ดีเจตี้ กับมุมลึกๆ ที่เรียกว่า รักจากพระเจ้า 3/10

ดีเจตี้ กับมุมลึกๆ ที่เรียกว่า รักจากพระเจ้า

ผมชื่อ มงคล องก์พัฒนกุล หรือ ตี๊ เกิดวันที่ 2 ธันวาคม 2525 อายุ 28 ปี เป็นลูกคนเดียวจนถึงอายุ 15 ปี จึงได้มีน้องสาว 1 คน ห่างกัน 15 ปี น้องสาวชื่อ เจียเจีย น้องสาวเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 โรงเรียนเพ็ญสมิธ

ผม “โตด้วยข้าวโบสถ์”
ผมเป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน คุณแม่เป็นคนไต้หวัน ท่านย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย เพื่อมาอยู่กับอากงที่จังหวัดสกลนคร ผมจึงมาเกิดที่นี่ แต่ด้วยเรื่องงานคุณพ่อคุณแม่จึงพาผมกลับไปอยู่ที่ไต้หวันหลังจากที่คลอดออก มาไม่กี่เดือนอยู่นานจนผมเรียนอนุบาลที่นั่น และกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 4-5 ขวบก่อนเข้าเรียนชั้นประถม ผมเป็นครอบครัวคริสเตียน ตอนเด็กวิ่งเล่นอยู่ในโบสถ์ ที่คริสตจักรที่อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ช่วงแรกได้มานมัสการพระเจ้าที่ศูนย์คริสเตียนไมตรีจิต ตอนนั้นยังเปิดเป็นศูนย์ฯ ยังไม่เป็นคริสตจักร ขณะนั้นผมเรียนอยู่ชั้นประถมคนอื่นเขาโตด้วยข้าววัด “ผมโตด้วยข้าวโบสถ์”เพราะโบสถ์กับบ้านอยู่ใกล้กัน เดินไปประมาณ 200-300 เมตร จากบ้านที่อยู่จะไปนมัสการพระเจ้าเป็นประจำ ผมเริ่มเรียนดนตรี ผมช่วยเล่นกีต้าร์ อีเล็กโทน คุณพ่อของผมก็มีส่วนในงานรับใช้ที่คริสตจักรแห่งนี้ซึ่งตอนนั้นท่านก็เป็น กรรมการของคริสตจักร อาจจะเพราะว่าครอบครัวเราเป็นคนจีน เราก็เลยไปร่วมประชุมที่นั่น จนเริ่มได้มีการซื้อที่ดินเป็นของทางคริสตจักร เพื่อจะสร้างเป็นคริสตจักรไมตรีจิตสว่างแดนดิน พวกเราก็ยังคงไปร่วมประชุมนมัสการที่นั้นมาโดยตลอด ผมถูกเลือกให้เป็นประธานอนุชนช่วยงานอนุชนเป็นรุ่นแรกของที่นั่นด้วย

ชีวิตการเรียน ผมเป็น “เด็กทุน” ครับ
ผมจบมัธยม 6 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดสกลนคร ผมคิดอยากจะหาประสบการณ์ชีวิต เลยขอคุณพ่อไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ยังไม่ได้คิดว่าจะเรียนอะไร ไม่อยากที่จะสอบเอนทรานซ์ แต่อ่านหนังสือเพื่อเตรียมที่จะเรียนต่อ ผมรู้แน่นอนว่าผมจะต้องเรียนต่อ หลายคนน่าจะเคยเป็นเหมือนผมช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจะสับสนตัวเองว่าจะไปทางไหนดี ผมก็อธิษฐานเยอะเหมือนกันและได้คุยกับคุณพ่อว่าถ้าผมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐบาลเป็นอะไรไหม คุณพ่อก็บอกว่าไม่เป็นไร ดีที่ทางบ้านผมไม่ได้บังคับเรื่องเรียน ผมไม่เกเรด้วยท่านก็เลยวางใจและเชื่อใจมาตลอด ผมชอบทำกิจกรรม เล่นกีฬา ตั้งแต่เด็ก เป็นประธานเชียร์ ท่านก็เลยรู้ว่าผมรับผิดชอบตัวเองได้ ที่ผมไม่ได้สอบเอนทรานซ์เพราะผมมีความตั้งใจจะเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเพราะอยากทำงานไปด้วย ทางบ้านมีฐานะปานกลาง ตอนนั้นทางบ้านมีปัญหาเรื่องธุรกิจด้วยร้านที่เราทำอยู่ไม่ค่อยดี ผมก็เลยมีความคิดว่าอยากแบ่งเบาภาระทางบ้านบ้าง ผมอยากจะทำงานซึ่งตอนนั้นไม่ได้บอกที่บ้าน บอกแค่ว่าอยากจะมาเรียนกรุงเทพฯ มาหาประสบการณ์ แต่เหตุผลหลักของผมคืออยากทำงานมากกว่าผมจะได้รับผิดชอบตัวเอง เพราะตอนนั้นผมมีน้องสาวแล้วอยากให้ที่บ้านดูแลน้องสาวให้เต็มที่แล้วผมจะรับผิดชอบตัวเอง

ผมได้รู้จักรุ่นพี่คนหนึ่งทำงานอยู่ในค่าย RSตอนนั้นผมเดินแบบ เคยประกวดตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม 6 ก็เลยรู้จักพี่คนนี้เขาก็เลยชวนผมเข้ามาเข้าวงการบันเทิง มาทำงาน พี่เขาก็ช่วยผมดูเรื่องงานและให้ผมไปพักที่บ้านเขา ผมแบกกระเป๋ามา 2 ใบและหนังสืออีก 1 ลัง ผมไม่รู้จักใครเลยรู้จักแต่พี่เขาคนเดียวและก็เจอเพื่อนๆ ที่เคยมาประกวดด้วยกันได้คุยติดต่อกันบ้าง ผมตั้งใจมาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงก็ไม่ได้เรียนเพราะ ว่ามีเพื่อนจะไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม คือผมไม่รู้จักว่ามหาวิทยาลัยศรีปทุมเลยเด็กต่างจังหวัดอย่างผมรู้จักแต่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ และธรรมศาสตร์ ซึ่งรู้จักอยู่แค่นี้ เพื่อนบอกว่าที่ศรีปทุมฯมีทุนกู้ยืม จะเรียนไม่เรียนก็แล้วแต่ให้ลองไปยื่นเอกสารดู คือเพื่อนผมก็ยื่นขอทุนกู้ยืมเหมือนกัน ผมก็รวบรวมเอกสารทุกอย่างแล้วยื่นไปก็ได้ทุนตัวนี้มา ตอนนั้นก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนระดับต้นๆ ของประเทศ ก็เลยตัดสินใจที่จะเรียนที่นี่ เพราะว่าตอนนี้ขอให้ได้เรียนและสามารถที่จะทำงานได้ด้วยเพราะว่ามหาวิทยาลัย เอกชนสามารถที่จะแบ่งเวลาได้ดีกว่า และอีกหน่อยเราทำงานแล้วเรียนจบก็ค่อยมาใช้ทุนคืน ซึ่งตอนนั้นทุนกู้ยืมได้แค่ค่าเล่าเรียนเท่านั้นไม่มีค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ผมต้องหาเองตอนนั้นผมรู้ว่าพระเจ้าก็นำผมในทุกอย่างทุกๆ ก้าวของชีวิต คือผมจะอธิษฐานตลอดผมขอจากพระเจ้าเสมอ และผมก็เชื่อว่านี่คงจะเป็นหนทางของพระเจ้าที่ปูทางไว้ให้กับผมแล้ว ขอแค่มีความเชื่อ ก็เลยได้เรียนที่นี้ ผมคิดว่าอาจจะไม่มีผมที่นี่ถ้าไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมเจอเพื่อนๆ เจออาจารย์หลายท่านทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่อบอุ่นมากมาย อีกหนึ่งอย่างที่ผมขอบคุณพระเจ้ามากคือ ผมไม่ได้เป็นคนเรียนดีมากตั้งแต่ตอนมัธยมก็คือเรียนในห้องคิงมาตลอดแต่ผมจะ อยู่ในระดับกลางๆ ผมก็เลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ วิชาเอกการท่องเที่ยว เพราะเป็นสิ่งที่ผมชอบและมีความสุขที่จะเรียน ปีแรกผมเรียนได้เกรด 4.0 มาตลอด ตอนนั้นผมก็ถามตัวเองว่าผมไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งทำไมได้เกรดดี หรืออาจจะเพราะว่าผมตั้งใจและเป็นวิชาที่ผมชอบ เพราะผมเคยได้ยินว่าถ้าทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองชอบมักจะทำได้ดีเสมอ

ตอนที่ผมกำลังจะขึ้นชั้นปี 2 มีทุนทางคณะของผม อาจารย์มาบอกผมว่ามีทุนพระราชทานเป็นทุนสมเด็จย่าฯ ทุกปีจะคัดเลือกนักศึกษาคณะละ 1 คนเท่านั้น ในชั้นปี 1-4 เอาแค่ 1 คนเดียวทุนตัวนี้เป็นทุนให้เรียนจนจบ 4 ปี โดยที่ไม่ต้องใช้ทุนคืนใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีคนที่ส่งขอทุนตัวนี้เยอะมาก ผมเลยอธิษฐานมาตลอด และรวมรวบผลงานของผมตั้งแต่ปี 1 เพราะผมทั้งเรียนและทำกิจกรรมเยอะด้วย ผมเป็นเดือนของคณะ และก็เป็นคณะกรรมการของคณะศิลปศาสตร์ ตอนนั้นเริ่มทำงานแล้ว ก็มีผลงานต่างๆ มากมาย เป็นสมาชิกฑูตวิเศษ อยู่กรีนพรีซ ผมก็ยื่นเอกสารทั้งหมดไป ปรากฏว่าผมได้ทุนนี้ ผมขนลุกเลยร้องไห้ ผมก็โทรบอกคุณพ่อว่าผมได้ทุนสมเด็จย่าฯ คือผมก็คิดถึงตอนแรกที่ผมตั้งใจมาเรียนมหาวิทยาลัยอื่น แล้วได้มาเรียนที่นี่ ได้ทุนกู้ยืม 1 ปี แล้วหลังจากนั้นก็เรียนฟรีมาตลอด แล้วยังใช้ทุนตัวนี้จ่ายคืนค่าเทอมสุดท้ายที่ใช้ทุนกู้ยืมให้ผมด้วย คือผมต้องจ่ายคืนรวมแล้วไม่มาก ทั้งที่จริงๆ แล้วผมต้องจ่ายเยอะเลย ผมขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่ทำให้ผมมีโอกาสมากมายขนาดนี้ คุณพ่อผมก็ร้องไห้คือท่านก็รู้ว่าผมมาเรียนแบบนี้ เพราะอยากจะแบ่งเบาภาระของครอบครัว คือผมรู้ว่าทางบ้านไม่สามารถส่งผมได้เพราะค่าเทอมแพงมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไปอยู่ที่สูงแล้วไม่รู้จักตัวเองว่าเป็นใครมาจากไหน มันเป็นทางที่วางไว้พอดีเป็นขั้นตอนมาตลอด แต่ในระหว่างนั้นผมก็หางานทำไปด้วยคือทำพิธีกร เดินแบบ เป็นMC มาตลอดตั้งแต่ตอนเรียนชั้นปี 1 ตอนนั้นผมรับงานอิสระไม่เป็นเงินเดือน ได้ไปทำเป็นพิธีกรที่บริษัทแกรมมี่บ้าง ในรายการยากูซ่า รุ่นหลังพี่เรย์-แมคโดแนล ทำมาเรื่อยๆ เก็บประสบการณ์เดินแบบตั้งแต่ค่าตัว 700 บาท และก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีรายได้พอที่จะใช้จ่ายของตัวเองทุกอย่าง และก็สามารถส่งไปให้ที่บ้านได้ ขอบคุณพระเจ้ามากคือทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะผมแน่ๆ ถ้าผมมาแบบผมเก่ง ผมทำได้ ผมดี ผมคงมาไม่ได้ถึงขนาดนี้ ผมคิดว่าถ้าผมวางใจ อธิษฐานและเชื่อที่จะฝากไว้กับพระเจ้ามาตลอด ถ้างานที่ผมขอหรือสิ่งไหนที่เราบอกกับพระเจ้า แล้วไม่ได้ผมคิดว่าสิ่งนั้นก็คงยังไม่ดีที่สุดสำหรับผม มันอาจจะดีในความรู้สึก แต่พระเจ้ารู้ว่ามันไม่ดีสำหรับผมแน่ๆ ผมก็อยู่ด้วยความเชื่อแบบนี้มาตลอด ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ผมทำงานด้วยเรียนด้วยคะแนนหรือเกรดของผมก็ยังคง 4.0 มาตลอด จนปีสุดท้ายผมได้ B+ มา 1 ตัว ก็เลยจบมาด้วยเกรด 3.99 พลาดไปนิดเดียว

รับรางวัล “นักศึกษาดีเด่น”
ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นปี 3 มีรางวัลของสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งเป็นรางวัลที่ทรงประทานให้กับนักศึกษาดีเด่นเป็นรางวัลระดับประเทศ คัดเลือกจากนักศึกษาทั่วประเทศทุกภาค ทางคณะบดีก็ได้แจ้งกับผมว่าให้ส่งผลงานไปลองไปแข่งกับมหาวิทยาลัยอื่นดู ผมก็อธิษฐานกับพระเจ้า คือทุกคนก็หวังแล้วว่าถ้าได้ก็ดี แต่ผมไม่รู้ว่าจะส่งผลงานต่างๆ ไปดีหรือไม่กลัวจะไม่ได้ คุยกับคุณพ่อและอาจารย์ที่โบสถ์บ้างว่าผมจะส่งไปดีไหมอาจารย์ที่โบสถ์ก็บอกว่าไม่เสียหายอะไร ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลือกเข้าไปก็แปลว่าเราผ่านเกณฑ์เขา เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วว่าจะมีคนได้และไม่ได้ ต้องมีคนผิดหวัง เสียใจ และมีคนมีความสุข ก็เลยตัดสินใจส่งผลงานต่างๆ และรวบรวมทั้งหมดส่งไป กิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ที่เคยทำมารวมให้เขาไปเล่มใหญ่ๆ ใช้เวลาเดือนกว่าถึงสองเดือนได้ที่ยื่นเรื่องไป ผลก็ส่งกลับมาผมขอบคุณพระเจ้ามาก ผมได้รางวัลนักศึกษาดีเด่นแห่งประเทศไทยในระดับอุดมศึกษา แล้วผมต้องเข้าไปรับเข็มพระราชทาน ประกาศนียบัตรและเงินขวัญถุง จากพระเทพฯ ที่วังสวนจิตรลดา ผมขนลุกเลย ร้องไห้อีกครั้ง ขอบคุณพระเจ้าสำหรับแต่ละเส้นทางที่ให้ผม คงไม่มีใครคิดว่าเด็กบ้านนอกคนหนึ่งจะมาได้ถึงขนาดนี้ ตอนนั้นที่ผมได้รับรางวัลผมเรียนอยู่ชั้นปี 3 ปี 2547 อย่างนี้นี่เองที่พระธรรมของพระเจ้าบอกว่า “อย่าพึ่งตัวเอง จงพึ่งพาพระเจ้าแล้วทุกอย่างที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้มันจะ …เป็นไปได้โดยพระเจ้า”

พระวจนะเป็นจริงในชีวิตผม
ผมชอบพระธรรมตอนที่บอกว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” (ลูกา 11:9) ถ้าเรานั่งเฉยๆ โดยไม่ขอเลยขอไปก็ไม่ได้ขอทำไม งั้นเรากินข้าวทำไมถ้าเรารู้ว่าอิ่ม วางใจในพระเจ้าเถิด และในพระธรรมสุภาษิตบทที่ 3:5-6 ได้บอกว่า “จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำให้วิถีทางของเจ้าราบรื่น” มันเป็นความจริง มันไม่ใช่ทุกอย่างที่เราขอแล้วจะได้ แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานและอนุญาตให้เกิดขึ้น แล้วมันจะดีกับเราแน่นอนในอนาคต ผมเชื่อแบบนี้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ เราเชื่อในพระเจ้าและวางใจในพระองค์จะดีกว่า

พระเจ้าทรงเลี้ยงดู
พอผมเรียนจบปริญญาตรีในระหว่างนั้นผมก็ทำงาน ก็มีเล่นละครบ้าง มีงานพิธีกรบ้าง มีงาน MC มีงานทั่วๆ ไป ซึ่งผมจบมาเกรด 3.99 ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วยผมทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเยอะมาก ก็จะรู้จักกับอาจารย์คณะกิจการนักศึกษา อาจารย์ก็ทราบว่าผมเรียนจบแล้วก็มาถามผมว่าจะเรียนต่อในระดับปริญญาโทไหมผม ก็บอกไปว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงคือตอนระดับปริญญาตรีผมได้ใช้ทุนของสมเด็จ ย่าฯ เป็นทุนพระราชทาน ซึ่งระดับปริญญาโทก็มีทุนเรียนดีด้วยของมหาวิทยาลัยแต่ก็มีหลายคนที่ยื่น เรื่องขอไปเยอะมาก ผมอยากเรียนทางด้านบริหารการจัดการซึ่งเรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ผมสามารถทำงานวันจันทร์-ศุกร์ได้ อาจารย์ท่านบอกมี 2 ทุนให้เลือก เกรดของผมผ่านอยู่แล้ว แล้วผมเองก็เป็นเด็กเก่าจากที่นี่ ผมก็เลยเข้าไปคุยรายละเอียดกับอาจารย์ของทางมหาวิทยาลัย อาจารย์ก็บอกว่าตอนนี้มีทุนเรียนดีแล้วเกรดของผมได้แน่ๆ ถ้ายื่นอาจารย์ว่าผ่านแน่นอน กับอีกหนึ่งทุนคือทุนศิลปินนักแสดง ซึ่งสองทุนนี้เรียนฟรีเหมือนกันแต่จะแตกต่างกันที่ทุนเรียนดีต้องกลับมาใช้ ทุนเป็นอาจารย์ ทุนศิลปินนักแสดงไม่ต้องกลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์ เพราะว่าทุนศิลปินสามารถใช้งานของผมเองประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยได้ ทำงานกิจกรรมเพื่อมหาวิทยาลัย ผมก็เลยเลือกทุนศิลปินนักแสดง เรียนตั้งแต่ 09.00 น. จนถึงเย็น ในวันเสาร์-อาทิตย์ ผมเรียนจบปริญญาตรีตั้งแต่ปี 2548 และผมเรียนปริญญาโทต่อเลย ในระหว่างนั้นผมก็ทำงานไปด้วย ผมทำงานค่อนข้างเยอะ ในวันจันทร์-ศุกร์ ผมมาถ่ายรายการทีวี ในวันเสาร์-อาทิตย์ผมเป็นดีเจ ตอนนั้นผมจัดอยู่ที่คลื่นเวอร์จิ้นซอฟท์ ผมจัดรายการเวลา 22.00-02.00 น.ผมเรียนเวลา 09.00 น. ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่สองปี เหนื่อยมาก แต่ตอนนี้เรียนจบมาแล้วก็ได้รับเกียรตินิยมอันดับ1 อีกหมือนเคยผมจบมาด้วย เกรดเฉลี่ย 3.97 น้อยกว่าตอนป.ตรีหน่อยนึงซึ่งพอจบมาแล้วต้องบอกเลยว่าโล่งใจมากๆ ครับ!!!!!ย้อนกลับไปนิดนึงตอนที่ผมจบปริญญาตรีผมก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทไล ฟ์ทีวี เป็นในตำแหน่งพิธีกรคือวีเจ เป็รายการช่องเคเบิ้ลทีวี ตอนนั้นผมเป็นวีเจรุ่นแรก คือเพิ่งเปิดบริษัทนี้ผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กจบใหม่แล้วได้ทำงานเลย แล้วได้เป็นเงินที่คล้ายๆ กับเงินเดือนก็ถือว่าดีมาก ซึ่งมากกว่าเงินเดือนปริญญาตรี คือตอนนั้นเพิ่งจบยังไม่ทันรับปริญญาแล้วได้งาน ก็เริ่มทำในขณะที่ยังเป็นพิธีกรอย่างอื่นด้วย เพราะทางบริษัทนี้สัญญากับผมแค่ทำรายการ งานอย่างอื่นผมก็รับได้ตามปกติ ทำได้ไม่ถึงครึ่งปี ในระหว่างนั้นได้รู้จักรุ่นพี่ที่เป็นดีเจที่เวอร์จิ้นซอฟท์ พี่หนุ่ม (ธานิน) เขาก็ได้ลองชวนผมและถามผมว่าอยากเป็นดีเจไหม เขาชอบเสียงผมและวิธีการจัดรายการลองมาทำดูไหมเขาก็ทาบทาม ผมก็สนใจแต่พี่เขาก็บอกไม่ได้ว่าจะได้หรือป่าว แค่ลองเข้าไปทำเทป การทำเทปคือลองมาจัดรายการอัดใส่เทป แล้วให้เจ้านายหรือหัวหน้าฟังว่า ดีหรือยัง ใช้ได้ไหม ซึ่งต้องเล่าย้อนไปนิดหนึ่งว่า ขบวนการการเป็นดีเจผมเคยไปเรียนที่เอไทม์มาก่อน ดีเจพี่อ้อย นภาพร คืออาจารย์คนแรกของผม ตอนนั้นที่ไปเรียนคือยังเรียนอยู่ด้วยเพิ่งจะเรียนปี 3 ลองเข้าไปดูและได้เรียนรู้ฝึกฝนอยู่นานหลายเดือนไปใช้ห้องอัดของแกรมมี่ เขาสอนเราด้วยใจจริงๆ พอผมเรียนปี 4 ผมก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ ทำให้ไม่มีเวลาไปเรียนที่นั่นอีกเพราะมันไกลมากบ้านผมอยู่สะพานใหม่แล้วเดิน ทางไปอโศกตอนนั้นนั่งรถเมล์ ก็เลยพักตรงนั้นไปก่อน เลยทำให้มีประสบการณ์ในการจัดรายการทางวิทยุมาบ้าง ก็เลยมาเริ่มใหม่กับทางเวอร์จิ้น ซอฟท์ เอฟเอ็ม 103 (Virgin Soft FM 103) ทำในลักษณะคล้ายๆ กัน ก็มีพี่ๆ คอยแนะนำเหมือนกันทำอยู่เกือบ 4 เดือน พอผมจัดรายการทางทีวีเสร็จว่างๆ ผมก็เข้าไปที่ตึกช่อง 3 ทำโน้นทำนี้เขาไปช่วยพี่เขาดูว่าเขาต้องเตรียมงานดูวิธีการจัดรายการของพี่ๆ เขาไปฝึกของตัวเองใช้เครื่องมือทุกอย่าง จนทำเทปไปได้เยอะมากนับไม่ถูกเลยครับ โดนว่าบ้างให้แก้ไขตรงนั้นตรงนี้บ้างแต่พี่เขาบอกว่าเขาชอบเสียงผมเวลาที่ จัดรายการมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติ เขาก็ให้ฝึกตรงนี้อีกนิดหน่อย เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ เขาก็ประกาศผลออกมาว่ามี 5 คน ในนั้นมีดาราเยอะมากที่ไปทำเทป 30-40 คนได้ มีผ่าน 5 คน ชาย 2 คน หญิง 3 คน ในนั้นมีผมด้วย ผมก็ขอบคุณพระเจ้ามากระหว่างนั้นผมก็อธิษฐานมาตลอด ไหนจะทำเทปด้วยเครียดมากตอนนั้น นั่นคือการเป็นดีเจครั้งแรก ตอนนั้นโดนคอมเม้นท์จากพี่ๆ ดีเจคอมเม้นท์มา และหัวหน้าดีเจ และพี่ที่เป็น Program Directer (PD) เขาจะช่วยลงมาดูว่าน้องๆ เหล่านี้มีแววที่จะมาเป็นดีเจหรือป่าว ในระหว่างนั้นผมก็เขาไปคุยแล้วให้พี่ๆ เขาสอนเรา ก็เลยกลายเป็นว่าทำสองงานที่เป็นงานประจำ คือทางทีวี เคเบิ้ล และก็งานดีเจ แต่งานดีเจทำเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ คือช่วง 22.00-02.00 น. เพื่อนชอบแซวว่าเป็นช่วงยามไทม์ แต่ผมรู้สึกว่าผมเป็นดีเจใหม่ได้เวลานี้ก็ดีใจมากแล้วเพราะเป็นการฝึกที่ดี มาก ผมทำดีเจอยู่ที่ (Virgin Soft FM 103) มา 3 ปี ทำแบบนี้มาตลอดแล้วช่วงนั้นผมก็เริ่มเรียนปริญญาโทแล้ว วันจันทร์-ศุกร์ ผมต้องทำรายการทีวี วันเสาร์-อาทิตย์ เรียนเสร็จก็ไปจัดรายการทางวิทยุ แล้วก็กลับบ้านนอนตื่น เช้ามาก็ไปเรียนแบบนี้มาตลอด 2 ปี ขอบคุณพระเจ้าที่ผมผ่านมาได้เพราะเหนื่อยมาก ผมคิดว่านี้คือสิ่งที่พระเจ้านำเรา ช้าหน่อยไม่เป็นไรแต่เชื่อได้เลยว่าพระเจ้าไม่เคยปล่อยเราหลุดไปข้างทาง ปัจจุบันผมก็ยังเป็นดีเจอยู่ ชื่อบริษัทว่า คี ทู เรดิโอ และเป็นคลื่น 90 balance FM เพิ่งจะมาจัดเมื่อต้นปี 2552 ผมเริ่มทำงานตรงนี้ไปเรื่อยๆ แต่ถึงแม้ว่างานนอกช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ งานจะน้อยลงมาก งานอีเว้นท์ต่างๆ ก็น้อยลง แต่ผมก็ยังมีรายได้ประจำจากรายการทางช่องเคเบิ้ลเพราะเขามีเงินเดือนและเงิน ค่าเทปให้ จะเข้าบัญชีทุกเดือน รวมทั้งรายได้จากรายการวิทยุด้วย ผมไม่ได้เดือดร้อนในเรื่องของตกงาน ก็จะมีแค่ว่าอาจจะไม่มีงานพิธีกรข้างนอกเข้ามาก

นมัสการพระเจ้า
มาที่อยู่กรุงเทพฯช่วงแรกๆ ผมยังไม่รู้ว่าผมจะไปที่คริสตจักรไหนดี คุณพ่อของผมก็ได้แนะนำว่าให้ไปที่คริสตจักรไมตรีจิต (วงเวียน 22) ตอนนั้นผมพักอยู่ที่สะพานใหม่ และต้องเดินทางโดยรถเมล์เกือบสองชั่วโมงไปที่คริสตจักรแห่งนี้ ลงที่หัวลำโพงและก็เดินเข้าไป ก็มีบางอาทิตย์ที่ติดงานจริงๆ ก็ไม่ได้ไปแต่ก็ไม่เคยห่างจากการไปร่วมประชุมนมัสการ การอธิษฐาน แล้วพอผมเริ่มเรียนที่มหาวิทยาลัย ก็มีกลุ่มชมรมคริสเตียนที่นี้ด้วยผมก็เข้าชมรมที่นี่ แล้วก็รู้ว่าสะพานควาย มีคริสตจักรคานาอัน มีอนุชนเยอะ ทุกคนก็ชวนกันเล่นกีฬา เล่นดนตรี คุณพ่อของผมก็มีความสุขเพราะท่านได้เตือนไว้ว่าห้ามทิ้งหรือขาดจากการร่วม ประชุมนมัสการที่คริสตจักร ผมไปนมัสการที่นี่จนผมเรียนจบระดับปริญญาตรี พอเรียนจบผมก็ได้ย้ายบ้านจากแถวสะพานใหม่มาอยู่คอนโดฯ แถวห้วยขวาง ตอนนั้นผมก็ได้รู้จักกับพี่แอน นันทนา บุญหลง พี่เขาก็ได้ชวนไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรแห่งความสุข (Church of Joy) ของพี่ปุ๊ อัญชลีจงคดีกิจ ที่อยู่แถวอโศก พอผมเพิ่งเรียนจบ ผมอยู่แต่กับกลุ่มคนทำงานกับพวกพี่ๆ มากกว่า จึงได้ไปร่วมนมัสการที่นี่ หลังจากนั้นก็มาร่วมนมัสการที่คริสตจักรใจสมาน 68

เกิดวิกฤตบ้านหลังเก่า แต่พระเจ้าให้บ้านหลังใหม่
ในครอบครัวของผมก็จะมีคุณพ่อ คุณแม่น้องสาว และผมทั้งหมด 4 คน ตอนนั้นเขาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร ผมก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2544 ประมาณ 8 ปี ผมจะมีโอกาสกลับบ้านก็คงจะเหมือนนักศึกษาทั่วไปคือเราจะได้กลับบ้านในช่วง เทศกาลเท่านั้น แต่ผมเองก็ทำงานด้วยก็เลยไม่ค่อยจะได้กลับบ้านบ่อยเท่าไรนัก แล้วที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมช่วงวันสงกรานต์ไม่ได้กลับบ้านแน่นอน พอเปิดช่วงวันหยุดยาวก็มีการสอบแล้ว ผมก็เลยจะได้กลับบ้านก็เป็นช่วงปีใหม่ ผมกลับบ้านได้ประมาณ 2 ครั้งต่อปี ครั้งหนึ่งพักอยู่ได้ 2-3 วัน ผมก็ดีใจมาก ในระยะเวลา 7 ปีที่เคยอยู่ด้วยกันตลอด มีกิจกรรมกับครอบครัวมากมายดูหนัง นอนเล่นอยู่ที่บ้านบ้าง คือผมจะสนิทกับครอบครัวมาก พอมาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมก็รู้สึกเหงาเหมือนกันต้องมาทำอะไรคนเดียว ผมก็อยากจะกลับไปเจอครอบครัวบ้าง กลับบ้านแต่ละครั้งก็เจอหน้ากันไม่กี่วัน แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของความจำเป็น แต่ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านคุณแม่ก็จะร้องไห้ น้องก็จะร้องไห้เวลาที่ผมต้องขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ในระหว่างนั้นผมก็ทำงานด้วยและส่งเงินกลับไปที่บ้านทุกครั้ง กิจการของที่บ้านผมก็ทำหลายอย่าง มีทั้งขายหนังแผ่นที่ถูกลิขสิทธิ์เพลง หนังต่างๆ และคุณพ่อก็รับแปลภาษาไทยจีน อังกฤษ รับส่งแฟกซ์ ทำเอกสาร ก็พออยู่ได้แล้วผมเองก็ได้ส่งเงินกลับมาช่วยที่บ้านตอนที่ผมเริ่มอยู่ได้

พอมาสักพักหนึ่งผมทำงานและก็เริ่มมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ผมก็คุยกับคุณพ่อว่าทุกวันนี้ที่ทำงานอยู่ แล้วผมเองก็เช่าคอนโดฯ อยู่เดือนหนึ่งก็เสียเงินค่อนข้างมาก ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ผมก็เลยขอคุณพ่อซื้อคอนโด อยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วผมจะจัดการเดินเรื่องการซื้อเอง ผมก็ไปดูโครงการของลุมพินีฯ อยากจะซื้อเพื่อน้องต้องขึ้นมาเรียน จะได้มาอยู่กับผมได้ จะได้ไม่ต้องไปเช่าห้องให้เสียเงิน แล้วต้องจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยในส่วนที่เกินพอผ่อนไหว ผมก็เลยได้ไปคุยกับทางโครงการฯ ตกลงซื้อ ผมก็เริ่มผ่อนดาวน์ซึ่งมันก็ง่ายและไม่หนักผมก็ไม่ต้องไปจ่ายเป็นก้อนก็เลย ผ่อนดาวน์ใช้เวลาเกือบ 15 เดือน เกือบปีครึ่งได้ ตอนนั้นทางบ้านของผมมีปัญหาเรื่องฟ้องร้อง เรื่องที่ดินของทางญาติ คืออากงของผมเขามีลูกหลายคน ตอนอากงเสียอากงก็ไม่ได้ทำพินัยกรรมก็เลยมีปัญหาเรื่องพี่น้อง แล้วคุณพ่อของผมเป็นคนที่แบบอะไรก็ได้ คือร้านที่คุณพ่อมีอยู่คืออยู่ในตลาดเป็นร้านเหมือนห้องแถว 4-5 ห้องติดกัน แล้วก็เป็นพื้นที่รวมเป็นสวนเล็กๆ แล้วเป็นบ้านของผม ปลูกตั้งแต่ที่ย้ายกลับมาจากไต้หวัน ก็อยู่ตั้งแต่ผมกลับมาก็ประมาณ 20 ปี ครอบครัวของผมก็อยู่กันมานานแล้วเป็นที่ของอากงก็มีญาติพี่น้องอยู่ด้วย เหมือนกันแต่ครอบครัวของผมก็ใช้แค่ 1 ห้องเท่านั้น แล้วก็เกิดปัญหาเรื่องที่ดินมา… แล้วผมก็คุยกับคุณพ่อว่าพอจะมีที่ดินขายบ้างไหม คุณพ่อผมก็หาบ้านที่เราจะซื้อไว้เอาแบบที่ไม่ต้องผ่อนเยอะมาก ก็เลยเจอบ้านหลังหนึ่งที่เราคิดว่ามันดีแล้ว หลังบ้านติดกับบ้านที่เราอยู่พอดีเลย เป็นลักษณะบ้านครึ่งปูนไม้ ผมก็ตกลงซื้อบ้านหลังนี้ราคาผมสู้ไหว ผมก็ยื่นเรื่องและก็ผ่อนกับทางธนาคาร ผมก็บอกกับทางครอบครัวว่าผมรับผิดชอบกับการผ่อนบ้านเอง ผมก็ให้คุณพ่อหาเงินใช้ภายในบ้านเองส่วนผมจะส่งค่าผ่อนบ้านมาให้ปกติใน ระหว่างนั้นผมก็ต้องผ่อนกับทางคอนโดฯ ที่ผมซื้อไว้ด้วย คือไม่ได้จะบอกว่าผมทำอะไรเกินตัวแต่มันจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ ผมก็คำนวณทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีเรื่องที่ดินที่ฟ้องกันขึ้นศาลกันไป จนมาถึงปีสุดท้ายคือปีที่แล้วก็มีฎีกา ผลัดกันแพ้ชนะจนฎีกา เป็นระหว่างที่ผมย้ายเข้าคอนโดฯ พอดีในระหว่างก่อนย้ายเข้าก็ปีกว่าก็ตกแต่งคอนโดฯ เสร็จ ย้ายเข้ายังไม่ถึงอาทิตย์เลยผลฎีกาออก พวกเราอธิษฐานบอกพระเจ้าตลอด พวกเราคิดว่าเราจะชนะบ้านหลังนี้คือของเรา ตอนนั้นผมรู้สึกว่าพระเจ้าให้บ้านหลังนี้กับเรา ผลออกมาว่าแพ้ คือทุกอย่าง ร้าน บ้าน ที่ดินหมดทุกอย่างที่ทำมาหากินและกิจการทุกอย่างหายไปหมดเลย เหลือแค่ที่เป็นชื่อของเราคือบ้านหลังเล็กที่เราเก็บไว้ ผมขอบคุณพระเจ้ามากที่ผมได้ตัดสินใจซื้อบ้านที่อยู่ติดกับบ้านที่เราไม่ได้ นี้พอดี พอรู้ผลคุณพ่อผมก็โทรมา ผมเพิ่งย้ายห้องได้ 4-5 วันเองกำลังดีใจได้เข้าคอนโดฯ ใหม่ แล้วก็ได้ยินว่าบ้านโดนยึดทุกอย่างมันรุมผมเข้ามาแบบเร็วมากผมคิดว่าจะทำยัง ไงต่อไป คิดอะไรออกว่าจะทำยังไงแล้วผมก็ใช้เวลาอธิษฐานทั้งวันและก็คุยกับคุณพ่อว่า จะทำยังไงกันดี สิ่งที่ผมกลัวคือคุณพ่อจะช็อกไป ผมก็บอกคุณพ่อว่าไม่ต้องเครียดอะไรเลยแต่บอกผมว่าเชื่อเถอะจะมีหนทาง ขออย่างเดียวให้อยู่กันพร้อมหน้า ผมก็พูดออกติดตลกไปว่าเดี๋ยวคุณแม่ไม่มีใครให้บ่น ตอนนั้นผมก็คิดว่าคงต้องให้ที่บ้านย้ายขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วของที่บ้านก็ต้องหาวิธีขนลงมา หรือจะมาอยู่ที่คอนโดฯ ของผมก่อน แต่คิดไปมาก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ก็คิดๆ ต้องซื้อบ้านผมก็คิดว่าบ้านหลังนี้ก็ยังจ่ายไม่หมดเลย ก็เลยใช้เงินที่มีอยู่หนึ่งก้อนตอนนั้นจ่ายค่าบ้านหลังนี้ทั้งหมด บ้านหลังเล็กที่จังหวัดสกลนครตอนนั้นเหลืออยู่ที่สองแสนกว่า เงินนั้นคือก้อนสุดท้ายที่ผมเหลือเก็บเพราะผมจะมีเงินที่พอใช้และเตรียมไว้ เผื่อฉุกเฉิน นอกนั้นผมก็จะส่งเงินไปให้คุณพ่อจัดการเรื่องบ้านทั้งหมด ก็เลยตัดสินใจจ่ายค่าบ้านหลังเล็กทั้งหมดและประกาศขายไป ในระหว่างนี้ผมก็หาบ้านที่กรุงเทพฯ ด้วยผมมีเวลาซื้อบ้านภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน ผมต้องยื่นเรื่องกู้กับทางธนาคาร ถ้าคนซื้อบ้านน่าจะรู้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลยกับการยื่นเรื่อง ผมเชื่อว่ามันต้องเป็นไปได้ ผมอธิษฐานกับพระเจ้าแล้วก็เป็นตามนั้นจริงๆ ผมไปดูบ้านมาแล้ว 2-3 ที่ ราคาสูงมาก ผมไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ตอนนั้นผมเครียด และอึดอัดมาก เพิ่งปลายปีที่แล้วที่ผ่านมานี้เอง ผมก็คิดว่าถ้าผมขายบ้านที่จังหวัดสกลนครได้เราก็จะได้เงินหนึ่งก้อน ประมาณห้าแสนกว่านิดๆ กับเงินที่เหลืออยู่ก้นถุงนิดหน่อย ผมก็ลองไปดูบ้านที่ไม่เกิน 2 ล้านบาทแถวๆ ลำสาลี ปรากฏว่าวันดีคืนดีเพื่อนของคุณพ่อผมโทรมาหาคุณพ่อพอดี ซึ่งเพื่อนคนนี้หายไปนานมากแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาหาเบอร์โทรศัพท์ของคุณพ่อมาได้ยังไง แล้วเขาก็โทรมาแล้วก็ติดต่อคุณพ่อผมมาเรื่อยๆ คุยเรื่องทั่วไปกันบ้างตามประสาเพื่อน คุณพ่อผมก็เลยเล่าให้เพื่อนเขาฟังว่าบ้านโดนยึดแล้วนะ เพื่อนเขาก็ให้กำลังใจมาแล้วก็บอกว่าจะช่วยดูบ้านให้ คุณพ่อผมก็งงมากเพราะเพื่อนของเขาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เขาเลยโทรถามเพื่อนที่เมืองไทย ปรากฏว่าเพื่อนของเพื่อนพ่อผมเขาอยู่ในหมู่บ้านกิตตินิเวศน์ในซอยรามคำแหง 68 นี้ท้ายซอยเลย เขาก็บอกว่าเหมือนจะเห็นว่ามีบ้านหลังหนึ่งประกาศขาย เขาก็เลยให้ผมไปดูช่วงแรกผมไปกับแฟน ก็พากันขับรถไปดูแล้วก็ไปถามคนแถวๆ นั้นดูว่าซอยนี้เป็นยังไงแล้วบ้านหลังนี้โอเคไหม ขายกี่ปีแล้ว ถามรายละเอียดทุกอย่างแล้วก็โทรไปคุยกับเจ้าของบ้านตอนนั้นบ้านเขายังเปิด อยู่ก็เจอคุณป้าเจ้าของบ้านก็เลยเข้าไปคุยกับเขา ผมก็เล่าให้คุณป้าฟัง ว่าผมต้องการบ้าน มีเงินแค่นี้นะ คุณป้าเขาก็ลดให้ผมอีกลดให้เยอะด้วย เขาบอกว่าจะช่วยทุกอย่าง ไม่ต้องวางมัดจำด้วยแต่เขาสัญญากับผมว่า จนกว่าผมจะยื่นเรื่องผ่านเขาจะไม่ขายใคร ผมก็ขอบคุณคุณป้ามาก และผมก็เริ่มยื่นเรื่อง ผมกู้คอนโดฯไปแล้ว 1 หลัง โอกาสยากมากที่ทางธนาคารจะให้อีกผมกู้ไปเกือบสองล้านแล้ว ผมก็คำนวณรายได้ทั้งหมดทุกอย่าง และผมก็ไปยื่นกู้ที่ธนาคาร (ธอส) ผมไปเจอพี่คนหนึ่งเขาก็ช่วยผมทุกอย่าง ช่วยยื่นเรื่องกับทางธนาคารต่อให้ผมด้วย ราคาบ้านหลังนี้ทั้งหมดคือ 1 ล้าน 9 แสนบาท จนได้ยอดเงินกู้ทั้งหมดอนุมัติเงินมาให้ผมล้านสอง ผมก็คิดว่าอีก 7 แสน จะไปหามาจากไหน แต่พระเจ้าก็มีทางออกให้กับผม มีคุณอาคนหนึ่ง อยู่ที่คจ.ไมตรีจิตท่านให้ความกรุณากับคุณพ่อผมให้เงินมาหนึ่งก้อน ให้ยืมโดยที่ไม่มีดอกเบี้ย มีเมื่อไรค่อยใช้คืนทางบ้านเล็กที่ผมประกาศขายก็มีคนไปยื่นเรื่องกู้เหมือน กันภายในระยะเวลาสองเดือนจนเกือบสามเดือนผมกู้ผ่าน ตกแต่งเสร็จ ใช้เงินไปทั้งหมดถูกมากเพราะผมมีรุ่นพี่ผมทำรับเหมาก่อสร้าง ทั้งหลังทำให้ใหม่หมดเลยหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทเองแล้วทางบ้านเล็กก็กู้ผ่านผม ก็เอาเงินไปคืนทางที่คุณอาให้ผมยืมมา ก็คงค้างประมาณสองแสนกว่าช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาครอบครัวของผมก็ย้ายมา อยู่ปีที่แล้ว ภายในสามเดือนย้ายเข้ามาแล้วเราได้บ้านหลังใหม่ พวกเรางงมากเลย ด้วยเงินที่เรามีแค่นี้ ผมขอบคุณพระเจ้ามาก ซึ่งบ้านหลังนี้ที่ผมชอบมากที่สุดคือน้องสาวของผมเรียนโรงเรียนที่อยู่ตรง ข้ามบ้าน วันเสาร์-อาทิตย์ ไปโบสถ์ที่อยู่หน้าปากซอย แล้วคอนโดของผมกับบ้านห่างกันแค่ 10 นาที ผมกลับไปกินข้าวบ้านแล้วกลับมานอน ไปทำงานจะสะดวกกว่าถ้าอยู่คอนโดฯ กลายเป็นว่า 2 ปีที่ผ่านมาชดเชยทุกสิ่งให้กับผม

ผมก็มานั่งคิดว่า พระเจ้าส่งผมมาก่อนเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าส่งเด็กหัวเกรียนคนหนึ่งจากบ้านนอกขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อทำทุกอย่างเพื่อวันนี้ ผมเชื่ออย่างนั้นว่าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ และถ้าเรามัวแต่มานั่งกระวนกระวายว่า บ้านโดนยึดทำไมพระเจ้าให้ผมเป็นแบบนี้ ทำไมให้ครอบครัวเราล้มละลาย พระเจ้าไม่ดีกับผมอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะไม่เป็นคริสเตียน แล้วไง เราก็ยิ่งแย่กันเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรก็ตามให้เชื่อและวางใจในพระเจ้าสำคัญที่สุด มันเป็นคำง่ายๆ ที่เรามักจะพูดบ่อยแต่ว่าทำได้หรือไม่นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง พอทุกคนมาอยู่ด้วยกัน คุณพ่อของผมก็ไม่ได้มีอาชีพเป็นหลัก แต่ก็มีโอกาสได้สอนหนังสือที่โบสถ์ มีรายได้บ้าง ผมก็บอกกับคุณพ่อว่าให้พักก่อนสักปีสองปีผมก็ดูแลได้ คุณพ่อของผมอายุ 56 ปีแล้วครับ คุณแม่อายุ 54 ปี คุณพ่อก็ยังหล่อเหมือนเดิมอยู่เลย ผมก็อยากให้สภาพจิตใจท่านดี เพราะตอนนี้งานของผมก็ดีอยู่ ตอนนี้ทำอะไรก็ต้องคิดถึงทางบ้านตลอด ผมคิดว่าผมต้องโตเร็วกว่าคนรุ่นเดียวกัน อาจจะดีที่คุณพ่อสอนผมให้ทำงานตั้งแต่เด็ก ผมเลยรู้สึกมีความสุขที่จะทำงานและทำอะไรหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน ขอบคุณพระเจ้าที่เงินก้อนที่ยืมมา ผมใช้เวลาภายใน 1 ปี จ่ายคืนหมดเรียบร้อยทุกบาท เพิ่งจะหมดเมื่อปลายปี 2009 ที่ผ่านมา

ฝากถึงพี่น้องคริสตชน
หลายคนบอกว่าผมขึ้นมากรุงเทพฯ ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่ผมว่าไม่ใช่ ผมเริ่มต้นจากบวกเพราะผมมีพระเจ้าเตรียมอะไรหลายอย่างให้ผมอยู่ แน่นอนครอบครัวล้มละลายมาก่อน เรายังมีมือมีเท้า เรามีพี่น้องคริสเตียนและเรามีครอบครัว ผมว่ามันสำคัญมาก เหมือนกับว่าพ่อดูแลลูก ลูกดูแลพ่อแม่ และพี่น้องดูแลกัน ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ได้เลือกให้ผมมาเป็นลูกของพระเจ้าคนหนึ่งสังคม คริสเตียนมันแตกต่างจากสังคมอื่นๆ ก็อยากให้คนอื่นๆ มารู้จักกับพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นยังไง เพราะว่าคนที่ฟังอย่างเดียวแล้วไม่ได้สัมผัสด้วยตนเองบางทีจะไม่เข้าใจ เหตุการณ์ทุกอย่างนี้จนถึงปัจจุบันพระเจ้าทำงานในจิตใจของผมและทรงนำผมตลอด ที่เป็นประสบการณ์ที่เจอเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เหตุการณ์หนึ่งในชีวิตของ ผม อะไรที่เป็นไม่ได้มักจะเป็นไปได้เสมอในพระธรรม 2 โครินธ์ 3:5 “ไม่ใช่เพราะมีความสามารถในตัวเราเองที่จะถือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากตัวเราเอง แต่ความสามารถนั้นมาจากพระเจ้า” ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนที่มีอีโก้สูง ฉันใหญ่ นามสกุลฉันเจ๋ง มันเอาไปด้วยไม่ได้ มันไม่ได้เป็นคุณค่าที่เกิดจากตัวเราเอง คนเราจะทำอะไรสักอย่าง คุณค่าของเราไม่ได้อยู่ที่ว่าจะทำงานอะไร มีรายได้เท่าไร มันอยู่ที่ว่าคุณได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างหรือไม่มากกว่า และก็ในพระธรรมมัทธิว 6:33-34 “แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้เพราฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็มีเรื่องกระวนกระวายของมันเอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรถ้าเราไม่ไหวก็ฝากไว้กับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา

สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบคุณคุณมงคล องก์พัฒนกุล ที่กรุณาถ่ายทอดคำพยานลงในคริสตสายสัมพันธ์เล่มนี้ ขอพระคุณ ความรัก และการอวยพรจากพระเจ้าอยู่เหนือท่านและครอบครัวเสมอไป

  • คุณมงคล องค์พัฒนกุล