บอย พีซเมกเกอร์

นักร้องรุ่นใหม่ ที่มีชื่อติดหูติดปากในยุคนี้ย่อมมีชื่อ “บอย พีซเมกเกอร์” อยู่ในสารบบกับเขาด้วยชื่อเสียง ความโด่งดัง เงินทอง นำมาทั้งสุขและทุกข์ให้แก่เขาเฉกเช่นที่บุคคลที่อยู่ในสถานะเดียวกันกับเขา ได้เผชิญ แต่ บอย พีซเมกเกอร์ หรือ อนุวัฒน์ สงวนศักดิ์ภักดี ได้พบกับผู้หนึ่งที่ทำให้เขาหลุดจากวังวนของชื่อเสียงความโด่งดัง และเงินทอง มาค้นพบความสุขความหวังแท้ของชีวิต

บอยเป็นคนกรุงเทพฯ เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์เขามีพี่สาว 2 คน ตัวเองเป็นคนสุดท้อง คุณพ่อป่วยตั้งแต่เขาเรียนอยู่ชั้น ป.5 และเสียชีวิตไปเมื่อ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2544 เขาเล่าให้ฟังว่า
“พอคุณพ่อป่วย คุณแม่ก็กลายเป็นกำลังหลักของครอบครัว พี่สาว 2 คน ซึ่งโตกว่าบอย 6 ปี เรียนจบ ปวช. ก็ออกมาทำงานตั้งแต่อายุ 17-18 ปี”
คุณพ่อคุณแม่ของบอยเป็นคริสเตียนตั้งแต่เขาเรียนอยู่ชั้น ป.5 ในขณะที่คุณพ่อป่วยหนักคุณแม่หนักใจมาก เพื่อนคุณแม่ที่โรงเรียนซือลิบจิงกวง ซึ่งขณะนั้นคุณแม่เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ด้วยได้ชวนท่านให้ไปคริสตจักรซึ่งก็ คือ คริสตจักรไมตรีจิต ที่วงเวียน 22 กรกฎาคม ต่อมาทั้งสองท่านก็กลับใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดท่านพา บอยและพี่สาวไปคริสตจักรด้วยแต่ลูกกลับรู้สึกอึดอัดเข้ากับคนอื่นๆ ที่คริสตจักรไม่ได้
“บอยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด ไม่มีเพื่อน ไม่มีกลุ่ม ในขณะที่คนอื่นๆ เป็นกลุ่มที่แน่นแฟ้น กันอยู่แล้ว พี่สาวทั้งสองก็รู้สึกไม่ต่างจากบอยนัก ก็เลยทำให้เราไม่อยากไปคริสตจักร ยิ่งพอเรียนมัธยม บอยก็เริ่มติดเพื่อน เลยตัดขาดจากคริสตจักรไปเลย ใช้ชีวิตกับเพื่อน เล่นกีฬาบ้าง เตะฟุตบอลไป” ในช่วงที่เรียนมัธยมนี้เองที่การเรียนของบอยตกต่ำลง จนจบ ม.3 คะแนนไม่พอให้เรียนต่อ ม.4 ได้ เขาตัดสินใจไปอยู่บ้านเพื่อน และอยู่นานถึง 6 ปี ยังดีที่คุณพ่อของเพื่อนสนับสนุนให้เขาเรียนหนังสือต่อ

จุดพลิกผันของชีวิต
“ตอนนั้นบอยใช้ชีวิตแบบคนไม่มีพระเจ้า แม้จะบอกคนอื่นๆ ว่าเราเป็นคริสเตียนนะ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าชีวิตคริสเตียนจริงๆ แล้วเป็นยังไง บอยเป็นคริสเตียนแค่ชื่อเท่านั้น บอยยอมรับว่าเคยเป็นคนทะเยอทะยาน อยากไปเรียนเมืองนอกเหมือนเพื่อนๆ พอคุณพ่อคุณแม่ไม่ให้ไป ก็ยิ่งต่อต้านที่บ้าน ก็อยู่บ้านเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจที่บ้านมาโดยตลอด ผมกลับบ้านแค่เดือนละครั้ง เพื่อไปเอาเงินจากทางบ้าน” และวันหนึ่งที่บอยตั้งใจจะกลับมาเอาเงินที่บ้านนี่เอง ที่ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันไป
“วันนั้นบอยกลับไปบ้านเพื่อจะเอาเงินตามปกติ ไปถึงบ้านก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าที่คริสตจักรไมตรีจิต ชื่อ ภัทร เกียรติศรีชาติ เขาอยากติดต่อหาบอย แต่ไม่รู้จะติดต่อยังไง เลยสุ่มโทรมาที่บ้าน ไม่น่าเชื่อนะ พอดีบอยกลับมาบ้าน และรับสายเอง บอยเคยบอกภัทรนานก่อนหน้านั้นแล้วว่า บอยอยากเป็นนักร้อง วันนั้นเขาถามบอยว่า สนใจอยากจะร้องเพลงมั้ย แล้วบอยก็ได้ร้องเพลง ‘คู่พระพร’ ในอัลบั้ม ‘ตลอดเวลา’ ซึ่งเป็นอัลบั้มเพลงคริสเตียน”

ค้นพบตัวเองและความฝัน
บอยเล่าให้ฟังต่อว่า “พอมานั่งคิด ทบทวนในภายหลังก็รู้ว่า นั่นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่นำบอยกลับมา ตอนนั้นบอยไม่ได้ไปเหยียบที่คริสตจักรเลยเป็นเวลา 6 ปีเต็ม หลังจากได้ร้องเพลง ก็กลับมาคริสตจักรบ่อยขึ้น และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เรามั่นใจว่า ต้องเป็นนักร้อง ต้องเอาดีทางนี้ให้ได้ หลังจากนั้นก็ดิ้นรนทุกวิถีทาง มีโครงการปั้นนักร้องที่ไหนก็ไป สุดท้ายก็ได้ร้องเพลงในผับ แต่ก็ทำให้บอยห่างจากคริสตจักรอีกครั้ง ในผับมีทุกอย่าง ทั้งผู้หญิง เหล้า บุหรี่ มันดึงดูด ตอนนั้นขนาดยังไม่ได้ออกเทป ก็ยังมีแฟนเพลงมาติด มานั่งรอทุกวัน ทำให้เรายิ่งเหลิงเข้าไปใหญ่จนได้ออกอัลบั้มแรกก็ดังมาก เทปขายดีมาก พอดัง เงินก็ได้มาง่าย บอยก็เอาเงินไปลงทุน ไปเล่นหุ้น ทั้งที่ไม่เคยรู้เรื่องหุ้นอะไรเลย บอยเอาเงินไปฝากคนหนึ่งให้ช่วยเล่นให้ เราไว้ใจเขา มารู้ตอนหลังว่าเขาไม่ได้เอาเงินเราไปเล่นหุ้นหรอก แต่เอาไปหมุน ไปใช้หนี้ของเขาเอง แล้วก็มาหลอกว่าหุ้นตกๆ เท่ากับอัลบั้มแรก บอยทำงานฟรี เงินที่ได้มาง่ายนั้น ก็หมดไปง่ายด้วย เงิน 2 ล้านหายไปหมด จนบอยมานั่งคิดว่า เอ๊ะ…นี่เราทำอะไรอยู่เนี่ย”
แต่ทุกครั้งที่ชีวิตบอยเริ่มเหินห่างจากพระเจ้า พระองค์ก็ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาดึงเขากลับไป
“หลังจากที่บอยไปจากคริสตจักรอีกครั้ง ภัทรก็ตามบอยอยู่เรื่อยๆ แต่บอยก็ยังไม่ได้กลับไปคริสตจักร จนออกเทปชุดที่ 2 ก็ขายดีอีก ดีกว่าชุดแรกเสียอีก งานเยอะมาก บอยเล่นคอนเสิร์ตถึง 200 คอนเสิร์ต จนภัทรกลับจากบราซิล เขามาเล่าให้ฟังว่า อยู่ที่บราซิล พระเจ้าให้นิมิตแก่เขาว่า ทำไมไม่ดูแลชีวิตคนที่เขารัก คือภัทรดึงบอยกลับมาคริสตจักร ทำให้บอยเชื่อเรื่องพระเจ้าแล้ว แต่เขากลับไม่ได้ดูแลชีวิตบอยให้เติบโต ตอนปลายๆ อัลบั้มชุดที่ 2 เขาก็โทรมาบอกว่าที่คริสตจักรจะมีงานประกาศ จะทำเป็นละครเพลง เขาอยากให้บอยร้องเพลงสลับกับละคร บอยก็รับปากเขาไป และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้บอยกลับมาที่คริสตจักรอีกครั้ง ซึ่งก็เพิ่งประมาณปีที่แล้วนี่เอง”

พบพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์
“บอยไม่ได้สำนึกว่าที่เรามีวันนี้ได้ มันมาจากไหน จนบอยได้ไปค่ายคริสตจักรเมื่อปีที่แล้ว ค่ายนั้นมีอาจารย์สมศักดิ์ ชูสงฆ์ มาเทศนา แต่บอยรู้สึกในวันแรกว่าอาจารย์เทศน์ยากเกินไป จนวันสุดท้าย อาจารย์เทศน์อีกครั้ง คราวนี้บอยฟังเทศน์แล้วน้ำตาไหลเลย มันไหลเอง แค่ได้ยินอาจารย์พูดว่า ‘เพราะว่าพระเจ้ามีอยู่จริงผมจึงยอมทิ้งทุกอย่าง โอกาสต่างๆ ในชีวิต และผมขอท้าทายคนอื่นๆ ด้วยว่าพระเจ้ามีอยู่จริง’ คำพูดของอาจารย์ทำให้บอยสัมผัสได้ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง บอยรู้สึกขนลุก ร้องไห้น้ำตาไหลพรากตอนที่อาจารย์บอกว่า ‘ถ้าเราไม่มีพระเจ้า เราก็คงไม่มีวันนี้หรอก’ ทำให้บอยย้อนมองถึงสิ่งที่ไม่เคยคิด ไม่เคยตระหนักมาก่อนเลยตลอดเวลา 26 ปีของชีวิต ว่าสิ่งต่างๆ ที่บอยมี บอยได้ แท้จริงแล้วมาจากไหน เคยคิดแต่ว่า เราเก่ง เราแน่แล้ว วันนั้นบอยคิดได้ว่าที่มีวันนี้ได้ก็เพราะพระเจ้าให้พระเจ้าเตรียมชีวิตบอย มาตลอด ตั้งแต่วันที่กลับบ้านแล้วรับโทรศัพท์จากภัทร ชวนให้ไปร้องเพลงในอัลบั้ม ตลอดเวลา หรือตอนไปร้องเพลงที่ผับ เพื่อนคนที่ชวนบอยไป ก็เจอกันในงานแต่งงานเพื่อนที่คริสตจักร อัลบั้มชุดที่ 2 ของบอย ทีมงานถึง 90% เป็นคริสเตียน มีพี่เหวิน เรืองกิจ เป็นโปรดิวเซอร์ให้ เดี๋ยวนี้บอยสำนึกได้แล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของบอยล้วนมาจากน้ำ พระทัยของพระเจ้าทั้งนั้น”

ชีวิตที่ตั้งใจจะรับใช้พระเจ้า
ในวันนี้ บอยพูดได้อย่างเต็มปากว่า “บอยขอบคุณพระเจ้าที่ชีวิตหนึ่ง เราเกิดมา แล้วมีคนหนึ่งที่รักเรา คอยดูแลเราตลอดมาตั้งแต่เด็กจนโต ในขณะที่เราไม่เคยต้อนรับเขาเลย แล้วทำไมเราจึงไม่ทำอะไรเพื่อเขาบ้าง และบอยก็ดีใจที่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของบอย เช่น การอธิษฐานก่อนกินข้าว จะเป็นสิ่งที่สะกิดใจเจี๊ยบ (พิจิตรา) ให้เขาสนใจเรื่องพระเจ้า จนกระทั่งเขาได้มารู้จักพระเจ้าจริงๆ ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ใช่รู้จักพระเจ้าแต่คำพูดอย่างที่บอยเคยเป็นมาก่อน”
ตอนนี้บอยตีค่าชีวิตตัวเองเป็นศูนย์ “พระเจ้าจะเป็นผู้มาเติมชีวิตของบอยให้เป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หรือเป็น ร้อย ก็แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์ บอยเชื่อว่า ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาตให้สิ่งใดเกิดขึ้น มันก็จะไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่มันเกิดขึ้นได้ ก็เพราะพระเจ้าอนุญาตให้มันเกิดขึ้น” บอยพูดถึงการรับใช้พระเจ้าว่า “บอยยินดีจะให้พระองค์ใช้ชีวิตของบอยให้เป็นพระพรแก่คนอื่นๆ บอยรับใช้พระเจ้าในด้านงานประกาศ งานคอนเสิร์ตคริสเตียนบอยถือว่าพระเจ้าให้เราร้อยหนึ่ง เราก็ต้องให้คืนพระองค์เต็มร้อยเหมือนกัน ในจุดที่บอยยืนอยู่เป็นโอกาสที่บอยจะประกาศเรื่องของพระเจ้าออกไป มันง่ายที่จะพูดแล้วมีคนรับฟัง แต่บอยก็เรียนรู้ด้วยว่า การเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นดาบสองคม บอยเชื่อว่าพระเจ้าเป็นคนเลือกบอย ทำให้บอยมีชื่อเสียง เพื่อที่จะใช้บอย ที่เหลืออยู่ที่บอยทำตัวเองให้เหมาะกับการรับใช้พระองค์มั้ย หลายๆ ครั้งที่มีข่าวไม่ดีออกมา บอยจะปรึกษากับเพื่อนคริสเตียน อธิษฐานด้วยกัน ไตร่ตรองว่าข่าวที่ออกมานั้น พระเจ้าต้องการบอกอะไรบอยหรือเปล่า บางทีกว่าที่ชีวิตของบอยจะให้พระเจ้าใช้ได้ คงต้องผ่านการพิสูจน์ก่อน บอยเรียนรู้ว่า ทุกอย่างที่บอยทำ ต้องพยายามระมัดระวัง เพื่อเป็นการถวายเกียรติพระเจ้า” ข้อพระคัมภีร์ที่หนุนใจ
บอยอยู่ตลอดเวลาคือ “เพราะว่าใครทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น? ท่านมีอะไรที่ไม่ได้รับมา? ถ้าท่านได้รับมา ทำไมจึงโอ้อวดเหมือนกับว่าท่านไม่ได้รับมา?” พระธรรม 1 โครินธ์ 4:7
ชีวิตของบอย พีซเมกเกอร์ ในวันนี้ ชื่อเสียง เงินทอง ความโด่งดัง ได้กลายเป็นองค์ประกอบที่เขาตระหนักว่า “พระเจ้าแสดงให้บอยเห็นว่า เด็กคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จัก ไม่เชื่อพระเจ้าด้วยซ้ำ แต่พระองค์สามารถทำให้เขามีชื่อเสียง เพื่อพระองค์จะใช้ชีวิตเขา บอยเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าให้มา พระองค์ไม่ได้ให้มาเปล่าๆ แต่พระองค์จะใช้อะไรเราแน่นอน”

บอย พีซเมกเกอร์