เปลี่ยนมุมมอง ปรับโฟกัสใหม่ ชีวิตจึงเปลี่ยนไปความคิด ก็เปลี่ยนใหม่ ทำให้มองเห็นคุณค่า และความหมายใหม่ของชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
อ.พิศประไพ สาระศาลิน รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต หนึ่งในคนไทยจำนวนไม่กี่คนที่เคยเป็นผู้ออกแบบบัตรอวยพรของ ฮอลมาร์คอันเลื่องชื่อของสหรัฐอเมริกา ด้วยใจรักงานศิลปะตั้งแต่เด็ก
หลังจากจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์แล้ว อาจารย์พิศประไพได้ไปเรียนช่างศิลป์ ์และมหาวิทยาลัยศิลปากรตามลำดับ เมื่อจบแล้วจึงไปต่อปริญญาโท ด้านออกแบบตกแต่งภายใน ที่มหาวิทยาลัยแคนซัส เมืองลอเรนซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็ได้เข้าทำงานที่บริษัท Hallmark Cards Corporation ในเมืองแคนซัสซิตี้ และทำงานที่นั่น 13 ปี อาจารย์พิศประไพเป็นผู้หญิงทำงาน เป็นผู้มีความทะเยอทะยานในชีวิตสูง จะทำอะไรจะต้องทำอย่างดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด ชนิดหาที่ติไม่ได ้ ในความคิดของอาจารย์แล้วทุกอย่างในชีวิตต้องเพรียบพร้อม งานต้องดี ครอบครัวต้องดี ด้วยเหตุผลนี้เอง อาจารย์พิศประไพจึงเป็นคนที่เครียดง่าย มีความกระวนกระวายสูง แม้ทุกอย่าง ในชีวิต ที่ ี่อาจารย์ได้รับอยู่ในขณะนั้นล้วนพรั่งพร้อมไปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ตนเองรักในบริษัทยักษ์ใหญ่ใน สหรัฐอเมริกา มีเงินเดือนสูง ทุกคนในบริษัทยอมรับในความสามารถ มีครอบครัวที่ดี มีสามีและลูกที่น่ารัก แต่อาจารย์กลับรู้สึกว่า ชีวิตตนเองยังขาดอะไรอยู่ ชีวิตดูไม่สมบูรณ์ ทำให้อาจารย์คิดว่าอะไรที่ทำให้ชีวิต สมบูรณ์แบบได้ “ในจังหวะนั้น ก็ได้รู้จักเพื่อนที่อเมริกาคนหนึ่ง เขาประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างมาก และกำลังจะได้รับตำแหน่งใหญ่โตทางการเมือง เราก็ชื่นชมว่าเขาสามารถทำสำเร็จ แต่ในทันทีที่เขาประกาศว่าเขากำลังจะ ได้รับตำแหน่งอันยิ่งใหญ่นี้ เขาก็เสียชีวิตลงในวันนั้น เขาช็อกตายที่สนามเทนนิส ทุกอย่างหมดความหมาย ไม่ว่าสิ่งที่เขากำลังจะมีจะเป็นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เวลานั้นทำให้เราต้องหยุดคิด คิดถึงสิ่งที่ตนเองกำลัง พยายามไขว่คว้า ความทะเยอทะยาน อยากจะเป็นคนเก่ง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานสูงสุด สิ่งนี้ให้อะไรกับเรา สามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้จริงหรือเปล่า และเรากำลังแสวงหาอะไร ทำไปเพื่ออะไร วันหนึ่งก็คงมาถึงจุดที่เราจะต้อง เสียชีวิตอย่างเขาเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้จะเป็นวันไหนเท่านั้นเอง และเราทำความดีอะไรไว้บ้างแล้วในเวลานี้ พร้อมหรือเปล่าเมื่อความตายมาถึง
จุดนี้เป็นจุดหักเหที่ทำให้เป้าหมาย ของชีวิตเปลี่ยนไป เริ่มคิดถึงชีวิตหลังความตาย ถามตัวเองว่าถ้าเราตายวันนี้ เราจะไปไหน ตั้งคำถามขึ้นมา มากมาย แล้วก็พยายามหาคำตอบด้วยการพูดคุยกับคนที่มีความเชื่อต่างๆ กัน เวลานั้น เรารู้สึกกลัวมาก กลัวว่าทำความดีไว้ไม่พอ และยังมองว่า การมีชีวิตอยู่เป็นความทุกข์ ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด มันไม่จบสิ้น หาทางออกไม่ได้ คิดมาก ถึงกับอยากตาย ทั้งๆ ที่ชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ตรงกันข้าม เรามีทุกอย่างพรั่งพร้อม แต่เกิดความ ไม่แน่ใจกับจุดโฟกัสเดิม ไม่แน่ใจว่างานที่ตัวเองอยากทำ อย่างนั้นอย่างนี้จะเป็น สิ่งที่นำไปสู่จุดหมายที่ต้องการ อย่างแท้จริงหรือไม่” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เพื่อนคริสเตียนคนหนึ่งของอาจารย์พิศประไพได้แนะนำให้อาจารย์อ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ โดยเฉพาะในพระธรรมยอห์นบทที่ 10 ข้อ 10 ใจความว่า “เรา(พระเจ้า)มาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” ซึ่งจุดประกาย ความหวัง ในใจของอาจารย์ว่า หากมีพระเจ้าจริงพระเจ้าก็อาจเป็น คำตอบ สำหรับทุกอย่างในชีวิต และนำชีวิตของอาจารย์ให้ถึงความครบ บริบูรณ์ได้ อาจารย์พิศประไพจึง เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนต่างๆ ที่มารู้จักพระเจ้า ศึกษาและสังเกตดูชีวิตคริสเตียนว่าเขาทำอะไรกัน เชื่ออะไรกัน “คืนวันหนึ่ง ได้ตัดสินใจหยิบพระคัมภีร์มาอ่าน ซึ่งตั้งแต่เพื่อนให้พระคัมภีร์มาก็ยังไม่เคยเปิดอ่านเลย ไม่กล้าอ่าน เหมือนกับความมืดที่กลัวความสว่าง อ่านไปก็กลัวไป กลัวว่าจะเชื่อตามเขา พออ่านพระคัมภีร์ ก็รู้สึกเลยว่า เสียใจมากกับความเป็นคนบาป จำได้ว่าร้องไห้เลย เสียใจที่เราไม่ได้รู้จักกับพระเจ้ามาตั้งนาน ความจริงเรามีพระเจ้า ที่ทรงดูแลเรา เอาใจใส่เรา ปรารถนาที่จะช่วยเรา แต่เราก็ปล่อยเวลามาตั้งนาน นานถึง 35 ปี (ปี 1985) เราถึงจะเปิดใจ และรู้จักความจริงในพระเจ้า… ตื่นเต้นมาก พบแล้วกับคำตอบชีวิตที่เข้ามาเติมเต็มให้ชีวิตสู่ความสมบูรณ์อย่างแท้จริง” “ตั้งแต่นั้นมา เมื่อเราให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งในชีวิต เราก็จัดลำดับทุกอย่างในชีวิตอย่างถูกต้อง เมื่อก่อนงานสำคัญที่สุดและครอบครัวเป็นรอง… เราไปโฟกัสให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นรอง โฟกัสในจุดที่ผิด หลังจากที่ปรับ โฟกัสชีวิตของเราแล้ว เริ่มมีความรู้สึกรักครอบครัว รู้ว่าเราจะต้องให้เวลา ให้ความรักกับครอบครัว เริ่มที่จะเข้าใจ ความรักอันไม่มีเงื่อนไขที่พระเจ้าสอน เราจะต้องยอมรับทุกคนอย่างที่เขาเป็นอยู่ สามีเป็นคนที่รักครอบครัว เขาจะให้เวลากับครอบครัว แต่เราจะทำแต่งาน ซึ่งมันไม่ถูกต้อง เพิ่งมารู้ตัวว่าสิ่งที่เราคิด เราทำ มันผิดจริงๆ ถ้าไม่มีพระเจ้าปรับให้ก็คงจะไม่มีวันเข้าใจเลย เงินทองและความสำเร็จที่ต้องการไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญอีกต่อไป พระเจ้าสอนหลาย อย่างในชีวิต”
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปี อาจารย์พิศประไพได้รับจดหมายจากคุณลุง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย รังสิต ขอให้กลับมาช่วยงานในมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจารย์ได้ตอบรับ และมีความสุขกับการเป็นครูที่นี่ ได้ถ่ายทอดสิ่งดี ๆให้กับลูกศิษย์ มีโอกาสที่จะสอดแทรก คุณธรรมจริยธรรมของคริสเตียนรวมถึงเป้าหมายสูงสุดและความสำเร็จ ที่แท้จริงของชีวิต เข้าไปในการเรียนการสอนเสมอ ๆ “สำหรับครอบครัว ลูกสาวตัดสินใจรับเชื่อตั้งแต่อายุ 5 ขวบ รับเชื่อพร้อมๆ กัน มาถึงเวลานี้ก็เชื่อพระเจ้า มาแล้ว 18 ปี ปัจจุบันลูกสาวอายุ 23 ปี กำลังเรียนสถาปัตย์ปีที่ 5 อยู่ที่อเมริกา ส่วนสามีไม่ได้เชื่อในตอนแรก แต่พอ เราป่วย เขาก็ตัดสินใจรับเชื่อ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเจ็บป่วย ของตัวเองที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น พระเจ้า สัญญา จะประทานสิ่งดีที่สุดให้กับชีวิตของเรา พระองค์ก็ประทาน ให้กับเราจริงๆ ส่วนตัวแล้ว เราอธิษฐานเผื่อ ครอบครัวมาตลอด และขอบคุณพระเจ้าที่ในที่สุด เราก็เชื่อพระเจ้า กันทั้งครอบครัว ด้วยความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระองค์ได้ดูแลและนำพาเราทุกอย่าง ความรักของ พระองค์ได้เข้ามา เติมเต็มชีวิตของเราให้ถึงซึ่งความบริบูรณ์ และไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราขาดจากความรักอันสมบูรณ์ของพระเจ้าได้” โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
ผศ. พิศประไพ สาระศาลิน