ผมได้รับเพราะผมกล้าให้พระองค์
สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอเชิญท่านพบกับเรื่องราวของ อดีตมาเฟีย “เม้ง จตุ-จักร” ผู้เคยเป็นหนี้ธนาคารกว่า 800 ล้านบาทปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริษัท เอ็ม เจ เจ มาร์เก็ต กรุ๊ป จำกัด ทั้งยังดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ และเป็นที่ปรึกษาให้แก่องค์กรมากมายทั้งด้านธุรกิจและการเมือง ท่านผู้นี้คือ ดร.ชาตรี โสภณบรรณารักษ์ ซึ่งจะมาเล่าถึงชีวิตเบื้องหลังความสำเร็จว่าผ่านความยากลำบากมาได้อย่างไร และอะไรเป็นคำตอบของความสุขในชีวิต
ผมเคยเป็นมาเฟีย
ผมเริ่มธุรกิจที่ตลาดนัดหลังจากจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นคนบุกเบิกต่อสู้มาตลอดตั้งแต่ตอนที่กรุงเทพมหานครย้ายตลาดนัดจากสนาม หลวงมายังพหลโยธิน จนปัจจุบันตลาดนัดจตุจักรนับเป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อเล่นของผมชื่อ เม้ง จึงเป็นที่มาของฉายา “เม้ง จตุจักร” ผมทำค้าขายพร้อมกับช่วยพัฒนาส่วนรวมอย่างแข็งขันจนประชาชนให้ความเชื่อถือ เพราะเห็นว่าผมเป็นคนดีที่พึ่งพาได้จึงให้เป็นนายกสมาคมผู้ประกอบการค้าตลาด นัดจตุจักร จนในปี 2011 สมัยที่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นยุคที่มีการปราบมาเฟีย รัฐบาลแบ่งมาเฟียออกเป็น 5
ประเภท ผมถูกจัดอยู่ในประเภทที่ 5 คือสามารถนำคนไปทั้งในทางดีและทางร้ายได้ เพราะในอดีตผมเคยเรียกคนไปรวมตัวกันเพื่อประท้วงรัฐบาลหรือไปเรียกร้องความ ชอบธรรมได้เป็นหลักหมื่นๆ คน ผมจึงถูกจำกัดไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ผมจึงหนีจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ที่พัทยา
ใครก็ได้ช่วยผมที
เมื่อไปอยู่ที่พัทยา ผมได้ร่วมกับเพื่อนทำธุรกิจที่ผมถนัด คือ ศูนย์การค้าที่พัทยากลาง ชื่อ “เดอะมาร์เก็ตพัทยา” (The Market Pattaya) ซึ่งในปี 2002 ได้ลงทุนไปในวงเงินมูลค่า 800 ล้านบาท ผมดูแลมาจนกระทั่งปี 2003 ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ผมจึงไปพึ่งหมอดู เขาบอกให้ตั้งศาลพระพรหม ผมก็สร้างศาลพระพรหมไปหลายแสนบาทแต่ก็ไม่เกิดผลอะไร ต่อมามีหมอดูอีกคนหนึ่งบอกว่าต้องตั้งศาลพ่อปู่เนื่องจากที่ดินนี้อยู่ตรง ข้ามกับทะเล และต้องสร้างศาลตะเคียนด้วยเพราะตรงกลางที่ดินมีต้นตะเคียนเก่าแก่ ผมก็ทำตามคำแนะนำแต่ธุรกิจก็ยังแย่เหมือนเดิม จากนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งบอกว่ายังขาดศาลพระภูมิและนางกวัก ก็ตั้งศาลทั้งกราบไหว้ด้วยพวงมาลัยทุกวันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมไม่รู้จะยึดถืออะไรแล้วจึงไปดูหมอยิปซี เขาบอกว่าต้องไปทำบุญ 9 วัด ตอนนั้นผมมีเงินในกระเป๋าเหลือแค่หมื่นกว่าบาท ก็ขับรถตระเวนไปทำบุญจนเงินเกือบหมด แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
ความช่วยเหลือจากคนของพระเจ้า
ในช่วงปลายปี 2003 นั้น ภรรยาและลูกๆ ที่อยู่กรุงเทพฯ ได้แวะมาเยี่ยมผม และพาศิษยาภิบาล (อาจารย์สอนคริสตจริยธรรมผู้ดูแลคริสตจักร) ซึ่งเป็นชาวไนจีเรียพร้อมกับผู้รับใช้พระเจ้าอีกประมาณ 5 คนมาด้วย ผมก็ต้อนรับอย่างดีโดยจัดหาที่พักและจัดการเรื่องอาหารให้เพราะเป็นแขกของ ภรรยา ในเวลากลางวันนั้นผมเดินไปที่ห้องพักของพวกเขาเพื่อจะชวนไปทานอาหาร ผมเห็นว่าพวกเขาร้องเพลงกันอยู่ในห้องจึงนั่งรอภรรยากับลูกอยู่หน้าห้อง เพลงที่พวกเขาร้องเป็นเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผมได้ยินพวกเขาพูดถึงพระเจ้า สันติสุข และความรอดในบทเพลงซึ่งในเวลานั้นผมยังไม่เข้าใจความหมาย รู้เพียงว่าขณะที่ฟังเพลงที่พวกเขาร้อง ผมรู้สึกสบายใจคลายกังวลอย่างอัศจรรย์ แล้วผมก็ได้ยินพวกเขาอธิษฐานให้ผม ทั้งเรื่องธุรกิจ ครอบครัว และอธิษฐานเผื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ผมแปลกใจว่าทำไมพวกเขาไม่อธิษฐานให้ตัวของเขาเอง จนกระทั่งพวกเขาทำทุกอย่างเสร็จ ผมก็ชวนพวกเขาไปทานอาหาร แต่พวกเขารวมทั้งภรรยาผมกลับปฏิเสธเพราะกำลังถืออดอาหาร ผมแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อศิษยาภิบาลชาวไนจีเรียบอกว่าเขาจะถืออดอาหาร 3 วัน เพื่ออธิษฐานให้ผมเขาถามว่าผมเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าช่วยผมได้ทุกเรื่อง แต่เครื่องรางของขลังที่ผมห้อยอยู่นี้ช่วยอะไรผมไม่ได้ เขาถามว่าผมกล้าไหมที่จะทิ้งเครื่องรางของขลังทั้งหมดผมก็บอกว่าผมกล้าทิ้ง ถ้าพระเจ้าจะให้มีสันติสุขในครอบครัวและทำให้ชีวิตผมดีขึ้น แล้วเขาก็เอาเครื่องรางของขลังและรูปเคารพที่ผมมีทิ้งขยะไปตอนแรกผมใจหายและ เสียดายเพราะว่าแต่ละอันราคาแพงมากแต่ผมก็ทิ้งไปทั้งหมด ในวันนั้นเองผมก็ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของผม (ตอนนั้นผมเชื่อพระเจ้าแบบ 50-50 เพราะเป็นคนที่เชื่ออะไรค่อนข้างยาก แต่ก็เชื่อเพื่อให้ภรรยาสบายใจ) จากนั้นศิษยาภิบาลก็บอกให้ผมอธิษฐานขอกับพระเจ้า 3 ข้อ เขาบอกว่าเมื่อผมกล้าให้พระเจ้า พระเจ้าก็สามารถให้ผมได้เวลานั้นผมก็ขอไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากข้อแรกผมขอให้ ประชาชาติพบสันติสุขเพราะผมชอบช่วยเหลือสังคม ข้อสองผมขอให้ธุรกิจการค้า การงาน การเงิน การเมือง สังคม การศึกษาของผมกลับคืนมาสู่สภาพดีและดีกว่าเดิม ข้อสุดท้าย ผมบอกพระเจ้าว่าขอให้ครอบครัวมีสันติสุขเพราะช่วงนั้นครอบครัวอยู่ไกลกัน ก่อนที่คณะอาจารย์ชาวไนจีเรียจะกลับ พวกเขาก็ไปที่ เดอะมาร์เก็ตพัทยา ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ และได้อธิษฐานเผื่อสถานที่นั้นโดยขอให้พระเจ้าสถิตอยู่และขับไล่วิญญาณชั่ว ทั้งหลายด้วย
พระเจ้า พระผู้ช่วยที่แท้จริง
เวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือน ผมก็เริ่มมีอาการมือสั่นและนอนไม่หลับ ผมสงสัยว่าเป็นเพราะความเครียด ไปโรงพยาบาลหลายแห่งคุณหมอต่างก็ลงความเห็นว่าผมเครียด แต่ทานยาไปหลายชุดก็ยังไม่หาย ภรรยาผมจึงโทรไปเชิญให้ศิษยาภิบาลชาวไนจีเรียคนนั้นมาอธิษฐานให้ จากนั้นอาการผมก็เริ่มดีขึ้น ผมจึงไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรเจ้าสาวพระคริสต์ตามคำชวนของศิษยาภิบาล ในวันที่ผมไปนมัสการพระเจ้านั้น ผมรู้สึกว่ามีความสุขมาก รู้สึกได้รับการปลดปล่อยเมื่อกลับมาที่บ้านก็จับมือภรรยาและลูกๆ อธิษฐาน พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของผมโดยให้ครอบครัวกลับมาอยู่ร่วมกันและมีความเป็น หนึ่งเดียวกัน
จากนั้นธุรกิจ “เดอะมาร์เก็ตพัทยา” ก็กลับดีขึ้นมา ผมขายพื้นที่ได้หมดในปี 2004 ตั้งแต่นั้นผมก็ไปนมัสการพระเจ้าเป็นประจำ แล้วการอัศจรรย์ของพระเจ้าก็เกิดขึ้น ผมมีโอกาสได้ต้อนรับพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ที่ตลาดนัดจตุจักร เขาบอกว่าผมคือมาเฟียแห่งความดี และเหตุการณ์ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จประพาสตลาดนัดจตุจักร ผมได้ถวายงานพาเสด็จประพาสเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ผมซาบซึ้งใจมากที่พระองค์ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้ผมถวายงานอย่างใกล้ชิด ผมเชื่อว่าพระเจ้าจัดเตรียมสิ่งดีนี้ให้แก่ผมพระองค์ก็ได้เปลี่ยนภาพผมใหม่ จากมาเฟียได้กลายเป็นมาเฟียแห่งความดี ที่ได้มีโอกาสรับใช้เชื้อพระวงศ์และผู้นำประเทศ
เมื่อกล้าให้พระเจ้า พระเจ้าก็จะให้คุณ
หลังจากที่ขายโครงการ “เดอะมาร์เก็ตพัทยา” และหมดหนี้แล้ว ผมก็มาร่วมทุนและบริหารที่ศูนย์การค้าไอที สแควร์ (หลักสี่พลาซ่า) ในปี 2005 ผมได้เป็นประธานจัดงาน “ศึกยอดมวยโลก PABA” ขึ้นที่นั่น ซึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมมาร่วมงานมากมาย โดยมีท่านกว้าง รอบคอบ อดีตอธิบดีกรมสามัญศึกษาเป็นประธานอำนวยการ เวลานั้นผมเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกและไม่ค่อยมีคนทราบมากนัก แต่ท่านกว้างทราบและให้เกียรติผมโดยเรียกชื่อผมเต็มยศในงานว่า ดร.ชาตรี โสภณบรรณารักษ์ ชื่อเสียงของผมเลยโด่งดังขึ้น จากนั้นชีวิตของผมก็เริ่มเปลี่ยนจากผู้บริหารธรรมดามาเป็นผู้บริหารระดับ ชาติหนังสือพิมพ์ต่างๆ ก็ให้ชื่อผมว่าเป็นผู้สร้างตำนาน เป็นปรมาจารย์แห่งการตลาด เพราะเป็นผู้ที่จบปริญญาเอกด้านการบริหารการตลาด (Marketing Management) ผมได้เป็นที่ปรึกษาให้บริษัทต่างๆ และเริ่มได้รับรางวัลด้านบริหารการตลาดและรางวัลอื่นๆ ระดับชาติมากมาย
ผมมานั่งวิเคราะห์ชีวิตของผมดูตั้งแต่สมัยเมื่อเป็น “เม้ง จตุจักร” หากปราศจากพระเจ้าผมก็คงไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ พระองค์ได้เปลี่ยนชีวิตของผมให้ดีขึ้นอย่างอัศจรรย์เหมือนได้จัดเตรียมทาง ไว้ให้ผมแล้ว เกียรติและความสำเร็จทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผมทำแต่เป็นพระเจ้าทำในชีวิตของผม ผมรู้ว่าผมทำไม่ได้แต่ผมไม่กลัวเพราะผมวางใจในความรักของพระองค์ ทุกวันนี้ผมและครอบครัวอยู่ด้วยความเชื่อ การอธิษฐาน และการนมัสการพระเจ้า โดยยึดหลักพระบัญญัติ 2 ข้อใหญ่ที่พระองค์ตรัสไว้ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 22 ข้อ 37-39 ที่ว่า พระเยซูทรงตอบเขาว่า “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสิ้น
สุดจิตของท่าน และด้วยสิ้นสุดความคิดของท่านนั้นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” เพราะถ้าเราทำได้ทั้งสองข้อนี้เราจะมีสันติสุข
พระพรของพระเจ้ายังเทลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ผมยังได้รับเชิญให้มาเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษและต่างประเทศ และรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการที่มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาล ผมกลายเป็นนักวิชาการ ทำงานวิจัยเขียนตำรา จนได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์พระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานในสิ่งที่ผมเคยขอ 3 ข้อนั้น พระองค์ทรงให้ครอบครัวผมมีสันติสุขก่อนเป็นสิ่งแรก พอครอบครัวดี ธุรกิจการงานก็ดีขึ้นเพื่อส่งต่อยอดให้ผมเป็นพรต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นการนำสันติสุขไปสู่ประชาชาติ เพราะผมได้เป็นอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ที่เรียนมาให้กับผู้อื่น ผมได้รับตำแหน่งสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการโครงการสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาอบรมธุรกิจการ ค้าและการบริหารจัดการ กระทรวงพาณิชย์ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการจัดการเพื่อการพัฒนาของมหาวิทยาลัยทักษิณ (มศว.ภาคใต้)ที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง และรางวัลเกียรติยศระดับชาติมากมาย ก็เพื่อจะได้ช่วยเหลือสังคมและพี่น้องคนไทยให้มีธุรกิจมีการงานที่ดีทั้งหมด นี้คือสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ผมในเวลาเพียง 3 ปี เป็นสิ่งที่อัศจรรย์เพราะผมทำเองไม่ได้ ทุกอย่างในชีวิตของผมเป็นของพระองค์ ขอให้เราเชื่อว่าพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่ว่าผมได้พระพรแล้วผมถึงพูดได้ ผมเคยไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียวและต้องหนีธนาคาร แต่วันนี้ไม่มีหนี้สินแล้วขอบคุณพระเจ้า
ก้าวสู่การรับใช้
พระเจ้าได้กระทำกิจมากมายในชีวิตของผมพระองค์ทรงอวยพรผมทางด้าน ธุรกิจ การเมือง สังคม การศึกษา แต่พรที่ผมได้รับมากที่สุดคือการได้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เพราะหลังจากที่ผมและครอบครัวได้กลับมาอยู่ร่วมกันแล้ว ผมอธิษฐานขอพระเจ้าว่าอยากได้บ้านหลังใหม่ ในที่สุดพระเจ้าก็อวยพรให้ผมมีบ้านหลังใหม่ได้และสร้างคริสตจักรนมัสการพระ เจ้า ชื่อ “คริสตจักรแห่งพระพรของพระเจ้า” ผมจึงเป็นทั้งนักธุรกิจศิษยาภิบาลและผู้ปกครองคริสตจักร
ที่คริสตจักรแห่งพระพรของพระเจ้านี้ เราจะนมัสการอย่างสุดใจ เพราะในพระธรรมยอห์น บทที่ 4 ข้อ 23-24 กล่าวไว้ว่า “แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์” ดังนั้นเวลานมัสการพระเจ้า เราจะจดจ่อไปที่พระเยซู ทิ้งความทุกข์ความกังวลทุกอย่างไว้ที่นอกคริสตจักร เราจะเข้ามาคริสตจักรด้วยความรัก รักพระเจ้าและจดจ่อไปที่พระเจ้า ไม่กลัวเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปคิดเพราะว่าฝากไว้กับพระเจ้า เราจะไม่กังวลและจะขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้ กับเรา
ผมจะสอนหลักแห่งความเชื่อในฤทธิ์เดชของพระเจ้าตามพระคำของพระองค์ เช่น “ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อก็จะได้” จากพระธรรมมัทธิวบทที่ 21 ข้อ 22 และคำสอนของพระเยซูในพระธรรมลูกาบทที่ 1 ข้อ 37 ที่ว่า “เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้” เพราะตลอดมาผมก็เดินด้วยความเชื่อ ผมบอกได้เลยว่าวันนี้ถ้าผมไม่มีพระเจ้าผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย ในพระธรรม 1 ยอห์น บทที่ 5 ข้อ 4 กล่าวไว้ว่า “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าก็มีชัยเหนือโลกและความเชื่อของเรานี่แหละเป็น ชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก” ดังนั้น เราจะขาดความเชื่อไม่ได้เลยและเมื่อมีปัญหาเข้ามาในชีวิตเราก็ไม่ควรกลัว หรือกังวลเพราะพระเจ้าบอกเราเสมอว่าอย่ากลัว เช่น พระธรรมโยชูวา บทที่ 1 ข้อ 9 กล่าวว่า “เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิดอย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า” ผู้เชื่อหลายคนในคริสตจักรของผมก็สามารถตั้งตัวได้ด้วยความเชื่อ พวกเขาเคยลำบากมากๆ แต่เขาก็สามารถมีพลังใหม่ขึ้นมา เช่น เปิดร้านขายลอดช่องในตลาดจนตั้งตัวได้ บางคนเปิดร้านส้มตำด้วยเงินเพียง 12 บาทเท่านั้น ผมจะสอนให้พวกเขาขอจากพระเจ้าแล้วพระองค์จะอวยพรผ่านการทำงานของพวกเขาผมบอก เขาว่าไม่ให้ขอจากมนุษย์ ถ้าคุณเชื่อพระเจ้าก็จงอธิษฐานด้วยหัวใจที่รักพระองค์ แล้วพระองค์จะตอบคุณ
ปัจจุบันนี้คริสตจักรแห่งพระพรของพระเจ้าได้ย้ายมายังที่แห่งใหม่ที่ถนนราม อินทรา 67 มีพื้นที่กว้างขวางขึ้น และยังเปิดคริสตจักรแห่งพระพรของพระเจ้านานาชาติสำหรับชาวต่างชาติอยู่ที่ ถนนรามคำแหง 142 อีกด้วย
มุมมองในการบริหารธุรกิจ
ในการบริหารธุรกิจผมยึดพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง คือการให้ความยุติธรรมและความรักต่อลูกน้อง ซึ่งเป็นความดีของพระเยซูคริสต์ที่ผมได้รู้จัก แต่ก่อนผมเป็นคนฉุนเฉียวง่าย อารมณ์ร้อน อารมณ์มาเฟีย ถือศักดิ์ศรีเป็นเรื่องใหญ่ แต่หลังจากที่ได้รู้จักกับพระเจ้าแล้ว คำว่าศักดิ์ศรีก็ไม่ได้อยู่ในชีวิตของผมอีกต่อไป เพราะว่าพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้นในการบริหารงานผมจะให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน และใช้หลักพระวจนะของพระเจ้าเรื่อง “อวัยวะ” มาบริหาร คือทุกคนในบริษัทเปรียบเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ต่างๆ กันแต่อยู่ในร่างกายเดียวกันโดยมีศีรษะคือพระเยซูคริสต์ เช่น คนหนึ่งทำฝ่ายบัญชี ก็เปรียบเสมือนมือขวา คนหนึ่งเป็น เลขาฯ ก็เปรียบเหมือนมือซ้าย เป็นต้น พระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 12 ข้อที่ 12 บอกว่า “เพราะว่า เหมือนกับร่างกายเดียวที่มีหลายๆ อวัยวะ และอวัยวะทั้งหมดของร่างกายนั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นร่างกายเดียว พระคริสต์ก็ทรงเป็นเช่นนั้น” หมายความว่าธุรกิจของผมจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ เมื่อลูกน้องผมเจ็บผมก็เจ็บด้วย เปรียบเหมือนอวัยวะของผมเริ่มเป็นแผล ก็ต้องรีบรักษาให้เขาหาย คอยถามไถ่ทุกข์สุขและให้คำปรึกษาเพื่อให้ลูกน้องสบายใจและทำงานด้วยความสุข ทุกคนปรึกษาผมได้หมดเพราะผมไม่ได้มองเขาเป็นเพียงแค่ลูกน้อง แต่ผมมองว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า เมื่อผมนำหลักพระวจนะมาใช้ในการบริหารจัดการ งานของผมก็จะดำเนินไปได้ดี
แม้ผมจะเป็นประธานบริษัทที่ต้องรับผิดชอบดูแลงานและลูกน้องมากมายแต่ผมก็ไม่ เหนื่อยเพราะผมจะฟังเพลงสรรเสริญพระเจ้าและอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ การที่เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็คือการนมัสการถวายเกียรติแด่พระเจ้าสิ่ง ดีๆ อะไรก็ตามที่เราทำก็เป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์ทั้งนั้นและพระองค์ก็จะอวย พรเรา ถ้าเรายึดมั่นตรงนี้ได้ก็จะมีสันติสุข ในระยะสามปีที่ผ่านมานี้ผมมีความสุขมาก แม้บางครั้งมีลูกน้องทำผิดมีการทะเลาะหรืออิจฉาริษยากัน ผมก็จะเรียกมาตักเตือนว่ากล่าวเพื่อสอนเขา ดังในพระธรรม 2 ทิโมธี บทที่ 3 ข้อ16 “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม” ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนผมก็อาจจะไล่ออก แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนแปลงแล้ว ในช่วง 3-4 ปีมานี้ผมไม่เคยไล่ใครออก แล้วก็ไม่มีใครยอมออกด้วย เพราะผมปกครองลูกน้องด้วยหลักพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงเต็มไปด้วยความรัก
ชีวิตในความเชื่อ…ผมจะก้าวต่อไป
การดำเนินชีวิตในความเชื่อท่ามกลางสังคมไทยซึ่งมีคริสเตียนไม่ถึง 1% นั้นผมก็จะประพฤติตัวให้สอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน แต่สิ่งไหนที่พระเจ้าห้ามไว้ผมก็จะหลีกเลี่ยง เช่น พระเจ้าบอกว่าให้รักพระองค์เพียงพระองค์เดียว อย่าไหว้รูปเคารพ ดังที่ในพระธรรมอพยพ บทที่ 20 ข้อที่ 3-5 กล่าวว่า “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเราอย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น…” เมื่อผมเป็นคริสเตียน เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ผมก็เชื่อในคำสอนของพระองค์ ความเชื่อของผมไม่ใช่เรื่องของศาสนา ผมต้องรักษาความเชื่อในพระเจ้าไว้แต่จะไม่ไปทำลายประเพณีของสังคมต่างๆ เช่น บางครั้งผมได้รับเชิญไปเป็นประธานในพิธีศพที่วัด ผมจะบอกเจ้าภาพก่อนเสมอว่าผมเป็นคริสเตียน ผมจะไม่ไหว้รูปเคารพแต่สามารถนั่งเป็นประธานในพิธีได้ ผมเชื่อว่าพระเจ้ารู้ว่าผมกำลังทำอะไรเพราะจิตใจของผมอยู่กับพระองค์ ในขณะที่พระสวด ผมจะอธิษฐานขอพระเจ้าทรงเมตตารับวิญญาณผู้ตาย ผมจะอธิษฐานให้พระเจ้าสถิตอยู่กับผมและทุกสิ่งในงานเพราะพระองค์ยิ่งใหญ่ที่ สุดแล้ว หากไปร่วมงานแล้วบอกเจ้าภาพว่าผมเป็นคริสเตียนผมไม่ยุ่งกับคุณ เราก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้ เราต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิต นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้และคริสเตียนทุกคนทำได้
การที่ผมเข้าสังคม ผมก็จะมีโอกาสพูดเรื่องของพระเจ้า มีโอกาสที่จะแสดงแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ คือการให้ความรัก ความเห็นใจ และช่วยเหลือผู้อื่น แล้วเขาก็จะเห็นพระเจ้าในชีวิตของเรา เช่น ลูกน้องสังเกตเห็นว่าผมมีแต่ความสุข ไม่เคยเครียดเลย เขามักสงสัยว่าทำไมผมใจเย็นกับปัญหาใหญ่ๆ ได้ เพราะถ้าเป็นสมัยก่อนเวลามีปัญหาผมก็จะหยิบปืนมายิงขึ้นฟ้าเพราะคิดว่าไม่มี ใครใหญ่เท่าตัวเอง แต่เมื่อได้มารู้จักกับพระเจ้าแล้วเวลาที่ผมเจอปัญหาหนักๆ ผมก็จะอธิษฐานบางครั้งโมโหมากแต่ก็จะยิ้มและท่องพระวจนะของพระเจ้าในใจว่า “ความรักอดทนนาน” ท่องให้พระวจนะฝังแน่นอยู่ในใจ ผมจะไม่ตอบโต้คนที่ทำให้ผมโกรธแต่จะนำหลักพระวจนะมาใช้ในการอยู่ร่วมกับผู้ อื่น การทำเช่นนี้จะทำให้เรามีความสุขและเป็นการประกาศความเป็นคริสเตียน ความเป็นลูกพระเจ้าในชีวิตของเรา ตอนนี้ลูกน้องในบริษัทผมเป็นคริสเตียนแล้ว 30% ผมไม่ได้บังคับว่าเขาต้องเชื่อพระเจ้า ผมเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าก็จะสัมผัสเขาเอง
ในสังคมไทยวันนี้ยังขาดความรัก มีการแบ่งแยกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีความรักดังในพระวจนะของพระเจ้าที่สอนว่า “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่นและเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง” (พระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 13 ข้อ 4-7) ทุกคนก็จะไม่ทำร้ายกัน จะมีแต่การให้และนำไปสู่ความสุข เพราะการให้นำมาซึ่งความสุขยิ่งกว่าการรับ
สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบคุณ ดร.ชาตรี โสภณบรรณารักษ์ ที่ได้แบ่งปันเรื่องราวชีวิตที่ให้ข้อคิดและกำลังใจแก่เราว่าไม่มีสิ่งใดที่ พระเจ้าทรงกระทำไม่ได้ และพระพรจะเป็นของผู้ที่ดำเนินตามพระวจนะของพระองค์
- ดร.ชาตรี โสภณบรรณารักษ์