ผู้ชนะล้วนก้าวผ่านกิโลเมตรที่ 37
ผู้ชนะล้วนก้าวผ่าน กิโลเมตรที่ 37 การวิ่งอาจดูเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่มนุษย์ปกติคนไหนในโลกก็สามารถทำได้ การวิ่งที่น่าตื่นเต้นในสายตาของคนทั่วไปก็มักเป็นการวิ่งระยะสั้น ทุกคนมักให้ความสนใจกับการเป็นเจ้าลมกรด สามารถรู้ผลผู้ชนะได้ทันทีโดยใช้เวลาไม่ทันถึงครึ่งนาที ส่วนการวิ่งระยะไกลแม้มีผู้ให้ความสนใจอยู่บ้างก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ยิ่งการวิ่งที่ไกลมากๆ อย่างการวิ่งมาราธอน ซึ่งไกลถึง 42.195 กิโลเมตรกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหลายนาทีก็ยิ่งหาผู้สนใจติดตามได้ยากยิ่งขึ้น แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยฝึกวิ่งอย่างจริงจัง วิธีการมองของคุณจะแตกต่างออกไป นักวิ่งมาราธอนคือมนุษย์ธรรมดาที่สุดแสนจะพิเศษ และเราจะเข้าใจความหมายที่ว่า “สำหรับมาราธอน ผู้ที่วิ่งเข้าเส้นชัยทุกคนคือผู้ชนะ”
เรื่องน่าท้าทายสำหรับการวิ่งมาราธอนก็คือมีคนมากกว่า 1 ใน 5 ที่ไม่สามารถวิ่งได้จนครบระยะทาง และหลักกิโลเมตรที่ทำให้แม้แต่นักกีฬาตัวจริงยังต้องถอดใจ และขอถอนตัวจากการวิ่งมากมายก็คือ กิโลเมตรที่ 37 น่าแปลกใจที่ระยะทางก่อนถึงเส้นชัยนั้นเหลือเพียง 5 กิโลเมตรเศษๆ แต่ทุกคนกลับไม่สามารถจะก้าวขาวิ่งไปได้มากกว่านี้ ราวกับว่าร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของพวกเขากำลังแบกรับน้ำหนักขนาดมหาศาลจนไม่มีแรงวิ่งต่อไป
เส้นทางชีวิตของคนเราก็ไม่แตกต่างกับระยะทาง 42.195กิโลเมตรของการวิ่งมาราธอนสักเท่าไหร่ หลายครั้งเราตื่นเต้นกับคนที่ประสบความสำเร็จแบบชั่วข้ามคืน เหมือนการวิ่งชนะ 100 เมตร เราพยายามเหลือเกินที่จะใช้ความเร็วในการวิ่ง 100 เมตร สำหรับชีวิตจริงที่ยาวไกล ผลก็คือเราหมดแรงเราท้อถอย และไม่ต้องการทำอะไรอีก เฝ้าแต่สงสารตัวเองและรู้สึกพ่ายแพ้เพียงเพราะความเร็วที่ลดระดับลง จนลืมไปว่าเรายังไม่แพ้ตราบใดที่ขายังเดินไปสู่เส้นชัย แต่คนจำนวนไม่น้อยต่างหยุดลงและไม่คิดจะเดินต่อไปอีก ชีวิตของคนเราเมื่อมาถึงทางตันเพราะความล้มเหลวครั้งแรกในชีวิต กลับทำให้คิดว่าเขาล้มเหลวมาตลอดชีวิตจนลืมหลักกิโลเมตรที่เขาได้วิ่งผ่านมา
ในพระธรรมฟีลิปปี 3:12-16 ได้ให้เคล็ดลับสำคัญ 5 ประการ ที่จะทำให้ทุกคนที่ล้มลงบนกิโลเมตรที่ 37 ลุกขึ้นสู้อีกครั้งและบากบั่นไปสู่หลักชัยได้สำาเร็จ
ประการแรก
“จงตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองยังอยู่บนเส้นทางการวิ่ง” (ฟีลิปปี 3:12) “ไม่ใช่ ว่าข้าพเจ้าได้รับแล้วหรือดี พร้อมแล้วแต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปเพื่อที่จะฉวยไว้เพราะพระเยซูคริสต์ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้” ผู้ที่ขาดความตระหนักว่าตนเองกำลังอยู่บนเส้นทางการวิ่งก็เปรียบเสมือนกระต่ายจากนิทานเต่ากับกระต่าย ทั้ง ๆ ที่กระต่ายมีข้อได้เปรียบเหนือเต่าทุกประการแต่กลับไม่สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยก่อนเต่าได้ สาเหตุก็มาจากความทะนงตน คิดว่าตนเองดีพร้อมแล้วคิดว่าตัวเองชนะ แน่ ๆ ทำให้ใจประมาทและล้มตัวนอนพักผ่อนเมื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็สายเกินจะแก้ไขเสียแล้ว อย่าลืมว่าที่เส้นชัยพระเยซูคริสต์รอที่จะมอบเหรียญรางวัลและพวงมาลัยสำหรับผู้ชนะให้กับท่าน ฉะนั้นจึงไม่ควรตั้งตนอยู่ในความประมาท แต่ควรจะเรียนรู้พัฒนาตัวเองและฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อเดินทางใกล้เส้นชัยมากขึ้นเรื่อย ๆ
ประการที่ 2
“ถ้วยรางวัลเก่าเป็นความภูมิใจที่ผ่านพ้นไปแล้ว” (ฟีลิปปี 3:13) “พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้า ฉวย ไว้ได้แล้วแต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า” เป็นความจริงที่เราไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ แต่การยึดติดกับอดีตมากเกินไปก็ขัดขวางการเรียนรู้วิธีสร้างความสำเร็จใหม่ ๆ เช่นกันจากประสบการณ์ให้คำปรึกษากับผู้ที่มีความท้อแท้ใจอย่างมาก สิ่งที่ผมมักจะได้ยินจากพวกเขามีสองเรื่องคือ ความผิดหวังในอดีตที่ไม่สามารถลืมเลือนได้ (หลายครั้งเป็นเรื่องในวัยเด็กจนน่าแปลกใจที่พวกเขายังจำได้) กับเรื่องความสำเร็จเก่า ๆ ที่มักเล่าซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เบื่อหน่าย (คนเล่าไม่เคยเบื่อ แต่สำหรับคนฟังต้องใช้ความอดทนมากขึ้นเรื่อย ๆ) คนที่ยึดติดกับอดีตทั้งความผิดพลาดและความสำเร็จก็เหมือนคนที่ยืนอยู่บนบ่อโคลนดูด ตราบใดที่ยังไม่ก้าวขาออกมาจากที่เดิม ร่างกายของพวกเขาก็จะจมลง ในโคลนลึกขึ้นเรื่อย ๆ
ประการที่ 3
“มองไปที่เส้นชัย เดินก็ยังดีกว่าหยุด” (ฟีลิปปี 3:14) “และ ข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัยเพื่อจะได้รับรางวัล คือการทรงเรียกแห่งเบื้อง บนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์” ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่เคยฝึกวิ่งน่าจะเข้าใจดีว่าการวิ่งระยะไกลแม้ไม่ต้องวิ่งให้เร็วที่สุด แต่การวิ่งโดยมองไม่เห็นเป้าหมายนั้นทำให้ความพยายามของตัวเองถูกลดทอนลงเรื่อย ๆ เราอาจจะพูดว่า “ทำขนาดนี้ก็ดีที่สุดแล้ว พอเถอะ เลิกเถอะ” สุดท้ายก็มาหยุดที่กิโลเมตรที่ 37 แม้จะเหลือเป้าหมายอีกไม่ไกล แต่มันก็ไกลเกินไปสำหรับหัวใจที่ท้อแท้เสียแล้ว ดังนั้นการมองไปข้างหน้า และเห็นเป้าหมายอย่างชัดเจนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแม้ร่างกายจะอ่อนล้าจนวิ่งไม่ไหวก็ยังสามารถก้าวเดินต่อไปได้ นักวิ่งมาราธอนหลายคนได้แบ่งปันว่า “ในการวิ่งมาราธอน เมื่อไหร่ที่คุณหยุดวิ่งคุณจะไม่สามารถวิ่งต่อได้อีกเลย” แม้อุปสรรคจะมากและทำให้เราก้าวหน้าไปยังเป้าหมายอย่างเชื่องช้า ขอหนุนใจพี่น้องทุกท่านอย่าเพิ่งหยุดทำฝันของท่านให้เป็นจริง ก้าวต่อไปแม้มันจะเชื่องช้ามากแค่ไหน อย่างน้อยท่านก็เข้าใกล้เป้าหมายเพิ่มอีกก้าวหนึ่งทุกครั้ง
ประการที่4
“เด็กจะงอแง แต่ผู้ใหญ่จะทำต่อจนเสร็จ” (ฟีลิปปี 3:15) “เพราะฉะนั้นเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจงคิดอย่างนี้และ ถ้าพวกท่านคิดอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าก็จะทรงให้ เรื่องนี้ประจักษ์แก่ท่านด้วย” ประมาณเกือบสิบปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ดูแลเด็ก ๆ ในระดับประถม ซึ่งจะมีของเล่นที่ใช้เพิ่มพัฒนาการทางสติปัญญาแก่พวกเขา เช่น ตัวต่อเลโก้ ภาพต่อจิกซอว์ ชิ้นไม้รูปทรงเรขาคณิต วิธีการเล่นของเด็กแต่ละคนจะสะท้อนให้เราเห็นถึงวุฒิภาวะที่แตกต่างกันได้ เด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน จะเล่นของเล่นทีละอย่าง ทำจนสำเร็จแล้วจึงเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น ส่วนเด็กที่ขาดวุฒิภาวะนั้นจะเล่นไปเสียทุกอย่างพร้อมกัน และไม่สามารถทำตามจุดประสงค์ในการเล่นแต่ละอย่างได้ ในรายที่รับมือยากก็อาจจะลงไปดิ้น นอนร้องไห้ หรือไม่ก็ไปทำลายสิ่งที่เด็กคนอื่นทำจนสำเร็จบ้างก็มี การตระหนักรู้อยู่เสมอว่าตนเองมีความรับผิดชอบอะไร และกระทำจนสำเร็จนั้น เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ของคน ๆ นั้น ดังนั้นถ้าเราไม่ใช่คนที่โตแต่ตัว เราก็ควรรับผิดชอบทุกอย่างให้สำเร็จ แม้จะช้าหรือเร็ว แต่ก็ไม่หยุดที่จะทำ
ประการสุดท้าย
“ทำต่อไปจากจุดที่เราค้างไว้” (ฟีลิปปี 3:16) “อย่าง ไรก็ตามเราได้แค่ไหนแล้วก็จงดำเนินตามนั้นต่อไป” ความน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เราทุกคนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน มีทักษะและความสามารถแต่ละด้านไม่เท่ากัน ความแตกต่างนี้มีไว้เพื่อให้เราได้ชื่นชมและร่วมไม้ร่วมมือกับคนอื่นๆ แต่หลายๆ คนกลับนำความแตกต่างไปเปรียบเทียบกันและกันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมได้ให้คำปรึกษากับเด็กในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 เด็กหญิงคนนี้เคยสอบได้ที่ 1 มาตลอดในระดับประถมศึกษา เป็นเด็กที่มีความตั้งใจเรียนสูง และรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี แต่เมื่อสอบเข้าโรงเรียนมัธยมมีชื่อของจังหวัดได้ และพบว่าผลการเรียนของตัวเองได้อันดับที่ 10 ของห้องแรงจูงใจในการเรียนของเธอก็ตกลงไปอย่างน่าใจหาย ผลการเรียนที่เคยดีก็เริ่มตกลงเรื่อยๆ จนไปอยู่อันดับท้ายๆ ของห้อง กว่าที่ผมจะทำให้เธอเข้าใจมากขึ้นว่าโรงเรียนนี้มีการแข่งขันที่สูงขึ้น เพราะมีแต่หัวกะทิของจังหวัด และทำให้เธอกลับมาตั้งใจเรียนอีกครั้ง ก็ต้องเสียเวลาไปมากโข ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตเพื่อการเปรียบเทียบ เพราะจะมีคนที่อยู่สูงและต่ำกว่าคุณเสมอในแต่ละด้าน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า “สำหรับมาราธอน ผู้ที่วิ่งเข้าเส้นชัยทุกคนคือผู้ชนะ” ชีวิตของเราแต่ละคนมีเส้นชัยที่แตกต่างกันเป็นของตัวเอง จึงไม่มีความจำเป็นต้องแข่งขันกับคนอื่น แต่เราต้องแข่งขันกับตัวเอง นักวิ่งมาราธอนมักจะพูดเสมอว่า “การมีเพื่อนร่วมวิ่งทำให้วิ่งได้ดีขึ้น แต่การแข่งกับผู้อื่นอาจทำให้หลุดจากแผนการวิ่งของตัวเอง” เราแต่ละคนได้แค่ไหน ก็จงทำตามนั้นต่อไป
ในภาพยนตร์เรื่อง “รัก 7 ปี ดี 7 หน” พูดว่ามีปิศาจอยู่ที่กิโลเมตรที่ 35 เพราะมันคอยตะโกนบอกให้เราหยุดวิ่ง สำหรับการวิ่งมาราธอนจริงๆ ทุกคนที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจะได้รับชัยชนะของตนเอง ในชีวิตจริงของเราแต่ละคนก็เช่นกันชัยชนะคือการก้าวผ่านจุดที่เราอยากจะหยุด ผู้ชนะทุกคนต้องก้าวผ่านกิโลเมตรที่ 37 ในชีวิตของแต่ละคนให้ได้ สิ่งนั้นเกิดจากทัศนคติที่ถูกต้องและวินัยในการดำเนินชีวิต ขอพระเจ้าเสริมกำลังทุกท่านสามารถก้าวผ่านกิโลเมตรที่ 37 ในชีวิตของทุกท่านได้สำเร็จ ขอพระเจ้าอวยพร
- อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Torwaiphoto – Freepik.com