พรวิเศษ
สามีภรรยาคู่หนึ่งอายุ 40 เท่ากัน จัดงานเลี้ยงฉลองครบรอบแต่งงาน 15 ปี!
มีนางฟ้ามาร่วมอวยพรในวาระพิเศษนี้ด้วย พร้อมเสนอพรวิเศษให้คนละ 1 ข้อ
ภรรยาขอเที่ยวรอบโลกกับสามี
ปิ๊ง!
ในทันใดนั้น เธอก็มีตั๋วเรือสำราญเที่ยวรอบโลกในมือ!
พอถึงคิวสามี…เขามองดูภรรยาแล้วดูตั๋วในมือ ฉับพลันตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น และอธิษฐานขอพรว่า…
“ผมขอเพื่อนหญิงร่วมทางที่อายุน้อยกว่าผมสักครึ่งหนึ่ง”
ปิ๊ง!
ชายผู้นั้นกลายเป็นชายชราวัย 80 ปีในทันที!
ไม่รู้ว่าคุณผู้อ่านเห็นด้วยกับที่เกอเต้ เคยกล่าวไว้หรือไม่ว่า
“คุณไม่มีวันได้สิ่งที่คุณชอบ จนกว่าคุณจะเรียนรู้จักชอบในสิ่งที่คุณมี!”
(You will never have what you like until you learn to like what you have.)
ชายในอุทาหรณ์ข้างต้น ดูเหมือนว่า หลังจาก 15 ปีแห่งการสมรส เขาชักจะไม่ค่อยชอบในสิ่งที่ตัวของเขามีเสียแล้ว!
นี่เป็นโศกนาฎกรรมของชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตครอบครัว!
คนที่เคยรักกันหวานชื่น วันเวลาผ่านไปอาจกลับกลายเป็นความรักที่จืดชืด!
สำหรับบางคู่ รักที่เคยหวานกลับกลายเป็นขม!
และจากนั้น ความขื่นก็ตามมาสมทบกับความขม กลายเป็น “ความขื่นขม” หรือ “ความระทมทุกข์” !
คนที่หมดเสน่หาอีกฝ่ายหนึ่งก่อนมักเป็น ฝ่ายชาย หรือสามี!
เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ชอบสิ่งเร้าจากภายนอกที่เห็นด้วยตา!
เมื่อสังขารของภรรยาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป และยิ่งเธอปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษาตัวเอง ก็อาจทำให้ขาดสีสันดึงดูดตาดึงดูดใจชายผู้เป็นสามี!
และจุดอ่อนของผู้ชายส่วนใหญ่ก็คือ แรงเร่งเร้าทางเพศภายในที่เปรียบประดุจคลื่นใหญ่ที่ซัดกระหน่ำตัวของเขา จนตัวของเขาเองก็ยังยากจะรับมือ โดยลำพัง
หากยิ่งฝ่ายหญิงสาละวนกับหลายสิ่งนัก โดยไม่แยแสหรือให้ความสนใจกับสามีผู้มีความปรารถนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แถมยังตำหนิติเตียนหรือแสดงอาการหยามเหยียดความต้องการเหล่านั้นด้วยล่ะก็….ร่องรอยแห่งการหันเหใจของผู้เป็นสามีก็จะค่อยๆ ปรากฎขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
นอกจากว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นบุรุษเหล็กที่ควบคุมความต้องการตามธรรมชาติของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิงจริงๆ
ตามธรรมชาติ และตามพระประสงค์ของพระเจ้า หากชายและหญิงที่เป็นสามีภรรยากันต่างฝ่ายต่างตอบสนองต่อความต้องการของกันและกันอย่างสม่ำเสมอ พอบั้นปลายชีวิต เรื่องเพศจะลดบทบาทความสำคัญลงไปในที่สุด แต่หากความต้องการเรื่องเพศที่เป็นประสบการณ์แห่งความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทของคู่สมรสคู่ใด ไม่ได้รับการสนองอย่างเต็มที่ ความสัมพันธ์สนิทในเรื่องอื่นก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน!
สามีภรรยาคู่นั้นจะยากยิ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างกันให้ก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิม!
ดังนั้น หากสามีรักภรรยาจริงๆ และแสดงออกด้วยความจริงใจให้เกียรติเธอด้วยความสุภาพอ่อนโยน ภรรยาก็คงจะยอมฟัง และเอาใจเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น!
ในทำนองเดียวกัน หากผู้เป็นภรรยายอมฟังสามีและรู้จักเอาใจสามีของตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความต้องการทางเพศของเขาอย่างให้เกียรติด้วยความสุภาพอ่อนหวาน สามีของเธอก็จะรักเธอได้ง่ายขึ้น และมากขึ้น !
เขาคงจะไม่ไปคิดถึง “ผู้หญิง” คนอื่นให้เสียสมองและเสียเวลา โดยไม่จำเป็น!
…..แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าภรรยาของเขาจะดีหรือไม่ดีต่อตัวของเขา…สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเหตุหรือข้ออ้างที่ชอบธรรมให้ผู้ชายผู้เป็นสามีในการปันใจของเขาให้แก่คนอื่น !
เดี๋ยวนี้สิ่งที่น่าวิตก.. ไม่ใช่เรื่องที่สามีปันใจให้ “ผู้หญิงคนอื่น”แล้ว เป็นเรื่องของการที่เขาปันใจให้ “ผู้ชายคนอื่น” ก็เป็นได้!
คำเตือนในตอนนี้ก็คือว่า เป็นการดีที่ผู้ชายจะระงับความอยากที่ไม่สมควรของเขา ตั้งแต่ในครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกเช่นนั้น เพราะว่าหากปล่อยให้ความอยากนั้นเกิดขึ้น ก็อาจจะนำมาซึ่งความอยากครั้งต่อ ๆ ไปอีกมากมาย
ดังที่ เบนจามิน แฟรงคลิน เคยเตือนสติไว้ว่า….
“การยับยั้งความอยากครั้งแรกนั้นง่ายกว่าการยอมรับในผลทั้งปวงที่จะตามมากับความอยากนั้น!”
(It is easier to suppress the first desire, than to satisfy all that follow it.)
อัครทูต เปาโล หรือที่รู้จักกันในนามของ เซนต์ พอล หรือ เซนต์ ปอล ก็เคยกำชับไว้ว่า …
“ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว”!1
แล้วคุณละครับ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชาย ผู้เป็นสามี….
คุณตรึงความอยากของคุณไว้กับกางเขน
แล้วหรือยัง?
- บทความ ศาสนาจารย์ธงชัย ประดับชนานุรัตน์
- ภาพ Freepik.com