นี่แหละ… ชีวิตใหม่
“ดิฉันต้องสละธุรกิจ แม้ว่าทุกวันนี้ได้เห็นสิ่งที่เราทำมากับมือ ก็กลืนน้ำตา ต้องขอยอมรับว่านี่แหละคือชีวิต ที่ทุกๆคนไม่ได้เป็นไปตามปรารถนา และสิ่งที่ทำมาผลสุดท้ายก็ไม่ใช่ของเรา อาจจะแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็มีค่าสำหรับเราในการดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้ามากกว่า” ดิฉันชื่อกัญจนัฐ อังคณาสุรศรี เป็นลูกคนจีน เกิดในครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน คุณพ่อมาจากเมืองจีน มาเป็นพนักงานเก็บเงินให้กับโรงงานทำถุงพลาสติก คุณพ่อเป็นคนดีมาก เป็นพ่อบ้านที่ดี เวลาทำงานบางครั้งต้องไปต่างจังหวัด เดือนหนึ่งไปประมาณ 2 ครั้ง ฉะนั้นการดูแลลูกๆ จึงเป็นหน้าที่ของคุณแม่ ส่วนคุณพ่อจะสอนเกี่ยวกับการวางตัว การพูดจา ต้องมีสัมมาคารวะและความซื่อสัตย์
การที่มีลูก 6 คน พ่อทำงานแม่ทำงาน การเป็นลูกคนโตจึงเหนื่อยมาก จำได้ว่าเมื่อจบ ป.4 อายุ 12 ปี ออกมาก็ช่วยคุณแม่เย็บผ้าโหล พออายุ 15 ปี ไปเรียนพิเศษต่อภาคกลางคืนเพื่อที่จะให้เรามีความรู้เพิ่มเติมบ้าง นั่งรถเมล์ไปกลับทุกวัน เวลาเรียนลำบากมาก จบแค่ ป.4 แต่ต้องไปเรียนทักษะภาษาอังกฤษ
จุดเริ่มต้นชีวิตคู่
ดิฉันได้พบผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมาเรียนเหมือนกัน ความสนิทสนมของเรามีมากขึ้น มาส่งที่บ้านจนพ่อแม่รู้ว่าเราคบกัน แม้ว่าจะอายุ 15-16 ปี ก็มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ แต่เราก็ต้องทำอะไรอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอด และแต่งงานกันเมื่ออายุ 20 ปี เมื่อแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่จังหวัดกาญจนบุรี เพราะสามีทำงานที่นั่น ได้ทำงานทั้งสองคน เงินเดือนรวมกันได้ 5,000 บาท ทำทุกอย่างเลย แต่ก็เต็มใจทำเพราะเราไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้มากมาย แต่เราก็มีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีกิจการเป็นของตัวเอง ทำงานมาได้ 5 ปี โอกาสก็มาถึง เพราะว่ามีคนมาชักชวนเข้าหุ้นเพื่อเปิดโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ คนละ 100,000 บาท
จากลูกจ้างมาเป็นเจ้าของโรงงาน
กิจการช่วงแรกๆ ลำบากมาก ยากมาก จนเพื่อนที่ชวนเรามามีความรู้สึกว่าไม่อยากทำ ขอเลิกโดยมอบทุกอย่างให้ทั้งหมด แต่ต้องซื้อด้วยราคา 60,000 บาท ต่อมาอีกประมาณปีกว่าๆ ธุรกิจไปได้ด้วยดี ทำมาได้ 5 ปี ก็มาพบกับอุปสรรค ถูกคนปลอมเช็คปลอมลายเซ็นไปขึ้นเงินจำนวน 1ล้าน 1 แสนบาท เหลือไว้ให้แค่ 5,000 บาท มีการฟ้องร้องสู้ความกันหลายศาล ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ เราชนะ ศาลฎีกาเราแพ้ เรายอมรับเพราะเราไม่รู้จะเรียกร้องจากใครแล้ว วิกฤติเหตุการณ์ธุรกิจการค้าตรงนี้ทำให้เรามีมานะที่จะทำงานต่อไป เราสู้กันสองคนจนกิจการดีขึ้น จากคนงาน 7-8 คน จนห้าปีผ่านไปมีคนงานประมาณ 50 คน
ธุรกิจผ่านวิกฤติก็ทำต่อไปได้อีกห้าปี ก็พบกับมรสุมอีก จำได้ว่าเป็นวันที่เราจ่ายเงินเดือน คนงานหยุดไปเที่ยวกันหมด เวลาทุ่มครึ่งเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงาน เราได้แต่ยืนมองไฟที่กำลังลุกท่วม ยืนมองเหมือนกับว่าเราต้องไปตั้งหลักอีกครั้งว่าจะทำอย่างไร เราหมดนะ เราหมดตัวอีกนะ
ปัญหาทางใจ
สิบปีที่ผ่านมา เราทำธุรกิจด้วยความสัตย์ซื่อ เครดิตดี กิจการค่อยๆดีขึ้น ต่อสู้จนพ้นวิกฤติตรงนั้นไปได้ ขยายโรงงาน จนคนงานเป็นสามร้อยคน และเริ่มส่งออกไปต่างประเทศ พอกิจการดีขึ้นก็เริ่มมีปัญหาทางใจ มีเรื่องผู้หญิงขึ้นมา พอได้ยินแรกๆก็คิดว่าคงไม่จริง แต่นานวันเข้า มันไม่ใช่ เมื่อกลับเข้าบ้านก็มีปากเสียง ทะเลาะกันอยู่ตลอด จนบางครั้งก็งงว่าเราทำผิดอะไร สู้ทุกวิธีเพื่อให้สามีกลับมา เมื่อก่อนชื่อจุฑามาศ แต่มีคนบอกว่าไปเปลี่ยนชื่อสิ แล้วก็จะได้สามีกลับคืนมาและครอบครัวจะมีความสุข ลองดูก็ได้ เลยเปลี่ยนชื่อเป็น กัญจนัฐ เปลี่ยนชื่อแล้วก็ไม่ดีขึ้นเลย ติดโคมแดงตามประเพณีจีนไว้ที่บ้านก็ไม่ได้ผล จนบางคนบอกว่าให้ไปทำเสน่ห์ ในความเป็นจริงก็ยอมรับนะว่า ความรู้สึกคนเราเวลาที่มีความทุกข์แล้วไม่มีที่ไป ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ใครว่าอะไรดีก็ไปหมดเลยเพราะเราอยากให้ใจเรามีความสุข ความสบายใจและสิ่งดีๆกลับเข้ามาในชีวิตอีก เมื่อไปทำเสน่ห์ ดิฉันก็เข้าไปนั่งในวงสายสิญจน์ ผู้ทำพิธีเอาหุ่นขี้ผึ้งสองตัวหันหน้าเข้าหากันพันด้วยสายสิญจน์ เอารูปผู้หญิงที่สามีติดต่อด้วยมาตอกตะปู เวลากลับก็เอาทั้งสองอย่างนั้นกลับมาด้วย เมื่อตอนที่ขับรถกลับมา ดิฉันคิดว่าไม่อยากได้สิ่งนี้ ถ้าสามีกลับมาจริงด้วยวิธีแบบนี้ ไม่ต้องการ จึงได้ดึงตะปูแกะสายสิญจน์ออกแล้วโยนทิ้งน้ำไปเวลาดิฉันทำงานอยู่ในโรงงาน ไม่มีเพื่อนมีแต่ลูกน้อง ลูกค้า เอาเรื่องส่วนตัวพูดให้คนอื่นฟังไม่ได้ เพราะนั่นเป็นหน้าตาของสามี ต้องเก็บความทุกข์ไว้ ส่วนพ่อแม่พูดเป็นบางครั้งได้แต่พูดทุกเรื่องทุกครั้งไม่ได้ จนต้องไปพบจิตแพทย์ และต้องกินยากล่อมประสาท
โกรธ เกลียด แค้น อาฆาต
มีจดหมายสนเท่ห์มาต่อว่าดิฉันว่าเป็นผู้หญิงที่ทำแต่งาน รู้ไหมว่าสามีไปอยู่กับใคร เมื่อดิฉันสอบถามสามีก็หาว่าใส่ร้าย หาเรื่อง บางครั้งมีหลักฐาน เอาให้ดูก็ไม่ยอมรับ ยิ่งกลุ้มยิ่งหนักใจทำอะไรไม่ได้ จากความโกรธเป็นความแค้น ความเกลียด ความอาฆาต
ต่อมาดิฉันก็ไปเรียนยิงปืน เรียนไว้เพื่อป้องกันตัว สามีเป็นคนเก็บปืนแต่เรารู้ว่าอยู่ตรงไหนก็เลยเอามาเก็บไว้เองโดยที่สามีไม่รู้ เวลาไปเรียนก็เอาไปด้วย เรียนจนจบคอร์ส ได้รับวุฒิบัตร และมีชื่อติดอยู่ที่สนามยิงปืน ขณะที่เรียนไป ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต ความรู้สึกได้บอกในใจว่า ผู้ชายคนนี้ฉันต้องเอาให้ตาย
แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องจนได้ วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ดิฉันได้รู้ว่าสามีมีลูกกับภรรยาน้อย เด็กคนนี้โตพอสมควรแล้ว แต่เราไม่รู้เลย ความเจ็บปวดที่สามีทำกับเรา ผู้หญิงคนแล้วคนเล่า กับผู้หญิงคนนี้มีลูกด้วยกัน สิ่งที่เรามีความรู้สึกต่อกันตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหก ร่วมทำธุรกิจกันมาฝ่าฟันกันมา เมื่อถาม เขาตอบว่า “กูผิดแล้วมึงจะให้กูทำอย่างไร” ความรู้สึกเราโกรธมาก ขาดสติ ชักปืนยิงไปสามนัด ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นบุญของเขาหรือบุญของเรา สามนัดนี้ ที่หัวหนึ่ง หัวไหล่ข้างละหนึ่ง ไม่โดนเขาเลยแต่ไปโดนข้างหลังตู้เอกสารเป็นรัศมีเดียวกับที่เขานั่ง
อีกคนละนัดทุกอย่างก็จบ
เมื่อยิงเสร็จแล้วเห็นเขานั่งช็อค ดิฉันจำภาพนั้นได้ เราบังคับตัวเองไม่ได้ เปิดประตูออกไปเพื่อไปยิงภรรยาน้อยและลูกอีกคนละนัดแล้วทุกอย่างจะจบ ขับรถออกมาด้วยความขาดสติ คลุ้มคลั่ง และมีความรู้สึกที่แย่ที่สุด โดยปกติก็แค่โกรธและเสียใจ แต่ครั้งนี้ แค้น ความรู้สึกทั้งหมดออกมาบังคับตัวเองไม่ได้ ขับรถมาพร้อมกับปืน 2 นัด คลุ้มคลั่งตลอดเวลา
ขับรถมาติดไฟแดง เขย่าพวงมาลัยเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ชื่อก็เปลี่ยนแล้ว อะไรก็ทำแล้ว แต่ทำไมมีลูกกับผู้หญิงอื่น เขย่าพวงมาลัยด้วยความกดดันอยู่ในใจจนร้องอุทานออกมา… (ขอบอกก่อนว่าครอบครัวดิฉันเป็นคนจีน ไหว้เจ้าใส่บาตร บ้านไม่ได้อยู่ในละแวกของศาสนาคริสต์เลย ไม่มีญาติคนไหนเป็นคริสต์ ไม่มีเลย)
พักพิงในพระเจ้า
ดิฉันเขย่าพวงมาลัยแรงๆ แล้วร้องขึ้นบอกว่า “ฉันต้องการหาพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าเป็นใครฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่าพระเป็นเจ้าเป็นใคร แต่ฉันอยากหาพระเป็นเจ้า” ขับรถวนไปวนมาเหมือนบังคับตัวเองไม่ได้ และก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นขับวนไปวนมาจนมาเข้าวัดนี้ “วัดพระแม่มหาการุณย์” จอดรถ เห็นกางเขนแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร จำได้อย่างแม่นยำว่าเข้ามาในวัดในเดือนกันยายน ปี 1998 วันอาทิตย์ลงจากรถเดินเข้าไปในโบสถ์ เห็นคนหลายคนแต่ไม่รู้ว่ามาทำอะไรกัน เมื่อเดินเข้าไปก็มีเสียงหนึ่งแว่วบอกว่า “นี่แหละเป็นชีวิตใหม่ของเธอ” เมื่อเข้าไปแล้วก็ไปคุกเข่า แล้วเพลงที่ได้ยินคือเพลง “พักพิงในพระเจ้า” เมื่อฟังเพลงนี้ ใช่เลย เป็นความรู้สึกของเรา เราไม่มีที่พึ่งจริงๆ ไม่รู้จะไปไหนจริงๆ ร้องไห้อย่างไม่อายใคร เพราะเราไม่รู้จริงๆ เราไม่มีที่พึ่ง วันนั้นเป็นวันมิซซา วันขอบพระคุณพระเจ้า คุณพ่อเปโตรอูร์บานี กำลังประกอบพิธีอยู่ หลังจากเสร็จพิธีท่านก็ลงมาทักทายและถามว่ามีอะไรให้พ่อช่วยไหม ถ้ามีอะไรให้ช่วยพรุ่งนี้มาหาพ่อนะ
คุณพ่อเปโตรอูร์บานี เป็นชาวอิตาลี ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มาพบกับท่าน ดิฉันได้ระบายความในใจทั้งหมดออกไป คุณพ่อมีใจเมตตามาก ท่านบอกว่า “ที่นี่เป็นบ้านของพระเป็นเจ้านะ เป็นโบสถ์ คุณกัญจนัฐ สนใจเรียนคำสอนไหม” เรียนคำสอนคืออะไร ก็เรียนคำสอนเพื่อให้รู้จักกับพระเป็นเจ้า เรียนก็เรียน
เปลี่ยนเพราะเรียนคำสอน
ดิฉันเริ่มเรียนคำสอนตั้งแต่ปี 1998 เมื่อถึงเทศกาลปัสกา หรือวันอีสเตอร์ จะมีพิธีบัพติศมา คุณพ่อถามว่าปีนี้ใครพร้อมจะรับศีลล้างบาป ในห้องเรียนมี 12 คน ปรากฏว่ายกมือ 11 คน เหตุผลที่ดิฉันไม่ยกเพราะคำว่า อภัย “คุณพ่อคะ ลูกยังทำไม่ได้เลย ถ้าลูกยังให้อภัยไม่ได้ลูกจะไปล้างบาปได้อย่างไร เป็นการโกหกตัวเองโกหกพระเจ้า ลูกไม่กล้า” หลังจากนั้นก็เรียนคำสอนต่ออีก 2 ปี
เมื่อถึงวันรับศีลล้างบาป เป็นสิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งคือ สามีมาในพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ ทั้งลูกสาวและญาติพี่น้องรวม 11 คน มาดูว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงแน่วแน่ในศาสนาคริสต์
ความสุขที่แท้จริง
ลูกอภัยได้แล้ว เราอภัยได้แล้ว พระเป็นเจ้าได้ทดสอบว่าอภัยได้แล้วจริงๆไหม อีกไม่นานเด็กคนที่เกิดจากภรรยาน้อย แม่ของเขาอยู่กับสามีเราไม่ได้ก็ต้องแยกทางกันไป เด็กไม่มีคนดูแล ลูกสาวมาขอให้ดิฉันเลี้ยงดูเหมือนเป็นน้องของเขา เมื่อล้างบาปแล้ว อภัยได้แล้ว ดิฉันก็เลี้ยงเด็กคนนี้ด้วยความรักด้วยความเมตตาบางครั้งก็พามาที่วัดด้วย คุณพ่อเห็น ทุกๆ คนเห็นว่านี่คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลง พระเป็นเจ้าอยู่ในใจจริงๆ
ดิฉันกับสามีแยกกันอยู่ สามีพักอยู่ที่โรงงาน วันหนึ่งสามีมาที่บ้าน วันนั้นใจเราเต็มเปี่ยม ด้วยว่าผู้ชายคนนี้อาจจะมาบอกว่าขอเริ่มต้นในชีวิตครอบครัวใหม่ ดิฉันอยากฟังคำนี้ แต่คำที่ได้ยินเหมือนตายทั้งเป็น เหมือนเอาน้ำเย็นราด เขามา บอกว่า เขามีผู้หญิงคนใหม่อีกคนซึ่งเขาต้องรับผิดชอบนะ ดิฉันพูดไม่ออก ผู้ชายคนนี้ไม่ไหวแล้ว การรอคอยที่ผ่านมา ชีวิตเรามีค่ามากมายทำไมต้องทนอยู่ในสภาพนี้ ดิฉันมาปรึกษาบาทหลวงว่าจะขอหย่า บาทหลวงบอกว่าไม่ใช่สิ่งที่พระเป็นเจ้าต้องการ เราขอถึง 3 ครั้งพูดเหตุผลจนท่านบอกว่าได้แต่ต้องสัญญาว่าจะแต่งงานใหม่ไม่ได้ “ลูกสัญญา” เพราะดิฉันถือว่าเราพบพระแล้ว ชีวิตมี ความสุขจริงๆ อยู่ที่พระองค์ไม่ใช่อยู่ที่มนุษย์เลย “ลูกรู้ว่าพระองค์ไม่ต้องการให้ลูกแยกจากกัน แต่ลูกเป็นอย่างนี้ ทุกสิ่งพระองค์รู้ดี ลูกขอจบเรื่องนี้โดยเร็วโดยสันติเถิด แล้วสิ่งที่ลูกจะได้มาไม่ใช่ของลูก เป็นของพระองค์ที่มอบให้แก่ลูก ลูกได้สิ่งนั้นมาสิ่งที่คิดว่าสมควรที่ลูกได้เหนื่อยมากับผู้ชายคนนี้ เงินนี้ไม่ใช่ของลูก ลูกจะทำในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้ลูกทำ”
จากเจ้าของโรงงานเป็นผู้รับใช้
ตั้งแต่ดิฉันทำงานรับใช้พระเป็นเจ้า มีสิ่งแปลกอย่างนี้คือ คุณพ่อท่านหนึ่งทำงานในเรือนจำนครปฐม อยู่ในแดนนักโทษที่ฆ่าคนตาย คุณพ่อท่านนี้เข้าไปประกาศความรักของพระเจ้ากับนักโทษได้มาชวนดิฉันให้ไปช่วยงานท่าน ดิฉันได้แบ่งปันความรู้สึกของเรากับผู้ต้องขังว่า เวลาเราเกิดอารมณ์ขึ้นมา โมโหชั่ววูบทำให้เราคิดในสิ่งที่เราไม่เคยคิด ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะทำ แต่เมื่อทำไปแล้วสิ่งที่เราได้รับ เราได้บอกผู้ต้องขังว่า เราอย่าคิดนะว่าอยู่ในที่ที่เรียกว่าคุก เราต้องเรียกว่าอยู่ในที่ที่ให้เราพิจารณาตัวเองในสิ่งที่เราได้กระทำไปแล้ว ทำในสิ่งที่คิดว่าดีแล้วพัฒนาจิตใจขึ้น สักวันต้องมีความสว่าง แล้วก็ประกาศข่าวดีเรื่องความรักของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง ทำให้เขามีความสุขและไม่ตอกย้ำความผิด ให้รู้ว่าพระเจ้ายังรักพวกเขา ไม่เคยบอกว่าต้องตกนรก แต่ให้มีความรู้สึกว่าพระองค์รอคอยให้พวกเขากลับใจเป็นคนดี พระองค์รักทุกคน
งานรับใช้พระเป็นเจ้าที่วัดพระแม่มหาการุณย์ ดิฉันเคยรับใช้ในด้าน สภาภิบาล เหรัญญิก พี่เลี้ยงเยาวชน กลุ่มผู้สูงอายุ นักขับร้อง ปัจจุบันอยู่ในกลุ่ม PMG หรือกลุ่มผู้ประกาศข่าวดีประจำวัด (ถ้าเป็นนักบุญจะเรียกว่าคณะธรรมทูต) และเป็นพี่เลี้ยงคำสอน ให้กับคนต่างศาสนาที่มาเรียนคำสอน
ได้รับอะไรจากการเปลี่ยนแปลง
บางครั้งดิฉันผ่านไปเห็นโรงงานจะรู้สึกสะอึก น้ำตาตกใน ผู้หญิงคนอื่นซึ่งมาทีหลังได้ครอบครองแต่เราไม่มีแล้ว แต่สิ่งที่เราได้รับจากพระเป็นเจ้าจากการที่เราได้ให้อภัย การได้ให้คนอื่นเรามีความสุขในใจจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์เลี้ยงดูเราแล้วเราก็ทำในสิ่งที่เราจะสามารถรับใช้ได้ ดิฉันได้มาวัดทุกวันอาทิตย์และบอกกับคุณพ่ออยู่เสมอว่า ดีใจที่ได้ร่วมเป็นลูกของพระคริสต์ ได้มาอยู่ในบ้านของพระองค์ ทุกวันอาทิตย์ได้พบกับพี่น้องแม้ว่าไม่ได้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่เป็นพี่น้องซึ่งมีพระบิดาเดียวกัน ทำให้มีความอุ่นใจ มีความห่วงใยกัน ความรักใหม่ ครอบครัวใหม่เป็นความรักของพระเจ้า
ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสแบ่งปันคำพยานนี้ให้กับท่านทูตอาวุโส ครั้งนั้นดิฉันได้เตรียมเพลงไป 2 เพลงคือ “พักพิงในพระเจ้า” และ “รักและสันติ” ท่านทูต 25 ท่านฟังแล้วประทับใจ มีท่านหนึ่งได้ถามดิฉันว่า “จากที่เคยอยู่ในศาสนาเดิม คุณกัญ-จนัฐคิดว่าแตกต่างจากศาสนาคริสต์ตรงไหน และได้รับอะไรจากการเปลี่ยนศาสนา” คำตอบก็คือ “ศาสนาเดิมนั้นคนส่วนใหญ่ให้ความนับถือ มีสิ่งที่ให้เรายึดเหนี่ยว มีศีลให้เรายึดปฏิบัติ ผู้ที่รับยึดศีลนั้นได้ก็เป็นสิ่งดีงาม ความรู้สึกประทับใจคือคำว่า สะอาด สงบ สว่าง สะอาดในการประพฤติสิ่งที่ดีงาม สงบในจิตใจ สว่างในสิ่งที่ชี้แนะให้เราเดิน ส่วนศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ให้ชีวิตใหม่กับดิฉัน สอนให้รู้จักคำว่าอภัย อภัยให้ศัตรู เป็นสันติสุขในชีวิต ศาสนาคริสต์สอนให้รู้ว่าทุกอย่างบางครั้งไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวังจะได้รับ แต่เราสามารถยอมรับได้ไม่ว่าทุกข์หรือสุข มีกางเขนให้เราแต่ละคนต้องแบกเดินไปด้วยความเชื่อ ศรัทธา มีพระวจนะเป็นพระวาจาที่ทรงชีวิต”
พระวาจาในใจ
พระวาจาของพระเจ้าที่ติดอยู่ในใจเสมอก็คือ “เราต้องเป็นเหมือนดินดีเพื่อพระองค์จะได้ปลูกเมล็ดไว้ในใจเรา”
“มีคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช เมื่อเขาหว่าน เมล็ดก็ตกตามหนทาง จึงถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศก็มากินเสีย บ้างตกที่หิน เมื่องอกขึ้นแล้วก็เหี่ยวแห้งไปเพราะที่ไม่ชื้น บ้างตกที่กลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นมาปกคลุม บ้างตกที่ดินดี จึงงอกขึ้นเกิดผลร้อยเท่า” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงทรงร้องบอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” ลูกา 8:5
ถ้าเราเปิดใจแล้วลองให้พระองค์ปลูกดูซิ เมื่องอกออกมาเราก็จะอยากดูว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่เปิดใจผลก็ไม่เกิด อีกบทหนึ่งคือ “เหมือนกับเถาองุ่น” พระองค์ได้ปลูก และต้องดูแลเราคอยริดกิ่งก้าน ให้เราเลื้อยเถาของเราออกไปเหมือนกับเถาองุ่นที่ตายง่าย ด้วยความรู้สึกว่าเราขาดพระเป็นเจ้าไม่ได้ต้องให้พระองค์ดูแล
ข้อพระคัมภีร์ที่ช่วยให้ดิฉันกลับใจและให้อภัยก่อนเข้าพิธีศีลล้างบาปคือ ยอห์น 20:22 “ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลม เหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” (ฉบับคาทอลิก)
ถึงทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้ ในสิ่งที่ดิฉันได้เดินในชีวิต ในเส้นทางของพระองค์ซึ่งไม่มีใครแนะนำ มีพระเป็นเจ้าองค์เดียวที่รู้ว่าลูกแกะตัวนี้อยู่ที่ไหน จนอายุ 45 ปี พระองค์ตามเจอ ในสิ่งนี้เองที่ดิฉันได้สัมผัสกับพระองค์โดยคำภาวนา โดยพระคัมภีร์ อยากให้ทุกท่านได้สัมผัสพระคัมภีร์สัมผัสองค์พระผู้เป็นเจ้า มีพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่าง พระองค์ให้ความรักแม้คนเหล่านั้นข่มเหงและทำร้ายพระองค์ ให้ทุกท่านมองดูที่พระองค์และมีกำลังใจขึ้นมาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดูแลอยู่ใกล้เรา รอเราอยู่โดยพระวาจาในพระคัมภีร์ สิ่งที่เราได้สัมผัสนั้นเป็นพระวาจาทรงชีวิต เป็นความจริง ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระองค์โดยที่ไม่มีข้อสงสัยเลย เปิดใจให้เป็นดินดี เป็นดินที่พระองค์ได้ประทับอยู่ในดินในตัวเรา เราจะได้อุดมด้วยพระพรที่พระองค์ประทานให้เรา ไม่ว่าทุกข์ไม่ว่าสุขพระองค์จะดูแลเราเสมอ แล้วเราจะรู้ว่าพระองค์อยู่เคียงข้างเราเสมอเป็นกำลังใจให้ตลอดไป
สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบพระคุณ คุณกัญจนัฐ อังคณาสุรศรี ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์อันน่าประทับใจ และเตือนให้เราทุกคนนั้นมีความรัก และการอภัยของพระเจ้าเป็นแบบอย่างในชีวิต ให้เราทุกคนรับรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่มนุษย์ แต่เป็นพระเป็นเจ้าที่อยู่ในชีวิตของเราเสมอ
- คุณกัญจนัฐ อังคณาสุรศรี