ทุกปัญหา มีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
เมื่อต้นปี 2009 มีภาพยนตร์โฆษณาชิ้นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญจากผู้ชมเป็นจำนวนมากและได้รับรางวัลสื่อมวลชนดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2552 ประเภทโฆษณา (Catholic Media Award 2009) เป็นเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ภาพเริ่มจับที่พ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือ พิมพ์ ขณะที่ลูกชายวัยประมาณ 5 ขวบกำลังเล่นต่อไม้รูปทรงต่างๆ อยู่บนพื้นห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พ่อเดินไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล…ว่าไงนะ …โครงการล้ม…แล้วของที่ลงไปแล้วละ…”
“หมดกัน…สร้างมากับมือ” พ่อทรุดตัวลงหัวใจสลายเพราะธุรกิจที่ทำอยู่พังพินาศไปในชั่วพริบตา ความทุกข์ที่บีบคั้น ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ลูกชายก็ยังเล็กจะอยู่ได้อย่างไร พ่อเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อจะหยิบอาวุธหวังจบชีวิตทั้งพ่อทั้งลูก “โครม!” ตัวต่อไม้ที่ลูกชายกำลังก่อสร้างอยู่นั้นพังครืนลงมา
“หมดกัน…สร้างมากับมือ” ลูกอุทานออกมาด้วยประโยคเดียวกันกับพ่อ เด็กชายคงรู้สึกว่าสิ่งที่พยายามทำมายาวนานนั้นมันพังลงมาเพียงแค่พริบตาเช่นกัน เด็กชายฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ “ไม่เป็นไร สร้างใหม่ก็ได้…” เด็กชายเงยหน้าขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่น คำพูดสั้นๆ ของเขา ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหยุดคิด “ใช่…ไม่เป็นไร สร้างใหม่ก็ได้”
“ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ… ยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว”
เบื้องหลังโฆษณายาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว
คุณสุวรรณา อัครพงศ์พิศักดิ์ ทายาทรุ่นลูกของธุรกิจเซียงเพียวอิ๊ว และผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มวัยรุ่นภายใต้แบรนด์ เปปเปอร์มินท์ฟิว ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เล่าถึงสปอร์ตโฆษณาชุด “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ” ว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจจากการเข้าชั้นศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ในวันพฤหัสที่คริสตจักร Church of Joy (คริสตจักรแห่งความสุข) สอนโดย ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ วันนั้นท่านสอนพระธรรมปฐมกาล และได้โยงไปเรื่องความรัก หลายครั้งที่คนเรารักผิด รักไม่เป็น รักแบบไม่เข้าใจ พอดีกับช่วงนั้นประเทศชาติกำลังประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ บริษัทหลายแห่งต้องปิดตัวลง คนทำธุรกิจหลายคนประสบปัญหามากมาย พอธุรกิจล้มไม่มีงาน ไม่มีเงิน แต่ด้วยความรักลูกและครอบครัว จึงคิดสรุปเอาเองว่าพวกเขาจะอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ ถ้าอย่างนั้นควรจะตายไปพร้อมกันดีกว่า ดังที่เรา พบเห็นได้จากข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่ว่า ธุรกิจล้ม เจ้าของฆ่าลูกๆ ภรรยา และฆ่าตัวตายตาม ซึ่งนำความเศร้าสลดใจต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก การกระทำเหล่านี้เป็นการแสดงความรักที่ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นเองทำให้คุณสุวรรณาคิดถึง “อากง” ของเธอ ซึ่งภาพของท่านปรากฏเป็นโลโก้บนกล่องผลิตภัณฑ์ เซียงเพียวอิ้ว เธอคิดว่าในยามที่ประเทศชาติเจอปัญหา ประชาชนหัวเราะไม่ออก “อากง” อยากจะพูดอะไรกับคนไทยในวันนี้บ้าง จึงเกิดเป็นความคิดที่ว่า “อากง” น่าจะให้คำเตือนสติ ให้ได้คิดว่า “ทุกปัญหามีทางออก” ก็เลยนำความคิดนี้มาบอกกับทีมงานเพื่อช่วยกันระดมสมองและกลายมาเป็นโฆษณาชุด “ทุกปัญหามีทางออก ใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
เบื้องหลังชีวิต ผู้คิดโฆษณายาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว
กว่าจะมาเป็นสุวรรณาในวันนี้ ใครจะรู้ว่าหญิงแกร่งมากความสามารถคนนี้เคยเฉียดความตายมาแล้ว ย้อนไปเมื่อครั้งเรียนในระดับอุดมศึกษา คุณสุวรรณาสอบเข้าเรียนต่อได้ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน จึงมีชั่วโมงว่างมาก เมื่อว่างมากก็เที่ยวมาก เรียนไปได้ 6 เดือนผลสอบออกมาคะแนนต่ำมาก ช่วงนั้นพี่สาวคนโตของคุณสุวรรณาเพิ่งจบปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณแม่จึงขอให้พาเธอไปด้วย คุณสุวรรณาจึงได้ไปเรียนที่ Oregon State เรียนระดับปริญญาตรี ช่วงที่เรียนปี1-3 คุณสุวรรณาก็ยังคงเที่ยวเล่นกินดื่มเหมือนเดิม แต่ก็พยายามทำเกรดให้ดีๆ เพื่อแม่จะภูมิใจและมีอะไรไปคุยกับคนอื่นได้บ้าง เรียกว่าเรียนเพื่อรักษาหน้าแม่เท่านั้น ในใจจริงแล้วไม่รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร และไม่ชอบเรียนหนังสือ ตอนที่คุณสุวรรณาเข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เธอได้เพื่อนร่วมห้องที่เป็นคริสเตียน…ชื่อ เดนเนท(Dennette) เป็นคนอเมริกัน สิ่งที่เพื่อนคนนี้ทำเป็นประจำคือ ก่อนนอนทุกวันเธอจะคุกเข่าก้มหัวอธิษฐานที่ปลายเตียงเหมือนในรูปที่เราเห็นกันชินตา คุณสุวรรณารู้สึกว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนที่มีจิตใจดีมาก ยิ่งเวลาที่พ่อแม่และน้องชายมาเยี่ยมเดนเนท พวกเขาจะร้องเพลงและเล่นกีตาร์กัน ช่างเป็นภาพที่สวยงาม อบอุ่นและมีความสุขมาก เป็นความอบอุ่นที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทอง ทำให้คุณสุวรรณาสงสัยว่าพวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบไปแล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเธอแล้วเธอมีงานมีอนาคตที่ดีรออยู่ แต่ทำไมพวกเขาจึงดูมีความสุขจริงๆ เพื่อนเริ่มชวนเธอไปปาร์ตี้ที่บ้านคริสเตียน ซึ่งเธอชอบมากเพราะเป็นคนที่ชอบพูดคุย ชอบมีเพื่อน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายในเรื่องความเชื่อของคริสเตียนหรือเรื่องพระเจ้า คุณสุวรรณาเล่าให้ฟังว่า เธอชอบไปงานปาร์ตี้มากๆ ไปบ่อย และดื่มหนัก เธอจำได้ไม่ลืมว่า วันหนึ่งมีการแข่งขันดื่มเบียร์กระป๋องโดยจะต้องดื่มให้ได้มากและเร็วที่สุด เธอจึงใช้วิธีที่เคยดูมาจากในภาพยนต์ คือเอาดินสอเจาะเป็นรูแล้วเอานิ้วกดปิดเอาไว้ ให้มันอัดแน่นๆ พอเปิดออกมามันจะพุ่งแรงและเร็ว เธอดื่มไปได้ 2 กระป๋อง ก็ล้มลงและหายใจไม่ออก เธอไม่สบายมากต้องนอนอยู่ที่หอพักออกไปไหนไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น ในวันรุ่งขึ้นคุณสุวรรณาก็ต้องเจอกับอีสุกอีใสที่แวะมาเยี่ยมเยียนในวัยและเวลาที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง การเป็นอีสุกอีใสตอนโตจะเจ็บปวดทรมานมาก จนเธอเดิน นอนไม่ได้ แต่ก็ได้ เดนเนทคอยหาอาหารมาให้ที่หอพัก ช่วงนั้นหิมะตกหนัก บรรยากาศเงียบมาก ไม่มีใครเลยต้องอยู่แต่ในห้อง ออกไปไหนก็ไม่ได้ ทำให้เธอนอนคิดทบทวนว่าตนเองทำอะไรลงไป ถ้าหากแม่รู้เข้าจะเสียใจแค่ไหน พ่อแม่ส่งให้มาเรียนถึงอเมริกาก็ยังเกเร ถ้าหากเป็นอะไรไปแม่จะต้องตายตามเธอไปแน่ๆ ตอนนั้นเธอคิดเลยเถิดไปว่าชีวิตตนเองเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ และกลับไปทำงานเป็นเจ้าคนนายคนอย่างนั้นหรือ คนเราเกิดมาทำไมกันแน่ คุณสุวรรณาคิดวนเวียนอยู่ในใจเช่นนี้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เธอนอนป่วยอยู่ พอหายก็ขี่จักรยานไปเรียนหนังสือ ซึ่งเธอจำได้แม่นยำว่าวันนั้นหิมะตกหนัก จนเพื่อนๆ มาเรียนไม่ได้ ในห้องเรียนมีเพียง “แมรี่” คนเดียว แมรี่เป็นคนที่เชยมาก คุณสุวรรณาไม่ชอบและไม่คิดที่จะคุยด้วยเพราะรู้สึกว่าคุยแล้วน่ารำคาญ พูดกันคนละเรื่อง วันนั้นแมรี่เป็นฝ่ายเดินมาหาเธอและถามเธอว่า “เชื่อพระเจ้าไหม?”
คุณสุวรรณาตอบกลับไปว่า “ไม่เชื่อ” “แล้วเชื่ออะไร” แมรี่ถามต่อ “เชื่อตัวเอง เชื่อในความดีของตัวเอง” คุณสุวรรณาตอบ
แมรี่หยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมา ชื่อภาษาอังกฤษว่า 4 laws ของแคมพัสครูเสดฟอร์ไครสท์ (Campus Crusade for Christ) ชื่อภาษาไทยว่า หลักสัจธรรม 4 สู่ชีวิตนิรันดร์ และบอกว่าจะขอแบ่งปันอะไรให้ฟังได้ไหม แล้วเธอก็อ่านข้อความในหนังสือให้ฟังว่า พระเจ้าคือใคร? พระเยซูมาทำไม? ตอนนั้นคุณสุวรรณากลับคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ติดเข้าไปในใจของเธอคือคำพูดที่ว่า “ชีวิตของคนเรามันซับซ้อนยิ่งกว่านาฬิกา” นาฬิกาเรือนเล็กๆ 1 เรือน มีส่วนประกอบกว่า 200 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเม็ดมะยม เข็มสั้นเข็มยาว เฟืองหมุน เป็นไปได้ไหมหากนำอุปกรณ์กว่า 200 ชิ้นมาเขย่ารวมกันแล้วมันจะลงล๊อคได้พอดิบพอดี เมื่อนาฬิกายังต้องมีคนสร้าง แล้วชีวิตคนเราซึ่งมีความซับซ้อนมหาศาล ข้อต่อเส้นประสาทนับล้านๆ เส้น มันจะบังเอิญเกิดขึ้นมาอย่างพอเหมาะพอดีได้อย่างไร ในใจของคุณสุวรรณาคิดว่าน่าจะมีคนสร้างเราขึ้นมาอย่างที่แมรี่บอก แต่ก็ยังไม่เชื่อ เพราะเรื่องราวของพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นของใหม่สำหรับเธอ ขณะเดียวกันเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่ามนุษย์มาจากลิง เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ว่าเย็นวันเดียวกันเพื่อนชายที่คุณสุวรรณาซึ่งกำลังคบอยู่ในเวลานั้นได้ไปพบจักษุแพทย์ซึ่งเป็นคริสเตียนและคุณหมอก็ได้เล่าเรื่องของพระเจ้าให้เขาฟังเช่นเดียวกัน เธอรู้สึกแปลกใจมากที่วันเดียวกันมีคนพูดเรื่องพระเจ้าให้เธอและเพื่อนชายฟังเหมือนกัน ทำให้เธอคิดถึงเพื่อนร่วมห้องที่เป็นคริสเตียนจึงตัดสินใจไปร่วมการประชุมที่คริสตจักร ซึ่งเธอชอบมาก เพราะได้พูดคุยกับพี่น้องคริสเตียนและทำให้อยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ในที่สุดก็ได้ต้อนรับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต คุณสุวรรณาบอกว่าเธอเองไม่รู้ว่าพระเยซูเข้ามาในชีวิตของเธออย่างไร แล้วเข้ามาจริงๆ หรือไม่ แต่เธอได้สัมผัสกับสันติสุขที่อยู่ภายในจิตใจของเธอ เมื่อคุณสุวรรณาเดินทางกลับมาประเทศไทยก็ได้ไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรนิมิตใหม่เป็นแห่งแรกและร่วมทำกิจกรรมกับทีมงานไทยแลนด์แคมพัสครูเสดฟอร์ไครสท์ ทำให้ได้เรียนรู้หลายอย่างและเติบโตขึ้น จนในที่สุดได้เข้าพิธีประกาศตนเป็นคริสเตียนที่ค่ายเมืองพัทยาปี 1985 เมื่อคุณสุวรรณาเดินทางกลับประเทศไทยเป็นช่วงที่ตัดสินใจเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ยังขาดความเข้าใจอยู่หลายเรื่องจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด การขัดขวาง การต่อต้านจากครอบครัวเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งคุณแม่ถึงกับเอาเสื้อผ้าของคุณสุวรรณาไปให้หมอผีปลุกเสก ปัดรังควาน สมัยนั้นคุณสุวรรณาจะพูดติดปากว่า “ขอบคุณพระเจ้า” ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหาร ประทานโน่นประทานนี่ให้ จนคุณพ่อคุณแม่รู้สึกเสียใจ ท่านมักจะถามว่า เสื้อผ้าที่ใส่พ่อแม่ก็ซื้อให้ รถที่ขับพ่อแม่ก็ซื้อให้ ค่าเล่าเรียนพ่อแม่ก็ออกให้ ตรงไหนพระเจ้า เธอก็ตอบท่านไม่ถูก บางที่ครอบครัวขอให้เธอไปร่วมงานเชงเม้ง เธอจะชอบพูดว่าเป็นคริสเตียนแล้วไปเชงเม้งไม่ได้ ไปวัดเธอก็บอกว่าไปไม่ได้ ไปโน้นไม่ได้ ไปนี่ไม่ได้ ไม่ได้ไปหมด โดยที่เธอเองไม่เข้าใจว่าแก่นของวัฒนธรรมนั้นคืออะไร ที่จริงแล้วเชงเม้งคือการระลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ผู้มีพระคุณของครอบครัว พอเธอบอกว่าทำไม่ได้ เธอไม่ไป ญาติพี่น้องก็มองว่าเธอเป็นคนอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ทั้งที่พระเจ้าสอนให้เราเคารพให้เกียรติพ่อแม่ และบรรพบุรุษของเรา คุณแม่คุณสุวรรณาเองถึงกับขอร้องเธอว่าห้ามประกาศหรือพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ ห้ามพูดให้คนอื่นฟังเพราะอายเขา เวลาผ่านไปคุณสุวรรณเรียนรู้มากขึ้น แม้คุณพ่อคุณแม่ของคุณสุวรรณายังไม่เปลี่ยนความคิด แต่แทนที่เธอจะตอบแบบเดิม เธอก็เปลี่ยนใหม่เช่น “นา” ขอบคุณพระเจ้าที่เกิดมาเป็นลูกป๋า ขอบคุณที่ป๋ารัก “นา” ส่งเสียให้ “นา” เรียนหนังสือ ซื้อรถให้ ซื้อบ้านให้ ซึ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีขึ้น เมื่อก่อนคุณสุวรรณาไม่ได้ถูกสอนมาแบบนี้เลยขาดความเข้าใจ เวลาตอบอะไรไปก็ทำให้ครอบครัวโกรธเหมือนไปยั่วยุท่าน สิ่งที่ท่านจัดหามาให้เราด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก เรากลับไม่ขอบคุณแต่ไปขอบคุณคนอื่นแทน จริงๆ แล้วท่านทั้งสองรักคุณสุวรรณามาก เป็นความรักที่มีความไว้วางใจกัน เชื่อใจกัน ถึงวันนี้ลูกจะมีความเชื่อต่างกันแต่ความรักผูกพันธ์ยังคงอยู่ พี่ๆ ทุกคนก็เข้าใจเธอเป็นอย่างดี มีพี่สาวคนหนึ่งที่เพิ่งตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าไม่นานมานี้ แม้ว่าปัจจุบันคุณแม่ได้จากไปแล้ว คุณสุวรรณาก็ยังรักท่านอยู่เสมอ ในวันครบรอบวันจากไปของท่านคุณสุวรรณาก็จะไปวัดพร้อมกับพี่น้องด้วย เบื้องหลังชีวิตครอบครัว คุณสุวรรณาแต่งงานกับคุณประเสริฐ อัคร-พงศ์พิศักดิ์ มีบุตรสาว 2 คน คือน้องมีนา อายุ 16 ปี และลีนา อายุ 12 ปี คุณสุวรรณาได้แบ่งปันถึงช่วงที่ได้พบกับคุณประเสริฐครั้งแรก เป็นช่วงที่เธอกลับมาเมืองไทยและเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คุณประเสริฐเป็นรุ่นพี่ เรียนจบปริญญาตรีมาจากสหรัฐอเมริกาเช่นกันและกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ คุณประเสริฐไม่ได้เป็นคริสเตียนไม่รู้จักเรื่องราวของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ แต่คุณประเสริฐเป็นคนที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่น่าสนใจ เป็นคนเก่ง ฉลาดและเป็นผู้นำ คุณสุวรรณาเองก็กำลังอธิษฐานในเรื่องคู่ครองอยู่ พี่เลี้ยงในคริสตจักรที่เป็นคนสอนและดูแลเรื่องความเชื่อของเธอแนะนำให้อธิษฐานแบบเฉพาะเจาะจงในเรื่องคู่ชีวิต โดยให้เขียนรายละเอียดเป็นข้อๆ ซึ่งเธอได้ทำตาม คุณสุวรรณาได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวของพระเจ้าให้คุณประเสริฐฟัง เขาเองก็สนใจ และไปศึกษาที่คริสตจักรหลายแห่ง แต่เนื่องจากขณะนั้นคุณสุวรรณายังเปรียบเสมือนคริสเตี
- คุณสุวรรณา อัครพงศ์พิศักดิ์