พระ + เจ้า ? พระเจ้า 2/07

พระ + เจ้า ? พระเจ้า

สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบพระคุณ ผป. วีระศักดิ์ เสรีกิตติกุล คริสตจักรสังขะฤกษ์ อ. เมือง จ. ระยอง ที่ได้ให้คำพยานเพื่อพิมพ์ในคริสตสายสัมพันธ์ ท่านเป็นนักธุรกิจอายุ 38 ปี เจ้าของ หจก. เสรีกิตติกุลโลหะกิจ (กิจการโรงกลึง) ต. แกลง อ. เมือง จ. ระยอง ภรรยาชื่อคุณวิสุดา เสรีกิตติกุล มีบุตร 3 คนชื่อ ทศพร “เซฟ” (Save) อายุ 14 ปี ทศพล “เซิฟ” (Serve) อายุ 11 ปี และล่าสุดมีบุตรสาวเกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2007 ชื่อ นารดา “เฟบี” (ชื่อสตรีในพระคัมภีร์ในพระธรรมโรมบทที่ 16:1)

ครอบครัวใหญ่ในวัยเด็ก
ครอบครัวของผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีน พ่อแม่มีลูก 11 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 7 คน ผมเป็นลูกชายคนเล็ก เดิมพ่อแม่มีอาชีพทำสวนยางอยู่ที่ อ. นาบอน จ. นครศรีธรรมราช แต่เมื่อราคายางตกต่ำจึงประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักทั้งพ่อยังมีหนี้สินจำนวนมากเพราะติดการพนัน พ่อแม่พร้อมด้วยลูก 7 คนแรกจึงอพยพมาอยู่ที่จังหวัดระยองและมีลูกอีก 4 คนรวมทั้งตัวผมด้วย ที่นี่พ่อเลิกการพนันโดยเด็ดขาดและได้ตั้งหลักอีกครั้งด้วยการเปิดร้านขายกาแฟและข้าวแกง นอกจากนั้น แม่และลูกสาวช่วยกันทำขนมขาย ส่วนพ่อและลูกชายทำอาชีพเผาถ่านและรับเหมาขนมันสำปะหลังจากไร่ออกมาส่งโรงงาน ด้วยความขยันขันแข็งและอดทนของพ่อแม่และลูกๆ ทุกคน ครอบครัวของเราจึงมีฐานะดีขึ้นและสามารถนำเงินไปใช้หนี้พี่น้องที่นาบอนจนหมด
แม้จะเป็นลูกคนเล็ก ผมเองได้รับการปลูกฝังให้ขยันทำงานตั้งแต่เด็ก ผมจำได้ว่าเมื่ออายุได้แค่ 4 ขวบคือยังไม่ทันได้เข้าโรงเรียน ผมจะมีหน้าที่โม่กาแฟโดยใช้เครื่องโม่มือหมุนแบบโบราณ ค่าจ้างที่ผมได้รับเดือนละ 10 บาทในตอนนั้นคือเงินมหาศาลสำหรับผม เมื่อได้เงินค่าจ้าง ผมจะถูกสอนให้รู้จักเก็บออมและพ่อจะคอยตักเตือนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการพนัน เพราะพ่อรู้พิษสงของมันแล้วว่ามีแต่จะสร้างความเสียหาย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและไม่มีใครเชื่อถือ
ทางด้านการศึกษา พี่ๆ ของผมส่วนใหญ่จบมัธยมปลาย มีเพียงพี่สาวคนหนึ่งจบปริญญาตรี ส่วนตัวผมเองจบ ปวช. ช่างกลโรงงาน วิทยาลัยเทคนิคระยอง เมื่อเรียนจบตอนอายุประมาณ 18 ปี ผมเข้ากรุงเทพฯ ไปทำงานเป็นลูกจ้างโรงกลึงแห่งหนึ่งเพื่อหาประสบการณ์อยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็กลับมาทำโรงกลึงเองที่บ้านที่ระยองซึ่งพ่อลงทุนให้ แต่เมื่อทำไปได้ประมาณ 6 เดือน ผมบอกพ่อว่าขอเลิกเพราะกิจการไม่ดีมีรายได้เพียงวันละ100 กว่าบาทเท่านั้น ไม่พอแม้แต่จะจ่ายค่าแรงให้ลูกน้องคนเดียวที่มีอยู่ ทั้งนี้เพราะในหมู่บ้านมีโรงกลึงอยู่แล้วถึง 5 โรง รวมของผมด้วยเป็น 6 โรง และอาจจะเป็นเพราะผมซึ่งเป็นเจ้าของอายุยังน้อย ทำให้คนไม่ค่อยเชื่อถือ ผมคิดว่าจะไปช่วยพ่อทำสวนยางดีกว่า แต่พ่อตอบผมว่า “จะไปกลัวอะไร ทั้งเครื่องกลึงและบ้านเป็นของเรา ถ้าไม่มีข้าวกิน ก็ไปกินกับพ่อได้ งานอย่างนี้ต้องใช้เวลากว่าคนเขาจะไว้ใจ เวลาใครเอางานมาให้ต้องทำให้ดี คนเขาจะได้ติดใจและบอกกันปากต่อปาก แล้วเขาก็จะเอางานมาให้อีก” น่าแปลกที่หลังจากวันที่ผมได้คุยกับพ่อ งานก็เริ่มไหลเข้ามาและมีมากขึ้นจนงานล้นมือ ทำให้ผมเชื่อว่า “คำของพ่อแม่เป็นพรต่อลูก” นั้นเป็นความจริง

รู้จักทั้ง “พระ” รู้จักทั้ง “เจ้า” แต่ไม่รู้จัก “พระเจ้า”
แล้วผมก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจโรงกลึงอย่างรวดเร็วด้วยวัยเพียง 22-23 ปีเท่านั้น คนในท้องถิ่นยอมรับนับถือว่าผมเป็นคนหนุ่มขยันทำมาหากิน ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ มีฐานะดี ผมมีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง อยากจะได้อะไรก็ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมกลับมีความกลัวอยู่ลึกๆ ในใจว่าจะมีชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ไม่นาน ผมไม่อยากเป็นเศรษฐีแต่ตายเร็ว ผมเริ่มคิดถึงชีวิตหลังความตายซึ่งทำให้ผมรู้สึกหดหู่ทุกครั้ง เพราะผมไม่มั่นใจว่าหากจากโลกนี้ไปแล้วผมจะไปอยู่ที่ไหน จะอยู่ในสภาพไหน และจะได้ไปสวรรค์ไหม ทั้งที่ใครๆ ก็ว่าผมเป็นคนดี แต่ผมไม่แน่ใจว่าความดีของผมเพียงพอที่จะช่วยให้ผมได้ไปอยู่สวรรค์ ผมยังต้องทำความดีขนาดไหนจึงจะได้ไปสวรรค์ ผมเริ่มแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่จะพิทักษ์รักษาตนเอง ใครบอกผมว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ดี พระนั้นดี เจ้านี้ดี ผมก็จะเชื่อเขาและเริ่มสะสมรูปเคารพต่างๆ ยิ่งมีราคาแพงหรือหายากก็รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์มาก รูปเคารพที่ผมสะสมไว้มีมูลค่านับล้านบาท แต่แล้วผมกลับพบว่ารูปเคารพราคาแพงเหล่านั้นเป็นเพียงคอลเล็คชั่นไว้อวดคนอื่นและผมกลับต้องเป็นฝ่ายคุ้มครองท่าน หากจะนำมาห้อยคอก็กลัวถูกทำร้ายแย่งชิง เก็บไว้ที่บ้านก็กลัวถูกปล้น จึงต้องซื้อตู้เซฟเพื่อเก็บของเหล่านี้ไว้ ใจของผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าแล้วใครจะช่วยผมได้ ทางไหนเป็นทางที่จะช่วยผมให้ได้ไปสวรรค์จริง
ต่อมามีคนเชิญผมไปเป็นกรรมการศาลเจ้า ผมจึงได้รู้จักเจ้าองค์นั้นองค์นี้มากมายนอกเหนือจากพระที่ผมสะสมไว้ เรียกว่าผมรู้จักทั้ง “พระ” รู้จักทั้ง “เจ้า” แต่พอมารวมกันเป็น “พระเจ้า” ผมกลับไม่รู้จัก การได้เป็นกรรมการศาลเจ้านั้น ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสให้ผมได้สั่งสมความดีเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพราะได้ช่วยเหลือคนยากจนอย่างเต็มที่ เช่น จัดงานเทกระจาด ซึ่งผมต้องช่วยหาทุนจากผู้มีจิตศรัทธา บางทีก็ถูกคนพูดจาถากถางทั้งที่ผมกำลังทำเพื่อช่วยเหลือคนยากจน แต่ก็อีกนั่นแหละ ส่วนลึกในใจผมยังรู้สึกว่าความดีที่ผมทำยังไม่เพียงพอ และจะต้องทำดีให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อจะได้ไปสวรรค์ ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกขัดแย้งว่าหากสวรรค์จะยอมให้คนอย่างผมซึ่งมีความดีไม่สมบูรณ์แบบเข้าไปอยู่แล้ว สวรรค์ก็คงไม่น่าอยู่เท่าไหร่
ระหว่างที่ผมคลุกคลีอยู่ในวงการศาลเจ้า มีสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ ศาลเจ้าแต่ละแห่งจะมีชื่อเจ้าประจำศาลนั้นๆ และจะมีแท่นใหญ่สำหรับบูชาเจ้าประจำศาลอยู่ด้านในตกแต่งสวยงามมาก ส่วนด้านนอกจะมีแท่นเล็กๆ อีกแท่นหนึ่งมีกระถางธูปวางไว้ข้างหน้าและมีตะเกียงแขวนไว้ข้างหลัง ทุกครั้งที่คนจะเข้าไปไหว้เจ้าที่แท่นใหญ่ด้านในก็จะต้องไหว้แท่นด้านนอกก่อน ผมเคยถามคนเฝ้าศาลเจ้าว่าแท่นด้านนอกนี้เป็นของเจ้าชื่ออะไร แต่เขาไม่ทราบ แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ดูแลศาลเจ้ามานานก็บอกว่าไม่รู้จักชื่อ รู้แต่ว่าคนจะต้องไหว้เจ้าด้านนอกนี้ก่อนเพราะใหญ่กว่าเจ้าด้านใน และเจ้าด้านนอกเป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์และโลก คำบอกเล่าเช่นนี้ทำให้ผมสงสัยตลอดเวลาตั้งแต่นั้นมาว่าใครกันที่เป็นเจ้าของฟ้าดิน ใครกันที่เป็นผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดที่ผมจะฝากชีวิตจิตวิญญาณไว้ได้

ได้ยินข่าวประเสริฐ
ผมมีลูกค้าประจำคนหนึ่งที่สนิทกันมากจนกลายเป็นเพื่อน เราไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ และไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ผมขออนุญาตเอ่ยชื่อท่านและภรรยาเพราะท่านมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผม คุณวิชัยและคุณศิวพร กิตติพล (คุณลี่) เป็นเจ้าของโรงงานยางที่บ้านสังขะฤกษ์ อ. เมือง จ. ระยอง ครอบครัวนี้เป็นคริสเตียนและชอบคุยให้ผมฟังเรื่องประสบการณ์ที่พระเจ้าช่วยครอบครัวเขา บางทีก็จะบอกว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเขาอย่างไร ผมฟังดูแล้วก็คิดว่าพระเจ้าของเขาก็คงเหมือนพระหรือเจ้าที่ศาลเจ้าที่เราไปไหว้นั่นแหละเพราะบางทีเราอธิษฐานขออะไรก็ได้เหมือนกัน คุณวิชัยและคุณลี่พยายามชวนผมไปคริสตจักรเสมอแต่ผมก็พยายามบ่ายเบี่ยงมาตลอด จริงๆ แล้วก็รู้สึกรำคาญด้วยซ้ำแต่ไม่กล้าแสดงออกเพราะเขาเป็นทั้งลูกค้าประจำและเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ในวันครบรอบวันเกิดของของคุณวิชัย แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายให้ของขวัญแก่เขา เขากลับให้ของขวัญแก่ผมเป็นพระคริสตธรรมคัมภีร์ปกหนังขอบทองมีซิปอย่างดี ผมเห็นว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งและดูสวยดีจึงเก็บไว้อย่างดีโดยไม่แตะต้องหรือเปิดอ่านเลย จนวันหนึ่งผมจำได้ว่าเป็น ค.ศ. 2003 คุณวิชัย กิตติพลได้มาชวนผมไปคริสตจักรอีกเช่นเคย เขาบอกว่าจะมีอาจารย์ชื่อคำปัน สนิท มาพูดที่โบสถ์ อาจารย์ท่านนี้เป็นคนคุยสนุก เขาจึงอยากให้ผมและครอบครัวไปฟังให้ได้ ผมจึงรับปากด้วยความเกรงใจเพราะเห็นว่าเขาชวนหลายครั้งแล้ว แต่จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยจะรู้สึกยินดี ในวันนั้นเมื่อรับลูกกลับจากเรียนพิเศษ ผมกับภรรยาและลูกทั้งสองคนจึงแวะไปที่คริสตจักรสังขะฤกษ์ ขณะที่ฟังอาจารย์คำปันพูด ผมเห็นที่ประชุมหัวเราะกันตลอดเวลาก็ไม่เข้าใจว่าเขาหัวเราะอะไรกัน เขาบอกให้เปิดพระคัมภีร์บทนั้นข้อนี้ ผมก็เปิดไม่เป็น หาไม่เจอ และฟังก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นการไปคริสตจักรครั้งแรกของผมจึงไม่เป็นที่ประทับใจและไม่รู้เรื่องอะไรเลยและผมก็ไม่คิดที่จะกลับไปที่คริสตจักรอีก อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินและจำได้ในวันนั้นคือ “พระเยซูเป็นพระเจ้าของคริสเตียน”

วันรุ่งขึ้นคุณวิชัย กิตติพล โทรศัพท์มาชวนผมไปทานข้าวกลางวันกับอาจารย์คำปัน และอาจารย์ขอไปเยี่ยมบ้านผมในบ่ายวันนั้น ท่านมาพร้อมกับภาพโปสเตอร์หลายภาพเพื่อจะเล่าเรื่องพระเจ้าให้ผมฟัง ผมจำได้ว่าภาพหนึ่งเป็นรูปคนที่หัวใจเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายต่างๆ เช่น งู เสือ และ หมาป่า ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นรูปคนที่มีหัวใจสะอาดมีรูปพระคัมภีร์ นก และไม้กางเขน อาจารย์ถามผมว่าอยากได้หัวใจแบบไหน แน่นอนใครๆ ก็อยากได้หัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ อีกรูปหนึ่งเป็นรูปคนพายเรือแต่เรือล่มและคนนั้นกำลังจมน้ำ มีคนหนึ่งพายเรือผ่านมาพร้อมตำราสอนว่ายน้ำและเขาพยายามสอนคนที่กำลังจมน้ำนั้นให้รู้จักวิธีว่ายน้ำ แล้วเขาก็พายเรือจากไป อีกคนหนึ่งพายเรือมาและยื่นมือออกมาช่วยฉุดคนที่กำลังจมน้ำให้ขึ้นเรือแล้วจึงค่อยสอนวิธีว่ายน้ำให้ อาจารย์ถามผมว่าหากผมเป็นคนที่กำลังจมน้ำอยู่ผมจะเลือกคนไหน แน่นอนที่ผมก็ต้องเลือกคนที่ช่วยฉุดผมขึ้นจากน้ำก่อน อย่างไรก็ดี ผมจำได้ว่าภาพและเรื่องที่ผมได้ยินในวันนั้นยังไม่โดนใจผมอย่างแท้จริง และผมบอกอาจารย์คำปันว่าผมขอเวลาศึกษาเพิ่มเติม และขอเวลาไตร่ตรองเรื่องพระเยซูที่อาจารย์เล่าให้ฟังก่อน สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าคงจะทำไม่ได้หากผมมาเชื่อพระเยซูคือการไปคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ เพราะผมมีภาระมากทั้งเรื่องธุรกิจและครอบครัว
แต่ผมก็แปลกใจมากที่ตนเองรู้สึกอยากไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ถัดมา หลังจากขับรถไปส่งลูกเรียนพิเศษในตัวเมืองระยอง ผมได้ชวนภรรยาไปคริสตจักรสังขะฤกษ์อีก ระยะทางไปกลับระหว่างบ้านกับตัวเมืองกว่า 20 ก.ม. ผมทำเวลาจนทันการประชุมที่คริสตจักรซึ่งเริ่มตอน 10:00 น. และต่อจากนั้นก็ไปติดต่อกันอยู่ 5-6 เดือนโดยไม่ขาดเลย สิ่งที่ผมจำได้จากการสอนของอาจารย์หลายๆ ท่านที่มาเทศนาในคริสตจักรนี้คือ “พระเยซูเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีทางใดไปสวรรค์ได้นอกจากจะมาทางพระเยซู” ตามคำสอนนั้น แสดงว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าองค์เดียวที่จะพาผมไปสวรรค์ได้! แต่ที่ผมอยากรู้มากที่สุดคือพระเจ้าองค์นี้เป็นตัวจริงของจริงหรือเปล่า ผมจึงต้องศึกษาหาความจริงโดยเอาพระคัมภีร์ที่เพื่อนให้มานานแล้วมาอ่าน ผมเริ่มอ่านทุกอย่างในนั้นตั้งแต่หน้าแรก คำนำ สารบัญ ไม่เว้นแม้กระทั่งมาตราชั่งตวงวัด อ่านทุกหน้า อ่านทุกวันทั้งตอนเช้าและก่อนนอน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในปี 2003

พี่ชายเอาศพพ่อใส่รถมาหาผม
ปี 2003 นั้นเอง พ่อผมอายุได้ 80 ปี ท่านเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบไปแล้ว 3 เส้นและเคยผ่าตัดบายพาส 2 ครั้ง เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน พี่ชายคนหนึ่งของผมมากดออดหน้าบ้านผมด้วยท่าทางตกใจจนเหมือนคนเสียสติ เขาบอกว่าพ่อตายแล้ว ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกรีบวิ่งไปที่รถของเขาคิดว่าเขามารับผมไปหาพ่อ แต่ปรากฏว่าพี่ชายเอาศพพ่อใส่รถของเขามาด้วย เขาบอกว่าพ่อหมดสติแน่นิ่งอยู่หน้าห้องน้ำ พวกพี่ๆ พยายามช่วยปั๊มหัวใจและเป่าลมหายใจเข้าทางปากพ่อ ชาวบ้านร้านตลาดแถวบ้านพ่อก็มาช่วยกัน แต่พ่อก็ไม่ฟื้นไม่รู้สึกตัวอีกเลย เขาจึงตัดสินใจพาพ่อมาหาผม ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี วิ่งกลับขึ้นไปบนบ้านไปหยิบพระคัมภีร์มา เพราะจำได้ว่าพระเยซูเท่านั้นที่สามารถพาคนไปสวรรค์ได้ ผมเอาพระคัมภีร์วางลงที่อกพ่อแล้วเอาหูแนบที่อกพ่อ ผมอธิษฐานเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยเสียงดังว่า “พระเจ้า! ถ้าพ่อของลูกตาย ขอรับพ่อไปสวรรค์ด้วย” อัศจรรย์ที่ผมได้ยินหัวใจพ่อเต้น 3 ครั้ง ผมจึงรีบอุ้มพ่อขึ้นรถผมเพื่อไปโรงพยาบาลโดยมีพี่สาวผมนั่งมาด้วย พี่สาวบอกว่าไม่ต้องพาพ่อไปโรงพยาบาลเพราะพ่อตายแล้วจริงๆ ให้พาพ่อกลับบ้านดีกว่า แต่ผมไม่ยอม ผมขอพาพ่อไปโรงพยาบาลก่อน หากพ่อตายแล้วจริงๆ ก็ขอให้หมอเป็นคนบอกจะดีกว่า เมื่อถึงโรงพยาบาลหมอพาพ่อเข้าห้องฉุกเฉินโดยฉีดยากระตุ้นและปั๊มหัวใจด้วยไฟฟ้า หมอช่วยอยู่พักใหญ่พ่อไม่ตอบสนองและตัวเริ่มเขียว หมอออกมาบอกพวกเราว่าพ่อคงไม่ไหวแล้วแต่จะลองพยายามช่วยดูอีกครั้ง ขณะนั้น ผมโทรศัพท์บอกพี่น้องว่าพ่อตายแล้วให้เตรียมจัดงานศพและบอกญาติที่อยู่ต่างจังหวัด แต่เพียงครู่เดียวหมอก็วิ่งหน้าตื่นออกมาบอกว่า “พ่อคุณ พ่อคุณ หัวใจเต้นแล้ว และร่างกายรับน้ำเกลือได้ เลือดเดินได้ พวกคุณมีหวังแล้ว” พ่อผมเริ่มตัวอุ่นและได้ย้ายจากห้องฉุกเฉินมาอยู่ห้อง ICU อีก 2 วัน 2 คืนโดยใช้เครื่องช่วยหายใจ มีเหงื่อออกและตัวอุ่น แต่พ่อพูดไม่ได้ ไม่รู้สึกตัว คืนที่สองผมไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลและตั้งใจที่จะอ่านพระคัมภีร์ให้พ่อฟัง ผมยืนดูพ่ออยู่ห่างๆ สักพัก พี่เขยที่เฝ้าพ่ออยู่เรียกผมให้รีบเข้าไปใกล้ๆ เขาบอกว่าพ่อรู้ว่าผมมาแต่พ่อพูดไม่ได้ เพราะพี่ยื่นอยู่ที่ข้างเตียงนานแล้วน้ำตาพ่อไม่ไหล แต่พอผมเข้ามาน้ำตาพ่อไหลทั้งสองข้าง ผมจึงอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นครั้งที่สองว่า “พระเจ้าจะประทานสิ่งใดให้พ่อ ขอบอกให้ลูกรู้ด้วยเถิด” ขณะนั้น พี่น้องผมต่างก็เข้าไปหาพ่อด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเขา ผมเองมีใจเอนเอียงที่จะเชื่อพระเจ้า ผมบอกกับพี่เขยว่าจะขออ่านพระคัมภีร์ให้พ่อฟังโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอ่านบทไหนข้อไหน ผมจึงเปิดแบบเดาสุ่มคิดว่าเจอหน้าไหนก็จะอ่านตรงนั้น ปรากฏว่าผมเปิดไปเจอพระธรรมวิวรณ์บทที่ 21 มีหัวข้อว่า “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ นครเยรูซาเล็มใหม่” เป็นบทบรรยายถึงสถานที่มีพื้นถนนทำด้วยทองคำ กำแพงทำด้วยเพชร ซึ่งก็คือสวรรค์นั่นเอง จากข้อพระคัมภีร์นี้ผมจึงมั่นใจว่า พระเจ้าจะรับพ่อผมไปสวรรค์จริงๆ ผมจึงอธิษฐานอีกครั้งและบอกกับพ่อว่า “ถ้าใครมารับพ่อไป พ่ออย่าไปนะ แต่ถ้าพระเยซูมารับ ให้ไปกับพระเยซู ถ้าพระเยซูมา พ่อบอกผมด้วยนะ” เวลานั้นผมจับมือพ่ออยู่ และพ่อก็บีบมือผมนิดหนึ่งแล้วก็จากไป ตอนนั้นผมเกิดความเชื่อในพระเจ้าขึ้นมาและเชื่อว่าพ่อผมได้ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์แล้วแน่นอน

“เราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”
หลังจากเสร็จงานศพพ่อเรียบร้อยแล้ว ผมขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวเชียงใหม่ เมื่อถึงลำพูน ผมได้ติดต่อหาอาจารย์คำปัน สนิท ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ท่านได้ให้ไว้ในวันที่ท่านมาคุยกับผมที่บ้าน อาจารย์ได้เชิญให้ครอบครัวเราพักกับท่านที่บ้านซึ่งอยู่ในบริเวณคริสตจักร และเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เวลาตีห้าครอบครัวของผมได้นมัสการพระเจ้าพร้อมกับท่านและภรรยา ซึ่งก็เป็นการร้องเพลง อธิษฐาน และอาจารย์อธิบายเรื่องพระเจ้าให้เราฟังสั้นๆ และวันนั้นอาจารย์เป็นผู้นำเที่ยว เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ผมขอเป็นฝ่ายเลี้ยงอาจารย์ เราสั่งอาหารมาหลายอย่าง อาหารเริ่มทยอยมาตั้งบนโต๊ะ แต่ผมสังเกตว่า อาจารย์คำปันไม่เริ่มลงมือรับประทานเสียทีแต่รอจนกระทั่งอาหารจานสุดท้ายวางลง อาจารย์บอกว่าจะขออธิษฐานขอบคุณพระเจ้าก่อน แล้วท่านก็เริ่มอธิษฐานด้วยเสียงดัง “ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์ ………………..” เสียงของท่านดังจนผมรู้สึกอาย โต๊ะอื่นเขาคงคิดว่าเราบ้าแน่ๆ ทำไมท่านจะต้องอธิษฐานตอนนี้ด้วยและคำอธิษฐานของท่านก็ยาวมาก

เราพักที่บ้านอาจารย์ในคืนที่สอง ก่อนเข้านอนคืนนั้น อาจารย์ก็ชวนผมและครอบครัวให้มานมัสการพระเจ้าในตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้นอีก แต่คราวนี้ท่านขอเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นคือเป็นตีสี่ ท่านบอกว่าวันแรกท่านเกรงใจว่าผมเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ จึงเริ่มตอนตีห้า ซึ่งผมก็ตกปากรับคำอาจารย์เหมือนเคย

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่รอภรรยาและลูกเตรียมตัวเพื่อลงมาร่วมนมัสการพระเจ้ากับอาจารย์คำปัน ผมเปิดพระคัมภีร์ไปเจอพระธรรมเอเสเคียลบทที่ 11:19 ที่กล่าวว่า “…และเราจะให้จิตใจเดียวแก่เขา และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเขา เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเขา และให้ใจเนื้อแก่เขา เพื่อเขาจะดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเราและรักษากฎหมายของเราและกระทำตาม เขาทั้งหลายจะเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย” (เอเสเคียลบทที่ 11:19)
ผมรู้ทันทีว่าพระเจ้ากำลังพูดกับผม นี่เป็นสิ่งที่ผมรอคอยมานานคือ พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าของผม และพระองค์จะเป็นผู้เปลี่ยนจิตใจของผม ผมเกิดความยินดีอย่างบอกไม่ถูก ผมบอกกับภรรยาว่าพระเจ้าพูดกับผมผ่านพระคัมภีร์และบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของผม ผมอยากได้พระเจ้าองค์นี้จริงๆ

เช้ามืดวันนั้น หลังจากที่ร้องเพลงและอธิษฐานด้วยกันแล้ว อาจารย์คำปันก็เปิดพระคัมภีร์อ่านให้เราฟัง เนื้อความว่า “…เพราะว่าเราจะเอาเจ้าออกมาจากท่ามกลางประชาชาติและรวบรวมเจ้ามาจากทุกประเทศ และนำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินของเจ้าเอง เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า  และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และให้รักษากฎหมายของเราและกระทำตาม เจ้าจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งเราให้แก่บรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเราและเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า” (เอเสเคียล 36:24-28)

ผมและภรรยามองหน้ากัน พระธรรมที่อาจารย์คำปันอ่านมาจากเอเสเคียล 36:24-28 โดยที่ท่านและผมไม่ได้คุยกันเรื่องนี้มาก่อนเลย ผมแปลกใจมากที่พระเจ้าพูดกับผมสองครั้งในเวลาห่างกันไม่ถึงชั่วโมงด้วยเนื้อความคล้ายคลึงกันแม้จะมาจากคนละบทคนละข้อ ด้วยประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธพระองค์ได้อีกต่อไป เช้าวันนั้นเองอาจารย์คำปันถามผมอย่างที่ท่านเคยถามเมื่อครั้งที่ท่านไปหาผมที่บ้านระยองว่า ผมพร้อมที่จะต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่ คำตอบคือผมพร้อม ภรรยาพร้อม ลูกทั้งสองคนพร้อม ครอบครัวของเราพร้อมโดยที่เราไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
เช้าวันนั้นเวลาประมาณตีห้าของวันที่ 24 มกราคม 2004 ครอบครัวของเราได้คุกเข่าลงต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งหมายความว่าเราได้รับเอาความดีของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตและเปิดใจให้พระเจ้าเข้ามาสถิตภายในใจของเรา ทั้งนี้ ไม่ได้มีความหมายว่าพระเจ้ายอมรับเราเพราะเราเป็นคนดี ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมมีความสุขและปีติยินดียิ่งกว่าครั้งอื่นใดเพราะผมได้รับสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิตแล้ว
อาหารกลางวันวันที่สองนั้น อาจารย์คำปันอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานเช่นเคย แต่ผมรู้สึกว่าทำไมวันนี้อาจารย์เสียงไม่ดังและคำอธิษฐานไม่ยาวดั่งใจผมเลย

ไปโบสถ์และอ่านพระคัมภีร์ไม่เป็นภาระ
ผมได้เข้าพิธีรับศีลบัพติศมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2004 เป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักรสังขะฤกษ์ จ.ระยอง ก่อนจะมาถึงวันนี้ ผมและภรรยาเคยคุยกันว่าหากเราเป็นคริสเตียน เราจำเป็นต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ นั่นเป็นสิ่งที่เราคงทำไม่ได้เพราะผมทำงานเหนื่อย 6 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืน วันที่เจ็ด ผมต้องการพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจบ้าง จะให้ผมไปโบสถ์ฟังเทศน์อีกมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บัดนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ผมสามารถยืนยันได้ว่า เมื่อครอบครัวเราต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิตแล้ว การไปคริสตจักรเพื่อนมัสการพระเจ้าก็ไม่ใช่อุปสรรคเลย ผมไม่เคยต้องลำบากใจหรือเห็นการไปโบสถ์เป็นภาระแม้แต่ครั้งเดียว แท้จริงนั่นกลับกลายเป็นสิ่งที่ผมขาดไม่ได้ ถ้าอาทิตย์ไหนผมไม่ได้ไปโบสถ์ ก็หมายความว่ามีเหตุสุดวิสัยจริงๆ เช่นประสบอุบัติเหตุ เป็นต้น

สำหรับเรื่องการอ่านพระคัมภีร์ที่หลายคนรู้สึกน่าเบื่อ สำหรับผม ผมพบว่าถ้าเราไม่ให้พระเจ้าเป็นใหญ่ การอ่านพระคัมภีร์จะน่าเบื่อและเป็นยานอนหลับที่ดีที่สุด ขอบคุณพระเจ้า ผมอ่านพระคัมภีร์จบรอบแรกโดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนหลังจากที่ผมเปิดใจต้อนรับพระองค์ ทำให้ผมมีประสบการณ์และรู้จักกับพระองค์มากยิ่งขึ้น ผมอ่านพระคัมภีร์โดยตั้งเป้าไว้ว่าผมจะไม่เลิกอ่านแม้จะอ่านไม่เข้าใจทั้งหมด โดยผมจะอธิษฐานขอให้พระเจ้าเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกในถ้อยคำของพระองค์ และทุกครั้งที่พระเจ้าเปิดเผย ผมสามารถจดจำพระธรรมข้อนั้นได้ไม่ลืม เมื่อผมเชื่อวางใจในพระเจ้าได้ 3 ปี ผมอ่านพระคัมภีร์จบไปแล้ว 6 รอบ

พี่น้องและความเชื่อเดิม
ผมเป็นลูกคนเล็กที่พ่อรักมากและผมยังต้องมีพันธะหน้าที่ในการเซ่นไหว้ในเทศกาลต่างๆ แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้ารับพ่อไปอยู่ด้วยแล้ว พ่อไม่จำเป็นต้องกินของเซ่นไหว้ พี่น้องจึงโกรธผมมากที่มีความคิดเช่นนั้น ผมรู้ว่าทั้งพี่น้องและเพื่อนบ้านต่างก็กำลังจ้องมองผมอยู่ พระเจ้าทรงบอกให้ผมรู้ว่าจะต้องประกาศความรักของพระองค์แก่พวกเขา ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือสำแดงชีวิตในพระเจ้าให้เขาเห็น
ผมไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์และนมัสการพระเจ้าไม่เคยขาดตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมดีกับคนอื่นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อยากให้เขาได้รับสิ่งดีเหมือนที่เราได้รับ ผมรักและดูแลเอาใจใส่ครอบครัวมากขึ้นโดยเฉพาะแม่และพี่สาวคนหนึ่งซึ่งเป็นหม้าย เมื่อก่อนผมทำแต่งาน แต่พระเจ้าสอนให้ผมรู้ว่าแม้จะได้ทรัพย์สิ่งของทั้งหมดในโลกแต่ถ้าไม่มีพระเจ้าในชีวิต สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่ช่วยเหลือพี่น้องที่ยังแร้นแค้น ความรักของพระเจ้าก็ไม่อยู่ในตัวเรา และที่สำคัญที่สุด พระเจ้าสอนให้ผมถ่อมใจ ให้ผมรู้จักขอโทษซึ่งปกติจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ด้วยความเชื่อฟังพระเจ้าและด้วยกำลังที่พระเจ้าประทานให้ผม ผมยอมขอโทษและยอมคืนดีกับพี่ชายคนโตซึ่งไม่พูดกันมานานเกือบ 20 ปี ผมได้คุกเข่าลงกราบเท้าขอโทษเขาต่อหน้าแม่และพี่คนอื่นๆ ที่หน้าบ้านซึ่งเป็นร้านขายกาแฟ ความสัมพันธ์ของเราได้กลับคืนมา ปัจจุบันพี่ชายคนนี้ดีกับผมมาก มีอะไรเราก็จะปรึกษาหารือกัน เขาจะยอมฟังผมเล่าเรื่องความรักของพระเจ้าบ่อยๆ แต่ละครั้งเขาก็จะฟังเป็นชั่วโมงๆ อย่างสนใจ ผมหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะยอมรับกำลังจากพระเจ้าในการก้าวข้ามอุปสรรคทางสังคมเพื่อมาหาพระองค์

ในเรื่องของรูปเคารพที่ผมสะสมไว้เยอะมาก ครั้งแรกผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับรูปเคารพเหล่านั้น ผมเคยคิดที่จะนำไปขายคืนกับคนที่ทำกิจการด้านนี้ แล้วเอาเงินไปถวายโบสถ์ ในวันที่ผมคิดเช่นนั้น คืนนั้นผมก็ฝันไป ในฝันได้ยินเสียงหนึ่งพูดว่า “เราไม่มีเงินหรือ ?” ผมตื่นขึ้นมาคิดว่าต้องเป็นเสียงเตือนจากพระเจ้าแน่นอน วิธีการนี้ต้องไม่ดีแน่ๆ ผมจึงคิดจะเอาไปฝังดินบ้าง ไปทิ้งทะเลบ้าง แต่ผมก็ฝันอีกและมีคำถามในใจว่าหากมีคนลากอวนติดขึ้นมาหรือขุดเจอ เราก็จะโดนพระเจ้าตำหนิเอาได้ว่าทำอะไรไม่เรียบร้อย ผมคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้าย ผมอ่านพระคัมภีร์ตอนที่คนอิสราเอลทำรูปวัวทองคำขึ้น โมเสสได้สั่งให้บดรูปนั้นเป็นผง ผมก็เลยทำเช่นเดียวกับที่โมเสสทำคือบดและเอาไปทิ้งในคลองกลางสวนยางที่ผมกับพี่สาวเป็นเจ้าของร่วมกัน ปรากฏว่าไม่นานหลังจากนั้น เกิดพายุใหญ่ขึ้นทำให้สวนยางเสียหายไปเกือบครึ่ง ผมโดนพี่สาวต่อว่าว่าการกระทำของผมทำให้เกิดอาเพศและทำให้สวนยางเสียหาย โดน ว่าอย่างนี้เข้าผมก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ได้แต่ใช้ข้อพระคัมภีร์ปลอบพี่สาวว่าพระเจ้าสัญญาว่าจะดูแลหญิงหม้ายและลูก กำพร้า ประมาณสิบกว่าวันหลังจากนั้น ได้เวลาที่พี่สาวผมจะขายผลิตภัณฑ์ยางจากสวนที่โดนพายุ เมื่อขายเสร็จพี่สาวมาบอกผมว่า สวนยางที่เหลืออยู่ให้ผลิตภัณฑ์ยางมากกว่าตอนที่เป็นสวนเต็มๆ เสียอีก ผมเลยได้มีโอกาสเป็นพยานเรื่องความรักของพระเจ้าและการดูแลเอาใจใส่ของ พระองค์ที่มีต่อชีวิตเรา ผมชวนพี่สาวไปคริสตจักรและในที่สุดพี่สาวได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ ช่วยให้รอดในชีวิตและนำลูกชายของเธอให้ได้รู้จักพระเยซูด้วย และขณะนี้เขาก็รับบัพติศมาแล้ว และถัดจากพี่สาว แม่ของผมได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อปี 2006

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงให้เท้าของผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้ก้าวเข้ามาใน บ้านของผม ความเชื่อในพระองค์ช่วยให้ผมได้รับชีวิตใหม่ที่เจริญขึ้น พระองค์ทรงอวยพรให้กิจการโรงกลึงของผมมีงานตลอดเวลาไม่ได้ขาด ให้ผมมีครอบครัวที่อบอุ่นและได้ต้อนรับลูกสาวคนใหม่ซึ่งเป็นของประทานที่นำ ความปลื้มปีติมาสู่ทุกคนโดยเฉพาะกับพ่อแม่ของภรรยาผมซึ่งได้เข้ามาหาพระเจ้า แล้วเช่นกันตามที่เขาได้ตั้งใจไว้เมื่อทราบว่าเราจะมีหลานสาวให้เขา ผมเชื่อว่าพี่ๆ ของผมจะต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าของเขาในเวลาอีกไม่ช้าไม่นานเช่น เดียวกัน ปัจจุบันผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสปรนนิบัติผู้รับใช้ของ พระเจ้าโดยได้เปิดบ้านต้อนรับผู้รับใช้ที่มาเทศนาที่คริสตจักร และผมหวังว่าจะได้รับใช้พระเจ้ามากยิ่งขึ้นในทุกทางที่ผมจะทำได้

  • ผป.วีระศักดิ์ เสรีกิตติกุล