างไร สำหรับตัวผมเชื่อว่าเพศที่พระเจ้าประทานให้ตั้งแต่แรกคือเพศที่แท้จริง และสำคัญกว่าเพศที่มนุษย์มาเปลี่ยนแปลงภายหลัง นี่เป็นจุดยืนของผม แต่สำหรับการปฏิบัติตัวต่อเขาขอให้เราแน่ใจกับตัวเองว่าเรารักเขามากพอที่จะเข้าไปแตะต้องส่วนที่บอบบางในจิตใจของเขาจริงๆ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วการอยู่เฉยๆ ก็อาจจะดีเสียกว่า

     ประการสุดท้าย “นำคนบาปมาใกล้พระเจ้า” ผมมีโอกาสได้ฟังคำเทศนาของคุณหมอภากรในพระธรรมยอห์น 8:1-11 ท่านแบ่งปันว่าอย่างน้อยมีอยู่อย่างหนึ่งที่ฟาริสีและธรรมาจารย์ทำถูกสำหรับเรื่องนี้ก็คือ การนำคนบาปมาใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า ผมอยากหนุนใจให้เราทุกคนช่วยกันคนที่มีปัญหามาใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า นำเขาเข้ามาในคริสตจักร ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระสิริของพระเจ้ามีฤทธานุภาพ และพระคำของพระองค์มีชีวิตที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเดิมของทุกคนได้เหมือนเช่นน้องต้นที่สามารถกลายเป็นชายที่สมบูรณ์ด้วยเพราะเขาพบที่ปรึกษามหัศจรรย์ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลายครั้งต้องรอคอยและใช้เวลานาน แต่ขอให้เรายืนหยัดและอธิษฐานเผื่อเขาอยู่เสมอ ครั้งนึงผมก็เคยถอดใจกับเรื่องของน้องต้นเช่นกัน เคยคิดว่าความพยายามทั้งหมดอาจสูญเปล่า แต่ทุกท่านก็ได้ทราบแล้วว่าผลสุดท้ายในชีวิตน้องต้นน่าชื่นใจมากเพียงใด ความอดทนแม้จะมีรสขม แต่ผลของความอดทนมีรสหวานชื่นใจจริงๆ
อย่างไรก็ดีทั้งหมดเป็นเพียงการเริ่มต้นรับมือกับปัญหาเพศที่สามเท่านั้น หากท่านมีภาระใจกับเรื่องนี้จริงๆ ผมอยากแนะนำให้ท่านศึกษาเรื่องการให้คำปรึกษาให้มากขึ้น และอยากจะหนุนใจพี่น้องทุกท่านว่าอย่ากลัวเลยที่จะอนุญาตให้คนที่มีปัญหาเข้ามายังคริสตจักร เพราะพระเยซูคริสต์ก็ทรงถ่อมพระองค์เองเข้ามาในโลกนี้ ทรงนั่งโต๊ะเสวยร่วมกับคนบาป แม้จะมีเสียงด่าจากสังคมรอบข้างมากมายเพียงใดก็ตาม เราเองในฐานะลูกของพระองค์มิควรหรือที่เราจะทำในสิ่งเดียวกัน

  • อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ Jofreepik – Freepik.com