ผู้เล่นหรือกองเชียร์
ผมยังจำวินาทีแรกที่ลงไปแข่งขันบาสเกตบอลในฐานะตัวสำรองของคณะ ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยได้ดี ผมตื่นเต้นจนใส่หมายเลขเสื้อกลับหัวกลับหางไปหมด กองเชียร์ของทุกคณะพากันหัวร่องอหายในความเปิ่นของผม แต่หลังจากผมสามารถส่งลูกลงห่วงได้เสียงหัวเราะก็กลับกลายเป็นเสียงปรบมือ แม้นั่นจะเป็นการทำแต้มเพียงครั้งเดียวที่ผมทำได้ในวันนั้น แต่ผมก็ภูมิใจมาก และรู้สึกว่ามันช่างคุ้มค่ากับการซ้อม 3 เดือนที่ผ่านมาจริงๆ
ไม่กี่วันที่ผ่านมาในร้านอาหารใกล้สวนลุมฯ ผมชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงคัดเลือกตัวแทนไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ลอนดอน ทุกคนในร้านต่างช่วยกันลุ้นทีมชาติไทย กันอย่างสุดตัว เพราะเป็นครั้งแรกที่เรามีโอกาสสูงที่จะสามารถผ่านเข้ารอบไปได้ แม้สุดท้ายจะทำได้เพียงใกล้เคียงแต่ผมก็รู้สึกภาคภูมิใจแทนนักกีฬาทุกคนที่ได้ต่อสู้อย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ ในกีฬาฟุตบอลยกย่องว่ากองเชียร์คือนักเตะคนที่ 12 ของทีม นั่นหมายถึงทัศนคติของกองเชียร์มีผลต่อผู้เล่นในสนามด้วยเช่นกัน และผมเชื่อว่าที่นักกีฬาสาวไทยทำได้ดีส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของกองเชียร์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกองเชียร์ที่ตามไปเชียร์ถึงสนามแข่งขัน หรือเชียร์ผ่านจอโทรทัศน์อยู่ที่บ้านก็ตาม แต่เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านักกีฬาตัวจริงต่างหากที่มีผลกับความสำเร็จของทีมมากที่สุด
ในชีวิตจริงของเราแต่ละคน เรามีโอกาสเป็นกองเชียร์มากกว่าผู้เล่น อย่างในฟุตบอลยูโร 2012 และโอลิมปิกที่ลอนดอน เราส่วนใหญ่คงไม่มีโอกาสเป็นนักกีฬาตัวจริงได้ สิ่งที่ทำได้คือจัดเวลานอนเผื่อไว้สำหรับการเชียร์กีฬาช่วงดึกๆ เสียมากกว่า หรือถ้าดีหน่อยก็อาจไปหาซื้อเสื้อทีมหรือธงชาติ มาสร้างบรรยากาศการเชียร์ให้คึกคักยิ่งขึ้น ถ้าถามผมว่ากองเชียร์กับนักกีฬาตัวจริงต่างกันอย่างไร ผมคิดว่ามีอย่างน้อย 2 เรื่องที่บุคคลทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างกัน นั่นคือ เวลา และความรับผิดชอบ
แม้กองเชียร์จะต้องอดนอนหลายชั่วโมงเพื่อเชียร์ทีมโปรดจนดึกดื่น แต่นักกีฬาต้องใช้เวลาหลายปีในการฝึกฝนตัวเองเพื่อจะลงแข่งขันในเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาที แม้กองเชียร์จะรู้สึกภูมิใจหรือผิดหวังกับความพ่ายแพ้ของทีม แต่ผมเชื่อว่านักกีฬามีความรู้สึกนั้นมากกว่ากองเชียร์เป็นทวีคูณ ไม่ใช่แค่เรื่องของกีฬาเท่านั้นแต่กับทุกๆ เรื่องในชีวิต ตัวจริงจะมีทั้งเวลาและความรับผิดชอบมากกว่าคนที่เป็นเพียงกองเชียร์เสมอ ดังนั้นถ้าเราอยากรู้ว่าใครคือนักกีฬาตัวจริง ให้ดูคนที่ใช้เวลาในการฝึกซ้อมกับทีมมากที่สุด และดูคนที่ภาคภูมิใจในหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายไม่ว่าจะในยามที่ทีมชนะหรือพ่ายแพ้ก็ตาม แต่ถ้าเราอยากรู้ว่าใครคือตัวจริงสำหรับเรื่องอื่นๆ ก็ขอให้สังเกตว่าใครคือคนที่ทุ่มเทมากที่สุด พยายามอย่างที่สุด และภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตนทำไปมากที่สุด รับรองได้ว่าคนนั้นคือตัวจริงที่คุณกำลังมองหาอย่างแน่นอน
ในพระธรรม 1โครินธ์ 9:24-27 กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกที่วิ่งแข่งนั้นก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รางวัลนั้นมีเพียงคนเดียว? จงวิ่งเหมือนผู้ที่จะชิงรางวัลให้ได้ ส่วนนักกีฬาทุกคนก็ควบคุมตนเองในทุกด้าน พวกเขาทำเพื่อจะได้มงกุฏใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่มงกุฏของเราจะไม่ร่วงโรยเลย ดังนั้นข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งแข่งโดยไม่มีเป้าหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือนอย่างนักมวยที่ชกลม แต่ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายและควบคุมมันไว้ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวเองกลับเป็นคนที่ใช้การไม่ได้” จากพระธรรมตอนนี้มีข้อคิดอย่างน้อย 4 ประการที่เราจะสามารถเรียนรู้เพื่อเป็นนักกีฬาตัวจริงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจริงของเราแต่ละคนได้
ประการแรก
“จงอย่าแข่งเพื่อเป็นที่สอง” การวิ่งมาราธอนระยะ 42.195 กิโลเมตรนั้น ภาพที่เราคุ้นชินก็คือทุกคนต่างพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วในจุดสตาร์ทสายตาทุกคนต่างประกาศว่า “ฉันนี่แหละคือผู้ชนะในวันนี้” แต่มีเพียงจำนวนน้อยที่สามารถวิ่งมาถึงหลักชัยได้ ทุกครั้งที่เราลงมือทำอะไรก็ตามการพยายามอย่างสุดความสามารถจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีนักกีฬามาราธอนคนไหนสามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้ ถ้าเขาไม่ฝึกซ้อมมาก่อนไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง แต่เป็นกิจวัตรประจำวันเพียงเพื่อการลงแข่งขันเพียงครั้งเดียว ดังนั้นถ้าเรามุ่งหมายจะประสบความสำเร็จจริงๆ เราจะต้องเรียนรู้ที่จะวิ่งอย่างผู้ชนะ คือฝึกซ้อม ฝึกซ้อมและก็ ฝึกซ้อม
ประการที่สอง
“คนที่ชนะ จะชนะตัวเองก่อนเสมอ” ผมเคยไปทดสอบคัดเลือกตัวนักกีฬาฟุตบอลในสมัยที่ผมยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ผมมีความมั่นใจตัวเองมาก เพราะผมมีฝีเท้าที่ไม่เป็นรองใคร แต่เป็นเพราะผมไม่ควบคุมอาหารและการนอนของตัวเองทำให้ผมมีกำลังไม่พอในการลงสนาม ผลก็คือผมไม่ผ่านการทดสอบ ผมเชื่อว่าเราต่างทราบดีว่าเราควรหรือไม่ควรทำอะไรเพื่อให้ชีวิตของเรานั้นประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ แต่มีสักกี่คนที่สามารถปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเพื่อเอาชนะตัวเองให้ได้ ในพระธรรมตอนนี้อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “ทุบตีร่างกายและควบคุมมันไว้” นั่นหมายถึงการควบคุมความอยากของตัวเอง นักกีฬาชกมวยต้องควบคุมนำ้หนักของตัวเองอย่างจริงจังก่อนการขึ้นชกแต่ละครั้ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยตัวเองให้อ้วนแล้วมาลดเอาตอนใกล้เวลาชก แต่เขาต้องควบคุมน้ำหนักของตนเองให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ง่ายอยู่เสมอ ดังนั้นถ้าเราไม่สามารถชนะตนเองได้ เราก็ไม่สามารถชนะอะไรได้เลย
ประการที่สาม
“ลงทุนเพื่อเป้าหมายที่คุ้มค่าที่สุด” นาตาลี ดูธัวร์ หญิงสาวผู้พิการคนแรกที่ผ่านการคัดเลือกลงแข่งขันว่านำ้กีฬาโอลิมปิกของคนปกติเธอต้องใช้ความพยายามมากยิ่งกว่าคนทั่วไปเพื่อมาถึงจุดที่เธอตั้งใจ เธอยอมแลกทุกสิ่งในชีวิตเพราะเชื่อมั่นว่าเป้าหมายของตัวเองคุ้มค่า แล้วอะไรคือเป้าหมายที่คุ้มค่าสำหรับเราแต่ละคน พระธรรมตอนนี้ได้ชี้ให้เราเห็นว่าความคุ้มค่าของเป้าหมายหรือรางวัลขึ้นอยู่กับระยะเวลาแห่งความภาคภูมิใจในรางวัลนั้นว่ายาวนานเท่าไร ผมนึกแปลกใจที่วัยรุ่นหลายคนหมกมุ่นเล่นเกมส์ตลอดทั้งวันเพียงเพื่ออวดคะแนนกับเพื่อน ยอมที่จะโดดเรียน โดดสอบโดยลืมพิจารณาไปว่าความสำ.เร็จของการเรียนนั้นอยู่คงทนยิ่งกว่าความภูมิใจจาคะแนนของเกมส์ที่ตัวเล่นมากมายนัก ทุกครั้งที่เราเสียเวลากับเรื่องอะไรเราควรจะตั้งคำ.ถามกับตัวเองว่ามันคุ้มค่าหรือ
ไม่กับเวลาที่เสียไป
ประการสุดท้าย
“ตรวจสอบตัวเองหลังความสำเร็จ” หลายครั้งเมื่อผ่านความสำ.เร็จมาระยะหนึ่งเราอาจจะหลงดีใจกับความสำเร็จที่ผ่านมาจนลืมวางเป้าหมายสำหรับความสำเร็จใหม่ข้างหน้า ในพระธรรมตอนนี้ได้เตือนให้เราระมัดระวังตัวเองให้เป็นคนที่ใช้การได้อยู่เสมอ หากเรามัวมาอยู่กับความสำเร็จในอดีต เราก็จะเลิกฝึกฝน เลิกพยายาม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนักกีฬาหลายคนจึงเลิกเล่นในกีฬาที่ตนเองชอบก่อนกำหนด หลายคนทนไม่ได้ที่จะต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ในการฝึกฝนหลังจากที่ได้ปล่อยตัวจนความแข็งแรงของนักกีฬาได้อันตรธานหายไปจนหมด นักกีฬาตัวจริงย่อมพึงระลึกอยู่เสมอว่า ตราบใดที่ยังมีสนามแข่งต่อไปตราบนั้นการแข่งขันก็ยังไม่จบ ผู้ฝึกสอนกีฬาคนหนึ่งเคยบอกผมว่า “คนที่สอนและพัฒนาได้ยากที่สุดก็คือคนที่เคยเป็นแชมป์และยังคิดว่าตัวเองเป็นแชมป์อยู่เสมอ”
การเป็นกองเชียร์แม้จะรู้สึกปลอดภัยจากความรับผิดชอบ แต่ก็อยู่ห่างไกลจากความภาคภูมิใจในความสำเร็จมากเหลือเกิน ผมจึงขอหนุนใจให้ทุกคนก้าวออกมาเป็นผู้เล่น ลงทุนเวลาและความพยายามเพื่อเอาชนะตัวเอง เพื่อเป้าหมายที่คุ้มค่าและถาวรเป็นนิรันดร์ ตลอดจนพัฒนาและประเมินตัวเองอยู่เสมอ ขอให้เสียงปรบมือครั้งต่อไปมีเพื่อชัยชนะของทุกท่าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Ruslan_Shevchenko – Freepik.com