ที่หนึ่งของชีวิตคือ พระเจ้า 3/13

ที่หนึ่งของชีวิตคือ พระเจ้า

จุฬพันธุ์ มันตาวิจักษณ์ (น้องบุ๊ค) อายุ 20 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มาจากครอบครัวที่อบอุ่น มีพี่น้องรวม 3 คน คุณแม่ทำธุรกิจส่วนตัว คือคุณรดา มันตาวิจักษณ์ คุณพ่อเป็นสัตวแพทย์ คือคุณนพพร มันตาวิจักษณ์ ปัจจุบันน้องบุ๊คและคุณแม่เป็นสมาชิกอยู่ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ และมีความมุ่งมั่นในการที่จะนำคุณพ่อและน้องอีก 2 คนให้มารู้จักพระเจ้า
..
พระเยซูเป็นใครกันแน่
บุ๊คไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคริสเตียนคือใคร เป็นอย่างไร รู้เพียงว่าคริสเตียนไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เป็นอีกศาสนาหนึ่ง จนกระทั่งบุ๊คสอบได้ไปต่างประเทศกับโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน YFU (Youth For Understanding International Exchange) และไปเรียนในปี ค.ศ.2010 ขณะนั้นบุ๊คกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งปีที่ 6 เป็นปีที่จะต้องเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่ก็ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้ เพราะน้องสาวซึ่งกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความต้องการอย่างมากที่จะไปเรียนแลกเปลี่ยนกับโครงการ AFS คุณแม่จึงตัดสินใจให้ได้ไปทั้งคู่ บุ๊คไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 10 เดือน และได้พักกับครอบครัวอเมริกัน (Host) ที่เป็นคริสเตียน โดยที่บุ๊คไม่มีข้อมูลของครอบครัวนี้มาก่อนเลย ตอนนั้นบุ๊ครู้สึกกังวลมาก แต่เมื่อเดินทางไปถึงที่นั่นและได้พบกัน บุ๊คก็รู้สึกอุ่นใจ เขาเป็นครอบครัวคริสเตียนที่อบอุ่นและรักพระเจ้ามาก เขาชวนบุ๊คไปโบสถ์ตั้งแต่อาทิตย์แรกที่ไปถึง ซึ่งบุ๊คคิดว่าถ้าบุ๊คไม่ไปก็คงจะไม่ดีแน่ และบุ๊คก็จะต้องอยู่บ้านคนเดียวด้วย จึงตอบตกลงไป โดยไม่รู้ว่าเขาทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง เมื่อไปแล้วจึงรู้ว่ามีการสอนเรื่องราวของพระเยซู มีการร้องเพลง ในช่วงแรกนั้นบุ๊คยังไม่เข้าใจความหมายเพราะว่าเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็ร้องตามเขาไปเรื่อย ๆ เพราะต้องการฝึกภาษาอังกฤษ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน บุ๊คพอจะเริ่มแปลออกบ้าง จึงเริ่มเข้าใจคำสอนของเขาที่บอกว่า มีคนหนึ่งยอมมาตายเพื่อเรา ถ้าเราเชื่อ เราก็จะได้รับความรอด มีชีวิตนิรันดร์ ฟังแล้วก็รู้สึกว่าดี แต่ก็ยังไม่เชื่อ เพราะตอนนั้นคิดไว้ว่า ถ้าไปอเมริกาจะไม่มีทางเปลี่ยนศาสนาเด็ดขาด เพราะบุ๊คเป็นพุทธมาตั้งแต่เกิด แต่พอมารับรู้เรื่องพระเจ้า ได้ฟังเพลงที่เนื้อร้องพูดถึงแต่พระเยซูผู้ยอมตายแทนเรา ทำให้บุ๊คเริ่มคิดแล้วว่า พระเยซูเป็นใครกันแน่ ทำไมทุกคนจึงร้องแต่เพลงที่ยกย่องสรรเสริญและขอบคุณพระเยซู คนที่โบสถ์เริ่มเข้ามาคุยกับบุ๊คและเรียกบุ๊คว่า brother บุ๊คก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นพี่น้องกันสักหน่อย แต่เขาบอกว่าสักวันบุ๊คจะได้มาเป็นพี่น้องในพระเจ้าเหมือนกัน แต่บุ๊คไม่คิดอย่างนั้น บุ๊คไม่คิดที่จะเปลี่ยนศาสนา อย่างไรก็ตาม มีคนมาพูดกับบุ๊ค คอยอธิบายเรื่องพระเจ้าให้ฟังเรื่อย ๆ ซึ่งบุ๊คคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเชื่อแล้วพระเจ้ามีจริง ก็จะมีแต่ประโยชน์เพราะว่าเราจะได้ไปสวรรค์และมีชีวิตนิรันดร์ เพราะคนนำทางเราไปคือพระเจ้าซึ่งไม่มีวันที่จะไปผิดทางอยู่แล้ว ชีวิตเราก็จะดี แต่ถ้าพระเจ้าไม่มีจริงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อ ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เชื่อ แต่เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องจริง เราก็จะไม่ได้รับความรอด ตายไปก็ต้องตกนรก และบุ๊คก็รู้ตัวเองว่ายังทำบาปอยู่ สิ่งที่บัญญัติสิบประการห้ามมนุษย์ทำ บุ๊คก็ยังทำอยู่ ถ้าวันนี้บุ๊คตายไป ก็ไปนรกแน่นอน บุ๊คคิดไปคิดมาหลายรอบ
.
รู้จักแล้ว…
บุ๊คไปโบสถ์ที่ญาติของ Host เป็นสมาชิกอยู่ บุ๊คเห็นพี่น้องคริสเตียนที่นั่นนมัสการพระเจ้าด้วยการกระโดดโลดเต้นและวิ่งไปรอบห้อง ดูแล้วมีความสุขมาก ทำให้บุ๊ครู้สึกแปลกใจ และคิดว่าพระเจ้ามีอะไรดี ทำไมเขาถึงแสดงออกมามากขนาดนั้น ไม่เหมือนกับเวลาที่บุ๊คกราบไหว้พระของบุ๊คเลย ไม่เคยแสดงออกแบบนั้น หรือเป็นเพราะว่าพระที่บุ๊คกราบไหว้เป็นรูปปั้นที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่มีชีวิต แต่คริสเตียนกราบไหว้พระผู้ที่สร้างเขาขึ้นมา พวกเขามีความสุขอย่างแท้จริง บุ๊คพยายามค้นหาคำตอบว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้ววิญญาณจะไปอยู่ที่ไหน เพราะว่าศาสนาเดิมของบุ๊คมีแต่หลักการที่ชี้แนะวิธีทำให้พ้นทุกข์ และไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วจะไปไหน
.
ในที่สุดบุ๊คก็ได้รับคำตอบ วันที่ 9 มกราคม 2011 พี่น้องคริสเตียน 2 คน เข้ามาพูดคุยและพยายามนำบุ๊คให้รู้จักพระเจ้า คนแรกเข้ามาบอกกับบุ๊คว่า ถ้าเราเชื่อว่า พระเยซูยอมตายเพื่อเรา เราจะได้รับความรอด เราทุกคนเป็นคนบาป และสถานที่แห่งเดียวที่คนบาปจะต้องไปคือนรก แต่บุ๊คก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก คนที่สองก็เข้ามาอธิบายอีก บุ๊คก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จนกระทั่ง Host ของบุ๊คเข้ามานั่งคุยและค่อย ๆ อธิบายให้บุ๊คฟัง ตั้งแต่เรื่องมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่พระเจ้าทรงรักเราและได้ให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายเพื่อไถ่บาปของเรา คนที่เชื่ออย่างนี้ จะได้รับความรอดคือมี ชีวิตนิรันดร์ ได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ เขาถามว่าบุ๊คเข้าใจไหม อยากต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตไหม เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดไหม บุ๊คตอบเขาว่าเชื่อ แต่เขาก็ถามย้ำเป็นครั้งที่สองและบอกว่าต้องเชื่อทั้งใจเลยจึงจะรอด ตอนนั้นบุ๊คไม่ได้คิดเลยว่านี่เป็นเรื่องของศาสนา รู้แต่ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงและพระเจ้าบอกกับบุ๊คว่านี่คือทางที่ถูกต้องแล้ว บุ๊คจึงตอบทันทีเลยว่าบุ๊คเชื่อหมดทั้งใจ แล้วบุ๊คก็ร้องไห้ดีใจที่รู้ว่าอะไรคือความจริง หลังจากนั้นประมาณเกือบสองสัปดาห์ บุ๊คก็ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ติดตามพระเจ้า โดยการเข้ารับศีลบัพติศมาที่คริสตจักรเกทเสมานี ประเทศสหรัฐอเมริกา
.
บุ๊คเปลี่ยนไป
ก่อนที่จะไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา บุ๊คเป็นคนที่ติดเกมคอมพิวเตอร์มาก ขนาดคุณแม่ล็อคห้องที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เพราะไม่อยากให้บุ๊คเข้าไปเล่นเกม บุ๊คก็ยังแอบเข้าไปเล่นตอนตีสาม ตีสี่ บุ๊คใช้ชีวิตแบบตามใจตัวเองมากและทำทุกอย่างที่ตัวเองอยากจะทำแม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ดี บุ๊คไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไรและตายแล้วจะไปไหน แต่เมื่อมารับเชื่อพระเจ้า บุ๊คใช้เวลาในการอ่านพระคัมภีร์และสามารถอ่านได้ครั้งละเป็นชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเป็นคนไม่อ่านหนังสือเลย แม้แต่หนังสือเรียน จนคุณพ่อสงสัยว่าพระคัมภีร์มีอะไรดี ทำไมเด็กอย่างบุ๊คถึงตั้งใจอ่านมาก ขนาดจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ยังใช้เวลากับพระคัมภีร์อีก แต่บุ๊คก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรพ่อ จากที่เคยเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยมีความอดทนก็ใจเย็นลง รู้จักถ่อมตัว ถ่อมใจมากขึ้น รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำมากขึ้น บุ๊คพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นและสารภาพบาปกับพระองค์เสมอ เพื่อจะเป็นกำลังใจให้บุ๊คดำเนินชีวิตกับพระเจ้าต่อไป
.
คุณแม่กับการท้าทาย
หลังจากที่บุ๊ครับเชื่อไม่กี่วัน บุ๊คก็โทรศัพท์มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาบอกคุณแม่เลยว่าบุ๊คเป็นคริสเตียนแล้ว ซึ่งคุณแม่ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ส่วนคุณพ่อก็ตามใจบุ๊ค จะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย บุ๊คใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ไปพร้อม ๆ กับหนังสือเรียนที่อ่านจะไม่ทันอยู่แล้ว ทำให้คุณพ่อไม่ค่อยพอใจนักและท่านไม่เห็นด้วยที่บุ๊คทำอย่างนั้น บุ๊คยังอยากไปโบสถ์ แต่ก็ไม่มีใครอยากให้ไปหรือพาไป บุ๊คก็ยังได้ค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต พอคุณพ่อเห็นว่าบุ๊คพยายามอยากที่จะไปโบสถ์มาก และคุณพ่อเองก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีเพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์อยู่ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ จึงคิดว่าน่าจะเอาลูกมาฝากไว้กับเขาได้ แต่คุณพ่อไม่มีเบอร์โทรติดต่อเขาเพราะแยกกันหลายปีแล้ว ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็พาบุ๊คมาที่โบสถ์เพราะคิดว่าบุ๊คคงได้เจอกับเพื่อนคุณพ่อแน่ ๆ คุณพ่อจึงมาส่งแค่ประตูโบสถ์ เนื่องจากเพื่อนของคุณพ่อไม่ได้มาที่โบสถ์นี้แล้ว บุ๊คจึงไปโบสถ์คนเดียวอยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง ก็กลับมาเล่าให้คุณแม่ฟังว่าคนอื่นเขามากันเป็นครอบครัวแต่บุ๊คไปคนเดียว คุณแม่เริ่มรู้สึกเห็นใจจึงตามไปด้วย เพราะใจหนึ่งก็คิดว่าที่โบสถ์มีอะไร ทำไมบุ๊คถึงอยากจะมาโบสถ์ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่า เมื่อคุณแม่มาที่โบสถ์ บุ๊คก็บอกท่านว่า พี่คนหนึ่งบอกไว้ว่า ถ้าคุณแม่มาโบสถ์เขาอยากพบและขอคุยด้วย แล้วคุณแม่ก็ได้พบคุณโอ (คุณสมรรถพล ตันคณิตเลิศ) เขาชมว่าคุณพ่อคุณแม่ให้การเลี้ยงดูบุ๊คเป็นอย่างดี ดูได้จากบุ๊คเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ ซึ่งตรงกับที่ Host เคยเขียนจดหมายมาหาคุณแม่ 2 ฉบับ ชมว่าบุ๊คเป็นเด็กดี ซึ่งตอนนั้นคุณแม่คิดว่า Host คงชมไปอย่างนั้นเอง แต่ได้เล่าให้คุณพ่อฟัง เมื่อคุณพ่อทราบอย่างนี้ก็เลยคิดว่าบุ๊คมาเป็นคริสเตียนไม่ได้เสียหายอะไร คุณพ่อจึงเป็นคนพาบุ๊คและคุณแม่มาโบสถ์ ในครั้งแรกคุณแม่มาโบสถ์ด้วยความทุกข์ใจมาก เพราะ บุ๊คอยากจะสอบแพทย์ แต่เมื่อคำนวณเวลาเตรียมตัวอ่านหนังสือแล้วไม่ทันแน่นอน และบุ๊คยังใช้เวลาเป็นชั่วโมงอ่านพระคัมภีร์และไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ เวลาที่จะอ่านหนังสือก็น้อยลง ตอนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็อ่านหนังสือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วบอกว่ากลับมาจะเป็นหมอ คุณแม่ทุกข์ใจมากเพราะกลัวว่าบุ๊คจะไม่สมหวัง เพราะบุ๊คบอกว่าอยากจะรักษาคนไข้ไม่เฉพาะทางร่างกายแต่อยากจะรักษาจิตใจและจิตวิญญาณด้วย บุ๊คพูดเหมือนว่าได้เรียนรู้อะไรบางอย่างมาจากการเป็นคริสเตียน ทำให้คุณแม่รู้สึกสะดุดใจกับประโยคนี้มากและมีกำลังใจอยากจะช่วยให้บุ๊คสมหวัง คุณแม่จึงช่วยบุ๊ควางแผนอ่านหนังสือ ฝึกทำข้อสอบ แต่คุณแม่ไม่ได้จัดตารางเผื่อไว้สำหรับอ่านพระคัมภีร์หรือไปโบสถ์เลย บุ๊คก็บอกท่านว่าบุ๊คจะตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าในวันอาทิตย์เพื่ออ่านหนังสือก่อนที่จะไปโบสถ์ แต่เนื่องจากบุ๊คอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง บางครั้งก็อ่านตอนเที่ยงคืนก็มี เวลาอ่านหนังสือเรียนก็มีน้อยด้วย คุณแม่จึงคิดว่ามีแต่ปาฏิหารย์เท่านั้นที่จะช่วยให้บุ๊คสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ คุณแม่ก็เลยบอกกับพระเจ้าว่า ถ้าบุ๊คสอบติดแพทย์ คุณแม่จะช่วยเผยแพร่เรื่องพระเจ้า คุณแม่อยากได้รับหนังสือของคริสเตียนเพื่อแจกจ่ายให้คนอื่น หลังจากที่ขอแบบนี้ไม่นาน ก็มีพัสดุส่งมาจากอเมริกา เป็นหนังสือเล่มเล็กหลาย ๆ เล่ม (แต่บุ๊คไม่ทราบเรื่อง ทางประเทศสหรัฐอเมริกาถามมาบุ๊คก็บอกว่าไม่ได้รับ) คุณแม่คิดว่านี่เป็นคำตอบจากพระเจ้าหรือเปล่าที่จะให้แจกและคิดอีกว่าอยากได้พระคัมภีร์เล่มใหญ่ไว้อ่าน ถ้าได้หลายเล่มก็จะแจกอีกเหมือนกัน หลังจากนั้นก็มีฝรั่งที่เมืองไทยโทรมาหาบุ๊คบอกว่าทางโบสถ์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ส่งพระคัมภีร์เล่มใหญ่มาให้ ถามว่าต้องการกี่เล่ม แล้วเขาก็นำมามอบให้ที่โบสถ์นิมิตใหม่ และนำแผ่นซีดีเพลงคริสเตียนที่คุณแม่อยากได้มาให้ด้วย คุณแม่คิดว่าพระเจ้าตอบรับอีกหรือเปล่านะ ตอนที่คุณแม่ไปโบสถ์นิมิตใหม่เป็นครั้งแรก ท่านมีโอกาสฟังคำเทศนาจากอาจารย์เสรี (ศาสนาจารย์ดร.เสรี หล่อกัณภัย) และได้พูดคุยกับท่าน ปรึกษาเรื่องบุ๊ค อาจารย์เสรีบอกว่าถ้าสิ่งที่คุณแม่เล่ามาเป็นความจริง บุ๊คจะสอบได้ และถ้าสอบได้ให้โทรหาอาจารย์ด้วย ระหว่างนั้นบุ๊คก็สมัครสอบรับตรงตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และสอบได้คณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ได้เพียงเป็นตัวสำรองของแพทย์ CPIRD (Collaborative Project to Increase Production of Rural Doctor – โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท) ซึ่งนั่นทำให้บุ๊คต้องพยายามต่อไปอีก เพื่อไปสอบแพทย์ของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ผลสอบออกมาว่าบุ๊คสอบได้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แต่อย่างไรก็ตามบุ๊คต้องรอผลสอบ O-Net (Ordination National Educational Test – แบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน ซึ่งทุกคนที่จบ ม.6 หรือเทียบเท่าต้องสอบและจะสอบได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต) ก่อน ถ้าสอบผ่าน (ได้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้) จึงจะเข้าเรียนแพทย์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทราบมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนวันที่จะสอบ O-Net เพื่อนของบุ๊คโทรมาและขอให้บุ๊คอธิบายเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบุตร พระจิต ว่าคืออะไร บุ๊คก็อธิบายให้ฟังนานพอควรโดยไม่ห่วงว่าตนเองต้องสอบพรุ่งนี้แล้ว หลังการสอบผ่านพ้นไปคุณแม่จึงโทรศัพท์หาอาจารย์เสรี เล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะคุณแม่รู้สึกกังวลว่าบุ๊คอาจจะสอบไม่ผ่าน เพราะเหลือเวลาอ่าน O-Net น้อยมาก อาจารย์เสรีก็หนุนใจโดยใช้ข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ถ้าใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 16:25) และท่านบอกว่าบุ๊คทำสิ่งที่ถูกแล้วและจะสอบ O-Net ผ่าน ให้คุณแม่รอคอยผลด้วยรอยยิ้มได้เลย สุดท้ายผลสอบ O-Net ออกมา บุ๊คสอบผ่านหมด คุณแม่ก็เริ่มเปิดใจ ซึ่งความจริงแล้วสมัยที่คุณแม่เรียนชั้นประถมในโรงเรียนคริสต์ ตอนนั้นได้ร้องเพลงพระเจ้ารักฉันทุกวัน แต่พอมาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก็ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนคริสต์แห่งนั้นแล้ว และที่บ้านก็ต่อต้านด้วย จนถึงช่วงวัยทำงานก็มีคนชวนไปโบสถ์เข้ากลุ่มย่อย คุณแม่อยากเป็นคริสเตียนจึงได้ขออนุญาตจากคุณตาคุณยายของบุ๊คแต่ท่านไม่อนุญาต คุณแม่จึงตัดใจคิดว่าพระเจ้าคงไม่รับแล้ว จนกระทั่งวันที่บุ๊คได้มาถึงอย่างที่เป็นนี้ คุณแม่อายุเกือบจะ 50 ปีแล้ว จึงได้มารู้จักพระเจ้า ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตในวันอีสเตอร์พอดี
.
สุดท้ายก่อเกิดผลดี
เมื่อคุณแม่มารับเชื่อ ท่านเริ่มอ่านพระคัมภีร์เพราะอยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น และเป็นการช่วยบุ๊คอีกทางหนึ่งด้วย คอยหนุนใจกันไม่ให้หลงไปกับการทดลองของซาตาน ส่วนคุณพ่อเริ่มต่อต้านน้อยลง จากที่ไม่ยอมให้เราเปิดเพลงคริสเตียนเลย ก็ยอมให้เปิด ถ้าลูกชายคนเล็กเริ่มตั้งคำถามยาก ๆ กับคุณแม่ในเรื่องพระเจ้า คุณพ่อก็จะออกตัวว่าทุกศาสนาสอนเหมือนกันคือให้เป็นคนดี คุณแม่ยังไม่รู้อะไรมาก อย่าไปอะไรกับคุณแม่มาก คือคุณพ่อจะเริ่มอ่อนลงบ้างแล้ว บุ๊คกับคุณแม่เลยตั้งเป้าไว้ว่าเราจะอธิษฐานกับพระเจ้าและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เขาเห็น เหมือนอย่างที่บุ๊คได้รับการเปลี่ยนแปลงและคุณพ่อกับคุณแม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น
.
ไว้วางใจและให้ความสำคัญ
บุ๊คได้พูดเรื่องพระเจ้ากับเพื่อนคนหนึ่งที่โทรศัพท์มาคุยในวันก่อนที่จะสอบ O-Net ใช้เวลาเป็นชั่วโมงอธิบายให้เขาฟัง ซึ่งคุณแม่ไม่เห็นด้วยเพราะมันทำให้เสียเวลาอ่านหนังสือ แต่บุ๊คคิดว่าเรื่องความรอดเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ดังนั้นเราต้องประกาศเรื่องพระเจ้าเมื่อมีโอกาส เพื่อนคนนี้เขาสนใจเรื่องพระเจ้ามาก บุ๊คลองให้เขาอธิษฐานขออะไรสักอย่างหนึ่งจากพระเจ้าเพื่อเขาจะได้รู้ว่าพระเจ้ามีจริง วันหนึ่งเราไปเรียนนักศึกษาวิชาทหาร (รด.) ด้วยกัน อากาศร้อนมาก เขาจึงอธิษฐานขอให้ฝนตก ปรากฏว่าฝนตกลงมาจริง ๆ ตกหนักด้วย แต่ตกไม่นานก็หยุด เขาดีใจและตื่นเต้นมาก ตอนนี้เขามาเชื่อพระเจ้าแล้ว
.
ก่อนที่บุ๊คจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง บุ๊คจะอธิษฐานก่อนเสมอ เช่น ช่วงสอบบุ๊คจะแบ่งเวลาอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ก่อนอ่านหนังสือ เพราะพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่อ่านแล้วคุ้มที่สุด บุ๊คทำอย่างนี้ทุกเช้า บุ๊คไม่รู้หรอกว่าบุ๊คจะสอบติดแพทย์หรือเปล่า แต่บุ๊ครู้ว่าบุ๊คจะไม่เสียใจถ้าบุ๊คสอบไม่ติด เพราะว่าบุ๊คฝากไว้กับพระเจ้าทุกวัน และทุกครั้งที่ทำข้อสอบ ถ้าสิ่งไหนที่บุ๊คทำแล้วไม่สำเร็จ บุ๊คจะขอบคุณพระเจ้า บุ๊คไม่ต่อว่าพระเจ้า เพราะพระเจ้าได้เตือนแล้วแต่บุ๊คไม่ฟังเอง เวลาที่ไม่ได้สิ่งใด ก็มีความเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานสิ่งที่ดีกว่าหรือเหมาะสมกว่าให้เสมอและขอบคุณพระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกว่าให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงประทานทุกสิ่งที่จำเป็นในชีวิตให้เราเอง (มัทธิว 6:33) เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็ควรเลือกพระเจ้าก่อน แล้วพระเจ้าจะเพิ่มเติมให้เราเอง ก่อนทำข้อสอบก็เหมือนกัน บุ๊คจะอธิษฐานก่อนแล้วค่อยลงมือทำข้อสอบเสมอ
.
อีกครั้งหนึ่ง บุ๊คมีโอกาสออกไปเล่าเรื่องพระเจ้าในชั้นเรียนชั่วโมงภาษาอังกฤษประมาณ 5 นาที พอหลังจากนั้นเพื่อน ๆ ก็เข้ามาถามว่าพระเจ้าเป็นใคร บุ๊คก็อธิบายให้เขาฟัง มันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก มีคนหนึ่งที่เรียนแพทย์ด้วยกันมารับเชื่อด้วย
.
บุ๊คคิดว่าการมีชีวิตอยู่ทุกวันและอธิษฐานไปด้วย เวลาเรามีปัญหาอะไรพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เราสามารถวางทุกเรื่องราวไว้กับพระเจ้าได้หมด ถ้าเราเครียด เราก็อธิษฐาน ถ้าเราวางไว้กับพระเจ้าจริง ๆ เราจะหายเครียด พระเจ้าดูแลเราตลอดหมดทุกเรื่อง
.
พระเจ้าเป็นที่หนึ่งของชีวิต
พระธรรมที่บุ๊คชอบและยึดถือไว้ในการดำเนินชีวิตทุกวันคือ “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้” (มัทธิว 6:33) อีกข้อหนึ่งคือ “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” (ฟีลิบ- ปี 1:21) เพียงสองข้อนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิต คือการให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งก่อนสิ่งอื่นใดในแต่ละวัน การใช้ชีวิตเลียนแบบอย่างจากพระเจ้า สุดท้ายเมื่อเราจากโลกนี้ไป นั่นเป็นกำไร เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วเราจะได้ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ และขอให้เราตระหนักว่าพระเจ้าทรงทราบความจำเป็นและความต้องการของเรา พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว ถ้าพระเจ้าเรียกให้เราทำสิ่งใด ขอให้เรายอมทำตามด้วยความรัก เพราะถ้าปราศจากความรัก สิ่งนั้นก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าเรายอมกับพระเจ้า ชีวิตเราจะเดินถูกทาง
  • คุณจุฬพันธุ์ มันตาวิจักษณ์