เรื่่องของ “น้องมาร์ค” หรือ ด.ช. กันต์ชนก นาคภิบาล บุตรนายมนตรี และ นางชัญนารี นาคภิบาล นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมปีที่ 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ น้องมาร์คได้เรียนวิชาอบรมคริสเตียนศึกษา และมีความสนใจวิชานี้มาก ชอบคุยเรื่องพระเยซูกับคุณแม่เป็นครั้งคราว บ่อยครั้งที่น้องมาร์คยืมหนังสือที่มีเรื่องราวจากพระคัมภีร์มาให้คุณแม่ดูจากห้องศาสนกิจของโรงเรียน และเคยบอกให้คุณแม่หาซื้อหนังสือนั้นมาให้ แต่คุณแม่ก็ไม่ทราบว่าจะไปซื้อได้ที่ไหน เมื่อน้องมาร์คมาอยู่ชั้นประถม 3 และมีหน่วยขายเคลื่อนที่ของสมาคมพระคริสตธรรมไทยมาที่โรงเรียน น้องมาร์คจึงได้ซื้อหนังสือการ์ตูนชุดพระวจนะแห่งปัญญา (ไทย-อังกฤษ) 2 เรื่อง และได้บอกคุณพ่อคุณแม่ว่า ได้นำเงินค่าขนมไปซื้อหนังสือมา 2 เล่ม และถามว่า “คุณแม่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติพระเยซูไหม” น้องมาร์คได้เล่าเรื่องในพระคัมภีร์ให้คุณแม่ฟังเป็นตอนๆ และได้เปิดภาพในหนังสือการ์ตูนให้คุณแม่ดูเพื่อให้เข้าใจเรื่องมากขึ้น นอกจากนั้น ได้นำสมุดปฏิบัติการที่ทำในชั่วโมงวิชาอบรมคริสเตียนศึกษาซึ่งสอนโดยคุณครูรุ่งนภา พนาโชติสกุล มาให้คุณแม่ดูและอธิบายให้ฟังบ่อยๆ ต่อมาไม่นาน น้องมาร์คได้ซื้อหนังสือชุดพระวจนะแห่งปัญญา 2 ภาษามาอีกจนครบชุด โดยซื้อครั้งเดียว 6 เล่ม ด้วยเงินค่าขนมของเขาที่มีอยู่ทั้งหมดในวันนั้น และนำมาให้คุณแม่ดูพร้อมทั้งเล่าเรื่องให้ฟังเป็นประจำ รวมทั้งอธิบายว่าพระเยซูรักมนุษย์อย่างไร สิ่งที่พระเยซูต้องการและไม่ต้องการให้มนุษย์กระทำ เล่าซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่คุณแม่จำได้ไม่มีวันลืมคือ เขาได้มอบของชิ้นแรกในชีวิตแก่คุณแม่ซึ่งเขาหาซื้อมาด้วยตนเอง สิ่งนั้นคือสร้อยคอทำจากเมล็ดพืชอบแห้งเคลือบแลคเกอร์ ร้อยเรียงกันเป็นสร้อยเส้นยาว ตรงกลางประดิษฐ์เป็นรูปกางเขน เขากำสร้อยมาใส่ในมือคุณแม่พูดว่า “คุณแม่ครับ มาร์คซื้อจากโรงเรียนมาฝากคุณแม่ มาร์คอยากให้คุณแม่ใส่” ในเวลานั้น คุณแม่ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก แต่ก็เก็บไว้อย่างดี เพราะเป็นของชิ้นแรกที่ลูกมอบให้
ต่อมา คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่า ก่อนนอน น้องมาร์คเริ่มอธิษฐานขอการยกโทษจากพระเจ้าเมื่อเขาทำผิดในแต่ละวัน ทั้งสองท่านได้เห็นและได้ยินแต่ก็ไม่เข้าใจในความคิดของลูก แต่น้องมาร์คพูดเสมอว่า “หากวันนี้ คุณพ่อคุณแม่คิดว่าได้ทำอะไรผิดบาปไป ก็สามารถอธิษฐานขอการยกโทษบาปจากพระเจ้าได้ทุกวัน และขอการคุ้มครองจากพระองค์ได้ตลอดเวลา เพราะพระเจ้ารักมนุษย์มาก” บางครั้งน้องมาร์คก็อธิษฐานนำและให้คุณพ่อคุณแม่พูดตาม ทั้งสองท่านก็ทำ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนักเพราะคิดว่าน้องมาร์คคงทำตามครูหรือเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเท่านั้น น้องมาร์คพูดถึงพระเจ้าบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์และเหตุการณ์ประจำวันที่เชื่อมโยงไปถึงคำสอนในพระคัมภีร์ด้วย คุณพ่อคุณแม่เริ่มสังเกตเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนิสัย การกระทำและคำพูด เวลาน้องมาร์คทำผิด เขาจะขอโทษและอธิษฐานขอการยกโทษจากพระเจ้าอยู่เสมอแม้ในเรื่องเล็กน้อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่แปลกใจมาก เพราะแต่ก่อนน้องมาร์คไม่ค่อยเชื่อฟังนัก นอกจากนั้น น้องมาร์คมักจะเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยไม่ให้คุณพ่อคุณแม่ขัดเคืองใจกันในเรื่องคำพูดที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน หากเขาได้ยิน เขาจะพิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นผู้เริ่มพูดยั่วยุหรือพูดจาไม่ดีก่อน เขาจะเดินมาใกล้ๆ แล้วพูดค่อยๆ ว่า “คุณพ่อครับ คำพูดคำนี้ไม่ดีเลยครับ พระเจ้าสอนเราไม่ให้ว่าร้ายคนอื่น เป็นความผิดบาปนะครับ พระเจ้าไม่ชอบ และคนที่ถูกว่าก็ไม่ชอบ คุณพ่อขอโทษคุณแม่นะครับ” เมื่อมีการขอโทษแล้ว เขาจะเดินมากอดอีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังโกรธอยู่ และพูดว่า “คุณแม่ครับ คุณพ่อไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดีกับคุณแม่ แต่คุณพ่ออาจเผลอไป คำพูดไร้สาระคำเดียว คุณแม่อย่าถือโกรธคุณพ่อเลยนะครับ ให้อภัยคุณพ่อเถอะ มาร์คไม่อยากให้โกรธกันเลยครับ” หากคุณแม่ยังนิ่งอยู่ เขาก็พูดต่อว่า “คุณแม่ครับ ให้อภัยไม่ได้หรือครับ พระเจ้ายังให้อภัยมนุษย์ทั้งโลกที่ทำผิดบาปมากมาย พระเจ้าสอนให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองและให้รักศัตรูด้วย แต่คุณพ่อเป็นสามีของคุณแม่นะครับ” จนคุณแม่ตอบเขาว่า “คุณแม่ให้อภัยคุณพ่อแล้ว” และต้องยิ้มให้เขาเห็นก่อน เขาจึงหยุดพูด จากความคิดและคำพูดของเขา ทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความละอายใจและประทับใจในคำพูดของลูกที่เตือนสติทั้งสองคน ทำให้การพูดจากันในครอบครัวเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ประมาณสามเดือนที่น้องมาร์คพูดเรื่องราวในพระคัมภีร์ทุกวัน คุณพ่อคุณแม่จึงรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้น และวันหนึ่ง น้องมาร์คพูดว่า “คุณแม่ครับ มาร์คอยากเป็นคริสเตียนครับ” คุณแม่จึงรู้สึกว่าน้องมาร์คคงจะต้องไปในทางของพระเจ้าและมีชีวิตเป็นคริสเตียนในภายหน้าแน่ ความคิดของคุณพ่อคุณแม่ขณะนั้นก็คือ รอให้เขาโตกว่านี้ หากเขายังประสงค์เช่นนั้น ก็แล้วแต่การตัดสินใจของเขาเอง
ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ มีการประชุมนมัสการสำหรับผู้ปกครองคริสเตียนทุกเช้าวันจันทร์ ในที่ประชุมมีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ร่วมกัน และมีอาจารย์อธิบายพระคัมภีร์ วันหนึ่ง คุณแม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมนี้ และได้รับฟังวิทยากรที่กลุ่มผู้ปกครองคริสเตียนเชิญมาพูด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณแม่ได้สัมผัสพระคำของพระเจ้าผ่านทางพระคัมภีร์ คุณแม่เริ่มเข้าร่วมประชุมทุกวันจันทร์ รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์ที่ลูกเคยเล่านั้น เป็นสิ่งที่ตนเองต้องการเหมือนที่ลูกต้องการ คุณแม่บอกว่า “ไม่เคยเห็นพระคัมภีร์เลย เมื่อได้อ่านแล้วชอบมาก เพราะพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อชีวิตมนุษย์ อย่างยิ่ง และไม่เคยได้อ่านหนังสืออะไรที่ประทับใจเช่นนี้มาก่อน” และอยากจะได้พระคัมภีร์เป็นของตนเอง ในเวลานั้น คุณแม่ได้รู้จักผู้ปกครองคริสเตียนท่านหนึ่งในกลุ่ม ชื่อคุณวราภรณ์ เซ็นย์วิบูลย์ ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมพระคริสตธรรมไทย ได้พามาซื้อพระคัมภีร์ที่ร้านของสมาคมฯ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน เมื่อได้อ่านพระคัมภีร์จึงทราบว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนมากอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด แต่มนุษย์ก็ต้องยำเกรงพระเจ้าด้วย และได้ยินเรื่องความรอด จึงอยากไปโบสถ์ทั้งครอบครัว คุณวราภรณ์ก็ได้นัดหมายไปที่คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์ และขณะที่มีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่นั้น คุณแม่รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณและความรักของพระคริสต์จนถึงกับน้ำตาไหลด้วยความปิติและรู้สึกรักพระองค์มาก หลังจากไปโบสถ์ 2 ครั้ง คุณแม่ได้ขอให้อาจารย์เพ็ญจันทร์ วัฒนมงคล ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ นำคุณแม่และน้องมาร์คอธิษฐานรับเชื่อเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2001 ในเดือนเดียวกันนั้น น้องมาร์คได้รับเกียรติบัตรจากโรงเรียน เป็น The Student of the Month ยกย่องเป็นนักเรียนที่มีความประพฤติดี ตั้งใจเรียน มีน้ำใจ และร่วมกิจกรรมโรงเรียนสม่ำเสมอ และในเวลาต่อมา ได้รับคัดเลือกเป็นนักร้องในคณะนักร้องประสานเสียง (Boys’ Choir) ของโรงเรียนซึ่งน้องมาร์คพูดว่า เป็นเพราะเขาได้รับพระพรจากพระเจ้า และเขาจะขอบคุณพระองค์เสมอในทุกเรื่อง สำหรับคุณแม่นั้น ไม่เคยคาดคิดเลยว่า เด็กที่ซนมากเช่นน้องมาร์คจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนได้รับการยกย่อง พระเจ้าเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงเขาได้
ส่วนคุณพ่อนั้น เนื่องจากเป็นนักกฎหมาย มีอาชีพเป็นทนายความ จึงไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะพิสูจน์ด้วยเหตุผล เมื่อคุณพ่อได้ฟังเรื่องของพระเจ้าร่วมกับลูกและภรรยาอยู่ระยะหนึ่ง คุณพ่อได้ลองอธิษฐานขอพระเจ้าให้คู่ความในคดีมีการยอมความบ้างและไม่ต่อสู้คดีอย่างที่เคยเป็นมา แล้วคุณพ่อก็พบว่า มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่ตนเองก่อนคือ มีความสุขุมใจเย็นขึ้น และไม่เกิดความรู้สึกที่อยากจะตอบโต้กับคู่ความฝ่ายตรงข้ามทันทีทันควันเช่นที่เคยปฏิบัติมา แต่จะฟังและจดข้อความเพื่อหาข้อมูลในการเจรจาให้คู่ความยอมความมากกว่าจะตอบโต้เป็นคำพูด และคุณพ่อก็พบด้วยความอัศจรรย์ว่ามีคู่ความยอมความถึง 3 คดีรวด หลังจากที่คุณพ่อได้เห็นชีวิตคริสเตียนของคุณแม่และลูก คุณพ่อได้รับเชื่อเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2001 ทั้งครอบครัวได้ไปโบสถ์อย่างสม่ำเสมอ คุณพ่อคุณแม่ได้เรียนพระคัมภีร์ ลูกได้เรียนรวีวารศึกษาที่โบสถ์ ทำให้ชีวิตได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงทั้งความคิด คำพูดและอารมณ์ คุณพ่อใจเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งครอบครัวมีความสุขมาก และในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2001 ทั้งครอบครัวก็ได้รับบัพติศมาพร้อมกันที่คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์ หลังจากนั้น คุณแม่ได้ซื้อพระคัมภีร์สำหรับเด็กตามคำขอของน้องมาร์ค จากร้านของสมาคมฯ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน เขาชอบมากและอ่านทุกวันหลังทำการบ้านเสร็จหรือก่อนนอน และอ่านซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่เบื่อ และยังได้ขอให้คุณแม่ซื้ออีกเล่มหนึ่งสำหรับเป็นของขวัญให้เพื่อนในวันคริสตมาส ซึ่งเพื่อนก็ดีใจและชอบมาก แม้แต่คุณป้าของเพื่อนก็ชอบหนังสือเล่มนี้เช่นกัน
หลังจากผ่านวันคริสตมาสไปประมาณ 2 สัปดาห์ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่บ้าน วันนั้นน้องมาร์คไม่ได้ไปโรงเรียนและอยู่บ้านกับคุณแม่ทั้งวัน คุณพ่อไปทำงาน สองแม่ลูกอยู่ชั้นล่างของบ้าน และเดินเข้าออกระหว่างห้องนั่งเล่น โต๊ะอาหาร และห้องครัว และน้องมาร์คชอบไปห้องครัวเพื่อหาของมาทาน จนถึงเวลา 16:00 น. คุณแม่กำลังเตรียมทำอาหารเย็นในห้องครัว แต่ต้องเดินออกมาอีกห้องหนึ่งเพื่อโทรศัพท์ พ้นหลังมาเพียง 2 – 3 นาที ก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องในห้องครัวราวกับบ้านจะถล่ม แม่ลูกตกใจมาก ได้แต่มองหน้ากันจับมือกันเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว และได้เห็นตู้ลอยที่ใช้เก็บภาชนะเครื่องแก้วที่ติดตั้งไว้กับผนังห้องครัวยาวประมาณ 3.75 เมตร ร่วงลงมากองอยู่ที่พื้นครัว เศษแก้วกระเด็นแตกกระจายแบบปูพรมทั่วห้อง ไม่เหลือของที่ใช้การได้เลย ขณะยืนดูนั้น น้องมาร์คก็พูดว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เราไม่ได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย คุณแม่ เรามาอธิษฐานขอบคุณพระเจ้ากันดีกว่า ขอบคุณพระองค์ที่ปกป้องคุ้มครองเรา เพราะเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” หลังจากอธิษฐานแล้ว คุณแม่ยืนมองสิ่งที่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาสองแม่ลูกในชั่วพริบตาเดียว น้องมาร์คเห็นคุณแม่นิ่งเงียบเช่นนั้น เขาพูดว่า “คุณแม่ไม่ต้องเสียดายของที่เสียหายไปนะครับ ทุกสิ่งที่เรามีอยู่นั้น มีค่ามากหรือน้อยก็ตาม เป็นของชั่วคราวเหมือนเราเช่าเขามา ของจริงของเราอยู่กับพระเจ้าบนแผ่นดินสวรรค์ เราได้รับความรอดแล้ว ก็จะได้ไปพบของจริงที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้บนแผ่นดินสวรรค์ครับ” คุณแม่ฟังแล้วน้ำตาซึม ซาบซึ้งและปลาบปลื้มกับคำหนุนใจของลูกอย่างยิ่ง คุณพ่อคุณแม่รู้สึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ประทานความรักซึ่งสำแดงผ่านเด็กๆ เช่นลูกของเรา ทำให้ลูกของเราที่รักพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เพียงแต่จะนำบิดามารดาของเขาไปถึงพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังได้จัดเตรียมเขาไว้ เพื่อทำหน้าที่ปลอบประโลมใจบิดามารดาของเขาในยามท้อใจอีกด้วย ขอบคุณที่พระองค์ทรงห่วงใย ปกป้องคุ้มครองเรา ประทานความรัก ความเมตตา และสันติสุขของพระองค์แก่ทั้งครอบครัว
สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบคุณคุณมนตรีและคุณชัญนารี นาคภิบาล ที่ได้อนุญาตให้ตีพิมพ์เรื่องราวของครอบครัว และยังได้ให้ความร่วมมือในการขัดเกลาการลำดับเรื่องราวด้วยตนเอง ทั้งสองท่านได้ให้เกียรติมาเป็นพยานในการประชุมพนักงานของสมาคมฯ ในวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2002 ตามคำเชิญของ ศจ. ดร. เสรี หล่อกัณภัย เลขาธิการสมาคมฯ ด้วยท่านเห็นว่าการที่น้องมาร์คได้มีโอกาสเรียนและอ่านเรื่องของพระเจ้าที่โรงเรียน และได้มีโอกาสซื้อหนังสือจากหน่วยขายเคลื่อนที่ของสมาคมฯ จนสามารถนำพ่อแม่มารู้จักและรับชีวิตใหม่ในพระเจ้าได้นั้น เป็นพระพรแก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะแก่พนักงานของสมาคมฯ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ทำงานอยู่กับกระดาษในการผลิตและจำหน่ายจ่ายแจกพระวจนะในรูปแบบต่างๆ การได้พบปะกับบุคคลที่ได้มาเชื่อพระเจ้าเพราะการอ่านพระวจนะนั้น จะเป็นพลังและเป็นกำลังใจในการทำงานอย่างมาก ขอให้ “ครอบครัวนาคภิบาล” ได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากการที่ได้ตัดสินใจเป็นครอบครัวในพระคริสต์พร้อมกัน
ด.ช.กันต์ชนก (น้องมาร์ก) นาคภิบาล