พลังยิ่งใหญ่พลังอธิษฐาน 3/15

พลังยิ่งใหญ่พลังอธิษฐาน

ดิฉันชื่อ สุมณฑา บุญสิน  (เน็ต) อายุ 30ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีศาสนศาสตร์จากสถาบันกรุงเทพศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน (บีไอที) สมรสกับครูศาสนา ณัฐพงษ์ บุญสิน (อ.ต้อ) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013 และยังไม่มีบุตร ปัจจุบันดิฉันเป็นสมาชิกคริสตจักรศรีบานเย็น ภาคที่ 15 พะเยา ซึ่งสามีของดิฉันเป็นศิษยาภิบาล ดิฉันจึงได้ร่วมรับใช้พระเจ้ากับสามีที่ คริสตจักรแห่งนี้ ดิฉันเกิดในครอบครัวคริสเตียน ไปโบสถ์กับคุณพ่อคุณแม่ ตั้งแต่เด็ก และได้เรียนรู้เรื่องพระเจ้า จากการเข้าชั้นเรียนรวีวารศึกษา  และมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

ต่อมามีโอกาสไปค่ายกับคริสตจักรและได้รับคำตอบจากพระเจ้าในหลายๆเรื่อง ทำให้มีความเชื่อมั่นในพระเจ้าและได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในที่สุด เวลาผ่านไป ดิฉันเริ่มมีภาระใจและได้รับการเร้าใจ ให้เรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น มีความต้องการที่จะเรียนเพื่อเป็นผู้รับใช้ แต่ในเวลานั้น ดิฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6  เป็นนักเรียนโควต้า เรียนทางแพทย์แผนไทย  ซึ่งเป็นวิชาเรียน ที่ดึงดูดสำหรับดิฉัน ขณะเดียวกันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ครอบครัวของดิฉันมีปัญหา ดิฉันได้ถามพระเจ้า ว่าถ้าวันหนึ่งดิฉันได้รับใช้พระเจ้า  และครอบครัวยังคงเจอปัญหาอยู่ ดิฉันจะสามารถไปเทศนาหรือนำคนอื่นให้มารู้จักกับพระเจ้าได้อย่างไร ดิฉันถามพระเจ้าและครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ในที่สุด

ดิฉันตัดสินใจเลือกที่จะเรียนในโรงเรียนพระคริสตธรรมเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาเรื่องพระเจ้ามากขึ้น ดิฉันได้สอบถามจากคุณน้าหลายท่าน ที่เคยเรียน ในโรงเรียนพระคริสตธรรมท่านก็ได้แนะนำ ให้ดิฉันไปเรียนที่ บีไอที ดิฉันจึงตัดสินใจไปสมัครเรียนที่นั่น ช่วงที่ไปเรียน ดิฉันก็ได้รับคำตอบในสิ่งที่ดิฉันสงสัย ปัญหาเรื่องครอบครัวก็ดีขึ้น สิ่งต่างๆ ได้รับการแก้ไข เมื่อดิฉันมีปัญหาดิฉันจะพูดคุยและอธิษฐานกับพระเจ้า และดิฉันก็ได้รับคำตอบ ทำให้ดิฉันรู้สึกมีความสุขและมีสันติสุขในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้น ดิฉันเคยรับใช้พระเจ้าที่คริสตจักรสาทรกรุงเทพฯ และ คริสตจักรตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
อยู่มาวันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ที่ดิฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเกิดขึ้น คือหลังจากที่ดิฉันกับสามีได้ใช้ เวลาในวันหยุดพักผ่อนด้วยกันที่กรุงเทพฯ แล้วก็ตั้งใจว่า จะกลับบ้าน ที่จังหวัดพะเยาเลย แต่แล้วดิฉันก็เปลี่ยนใจ นึกอยากจะไปช่วยคุณน้า ที่คลีนิก อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพราะเห็นว่าคุณน้ามีงานหนักสามีเลยมาส่งดิฉันที่คลีนิกก่อนจะกลับไปพะเยาคนเดียว  หลังจากที่สามีกลับไปได้ 1 วัน

กลางดึกคืนวันอาทิตย์ที่18 พฤษภาคม 2014 สามีก็ได้รับโทรศัพท์จากญาติพี่น้อง ประมาณ 3 ครั้งบอกว่ารถที่ดิฉันนั่งกลับมาจากตาคลี เกิดอุบัติเหตุรถชนเกาะกลางถนนและต้นไม้อย่างแรงที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก มีคนติดอยู่ในรถแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะยังช่วยออกมาไม่ได้ ให้สามีทำใจดีๆ ไว้ สามีตกใจทำอะไรไม่ถูก มาหาแม่ของดิฉันที่บ้าน พอแม่รู้ก็ร้องไห้เสียงดัง สักพักหนึ่งญาติทางพิษณุโลกก็โทรศัพท์มาอีกบอกว่า ตอนนี้ลุงชายซึ่งเป็นคนขับรถและน้องโบ ที่นั่งมาในรถคันเดียวกันถูกนำส่งไปที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร เข้าห้องไอซียูแล้ว ยกเว้นป้ากายที่เสียชีวิตก่อน ส่วนเน็ตยังไม่รู้สึกตัว พอสามีได้ยินอย่างนั้นก็รีบขับรถไปโรงพยาบาลทัน กว่าจะถึงโรงพยาบาลก็ประมาณ 6 โมงเช้า ตอนแรกไม่ได้รับอนุญาตให้เยี่ยมเพราะโรงพยาบาลถือว่าเป็นคนไข้หนัก แต่พอบอกว่าเป็นคุณแม่พยาบาลก็อนุญาตแต่ให้เยี่ยมไม่นาน ตอนที่สามีเห็นดิฉันในห้องไอซียูนั้นสามีบอกว่าจำแทบไม่ได้เลยเพราะหน้าช้ำบวมไปด้านหนึ่ง ถ้าไม่เห็นอีกด้านหนึ่งก็จะไม่รู้เลยว่านี่คือเน็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าอุบัติเหตุครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่คนขับหลับใน รถจึงพุ่งไปชนเกาะกลางและต้นไม้อย่างแรง ทำให้ป้ากายที่นั่งอยู่ด้านหน้าข้างๆ คนขับถูกกระแทกอย่างแรง นำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน จึงเสียชีวิต ส่วนเน็ตก็คาดว่าน่าจะหลับช่วงที่รถเกิดอุบัติเหตุถพอดีทำให้ศรีษะไปกระแทกกับคอลโซนข้างๆ แรงมาก สมองจึงได้รับความกระทบกระเทือนจนทำให้สลบและไม่รู้สึกตัวเลยกว่าเน็ตจะถูกส่งตัวมาถึงโรงพยาบาลก็ใช้เวลานาน และขาดอากาศหายใจไปประมาณ 15-20 นาที สมองของเน็ตจึงฝ่อเพราะขาดออกซิเจน

ความหวังริบหรี่
ในขณะที่ดิฉันนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ดิฉันไม่รับรู้อะไรเลย มีดิ้นบ้างขณะหลับแต่ไม่รู้สึกตัว คุณหมอบอกว่าเป็นอาการทางประสาท ไม่เป็นอะไรมากเพียงแต่ต้องรอให้คนไข้ฟื้นตัวเอง ครอบครัวก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา ประกอบกับคำอธิษฐานของพี่น้องเพื่อนผู้รับใช้จากทั่วทุกแห่งและการเยี่ยมเยียนดูแลของพี่น้องที่ผลัดกันมาไม่ได้ขาด หลายคนรวมตัวกันอธิษฐานทูลขอพระเจ้าเพื่อเรา ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรภาค 7 ผู้ปกครองชาญ และผู้ปกครองสิทธิชัย ศจ. ดร.บุญรัตน์ บัวเย็น ก็คอยโทรศัพท์ถามเป็นระยะๆ ว่า เราเป็นอย่างไรบ้าง และพี่น้องคริสตจักรจีนพิษณุโลก และคริสตจักรคริสตคุณานุกูล ได้อธิษฐานเผื่ออยู่ตลอดเวลาในขณะที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดเตรียมคุณหมอให้รักษาดิฉันถึง 2 ท่านด้วยกัน คือคุณหมอที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องของท่านมัคนายกประสิทธิ์ ซึ่งเป็นประธานภาค 11  ในปัจจุบัน และคุณหมอพีระพงษ์ คุณหมอทั้งสองท่านได้ช่วยกันรักษาและดูแลดิฉัน คอยบอกอาการให้ทราบตลอดเวลา คุณหมอบอกว่าต้องรักษาไปตามอาการเพราะว่ามันเป็นเกี่ยวกับระบบสมอง ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีกระดูก ส่วนไหนหักมีแต่สมอง เท่านั้นที่ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร คุณหมอก็พูดแบบให้ความหวังว่าอีกไม่นานดิฉันก็ฟื้น อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ และญาติพี่น้องก็อดที่จะรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ ผลัดเปลี่ยนกันไปนอนเฝ้าดิฉันที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร วึ่งอยู่ค่อนข้างจะไกลจากบ้านเราเดินทางไปมาไม่ค่อยสะดวกนัก ถึงอย่างนั้นพี่น้องจากคริสตจักรศรีบานเย็น พี่น้องทางหมู่บ้านเรา พี่น้องจากกรุงเทพฯ  และนครปฐม ก็เดินทางมาเยี่ยมตลอดเวลา แม้ว่าจะถูกจำกัดเรื่องเวลาเยี่ยม เนื่องจาก ดิฉันอยู่ในห้องไอซียู เวลาเยี่ยมค่อนข้างจะเข้มงวด และไม่รู้ว่าดิฉัน จะฟื้นเมื่อไหร่ แต่ทุกคนก็มีความหวังใจ และอธิษฐานเผื่อดิฉันตลอด

ตะวันเริ่มทอแสง
เป็นเวลาประมาณ 15 วันทีเดียว นับตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2014 ที่ดิฉันได้รับอุบัติเหตุถึงขั้นนอนไม่รู้สึกตัวและต้องต่อท่อและสายออกซิเจนทางปากตลอดเวลา แล้วดิฉันก็ลืมตาได้แต่ไม่พูดคุยกับใครไม่รับรู้เรื่องอะไร ได้แต่สะบัด หัวแรงๆไปมา ซึ่งเป็นอาการทางสมองอย่างหนึ่งคุณหมอจึงบอกกับสามี  ว่าคุณหมอจะเจาะคอของดิฉันเพื่อใส่ออกซิเจนช่วยในการหายใจ เพราะจะทำให้ง่ายต่อการดูแลและป้องกันการติดเชื้อ สามีเห็นด้วยจึงยอมให้คุณหมอเจาะคอดิฉัน ดิฉันจึงต้องพักที่โรงพยาบาลฯ ต่ออีก1 คืน จากนั้นสามีก็โทรศัพท์ไปหา ศจ. ดร.บุญรัตน์ บัวเย็น แจ้งข่าวที่ดิฉันฟื้นและขอคำปรึกษาเรื่องจะย้ายดิฉันไปอยู่โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ขอบคุณพระเจ้า ศจ. ดร.บุญรัตน์ บัวเย็น ได้เป็นธุระติดต่อไปยังโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊คและทางโรงพยาบาลก็ได้เตรียมความพร้อมไว้โดยได้รับการประสานงานจาก ศจ.อัศกรณ์ ซึ่งท่านได้ติดต่อประสานงานและดูแลดิฉันและครอบครัวเป็นอย่างดี ตอนแรกคุณหมอที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวรฯ ยังไม่อยากให้ย้ายเพราะเป็นห่วงเรื่องออกซิเจนที่จะต้องให้ดิฉันระหว่างเดินทางเพราะระยะทางไกลกันมาก แต่เมื่อดิฉันได้รับการเจาะคอแล้ว คุณหมอบอกว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเราจึงตัดสินใจย้ายเมื่อ ไปถึงโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ดิฉันถูกนำตัวไปที่ห้องฉุกเฉิน ขณะที่สามีเดินเรื่องเอกสารเมื่อทำเอกสารเรียบร้อย  สามีก็เข้ามาหาดิฉัน ดิฉันมองหน้าสามี และยิ้มให้เขาซึ่งเป็นครั้งแรก ที่ดิฉันยิ้มได้นับตั้งแต่วันที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาล ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

สู่สภาพเดิม
ดิฉันพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค อีกประมาณ 19 วัน ก่อนจะออกไปพักฟื้นที่บ้าน ช่วงนั้นมีพี่น้องผู้รับใช้พระเจ้าจากจังหวัดเชียงราย  เชียงใหม่ มาอธิษฐานเผื่อตลอดเวลา ขณะที่อยู่ที่โรงพยาบาลก็ค่อนข้างจะลำบากในเรื่องของการดูแลเพราะว่า ดิฉันนอนดิ้นและถีบขาตลอดเวลา คุณหมอบอกว่าญาติพี่น้องต้องอดทนเพราะว่านี่คืออาการทางประสาท คุณหมอมาตรวจเช็คทุกวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน มาถามดูอาการตลอด มันค่อนข้างที่จะโหดร้าย สำหรับสามีและญาติพี่น้อง เพราะแรงของดิฉันเยอะมากขนาดทำให้เตียงพังได้ และดิฉันจะหยิกทุกคนที่เดินเข้ามาใกล้ สามีรู้สึกสงสารดิฉันมากคุณหมอจึงทำทีซีสแกน และเอ็กซเรย์ ก็พบว่าที่ดิฉันมีอาการอย่างนั้นเพราะว่าสมองที่บวมมาตั้งแต่ ตอนแรกถึงแม้ว่าจะยุบลงไปแล้วแต่พบว่ายังมีเลือดคั่งอยู่เป็นจุดๆ แต่ไม่มากถึงขั้นที่จะต้องรับการผ่าตัดดิฉันเริ่มพูดได้ประมาณ1 อาทิตย์ก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค แต่ยังจำใครไม่ได้ จำเรื่องราวไม่ได้  นึกจะพูดอะไรก็พูด ไม่รู้เรื่องได้แต่เรียกชื่อคนโน่น คนนี้ แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าเมื่อดิฉันกลับมาพักรักษาตัว ที่บ้านประมาณ 2-3 อาทิตย์ ดิฉันเริ่มรู้เรื่องมากขึ้น พูดคุยได้ เริ่มบอกให้ทำโน่นนี่ได้ วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมาเหมือนเดิม ดิฉันสามารถพูดรู้เรื่องเหมือนคนปกติทุกอย่าง ก่อนหน้านี้คุณหมอบอกว่าดิฉันอาจใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะกลับมาสู่สภาวะปกติ แต่ขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่ดิฉันฟื้นตัวได้เร็ว นี่เป็นความอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำ พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ พระองค์ทำงานผ่านคำอธิษฐานของเพื่อนผู้รับใช้ พี่น้องสมาชิก คนที่เรารู้จักคุ้นเคยทุกคนอธิษฐานเผื่อเราตลอดเวลาในส่วนของครอบครัวก็ช่วยฟื้นความจำให้ดิฉันตลอด สภาพร่างกายของดิฉันเริ่มปกติดี หลังจากออกจากโรงพยาบาลคุณหมอนัดติดตามอาการได้ 1-2 ครั้งจากนั้นคุณหมอก็ไม่ได้นัดอีกเพราะสมองปกติดี ความจำค่อยๆ กลับมา รวมๆ แล้ว ดิฉันอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งสองแห่งประมาณ 34 -35 วันแต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือดิฉันจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้างจำได้เพียง ช่วงเวลา ที่ได้หยุดพักผ่อนกับสามี และสามีพามาส่งที่คลินิกในอำเภอตาคลี เท่านั้น

มุมมองและประสบการณ์ที่ได้รับ
อาจารย์เน็ตสำหรับดิฉันทุกอย่างเกิดขึ้นได้แม้แต่การรักษาก็มาจากพระเจ้าจริงๆ ได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้าจริงๆ เพราะว่าแม้แต่คุณหมอหรือคนทั่วไปคิดว่าดิฉันไม่รอดแน่ๆ เพราะหยุดหายใจไปตั้ง 15 -20 นาที ถึงแม้ว่ายังมีบางอย่างไม่ค่อยปกตินัก แต่ว่าด้วยพระคุณพระเจ้าทำให้ทุกอย่างกลับสู้สภาพเดิมได้และสมบูรณ์ แบบขึ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจดู แล้วมันหนักหนามาก ไม่สามารถจะหาหนทางแก้ไขได้แต่ด้วยความเชื่อของเราและคำอธิษฐาน ของพี่น้อง และคนทั่วไปที่ได้อธิษฐานเผื่อเราก็ทำให้รู้สึกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ พระคุณของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ สำหรับชีวิตของเรา

อาจารย์ต้อผมได้รับบทเรียนและประสบการณ์กับพระเจ้า ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้สำหรับพระเจ้ามนุษย์เราอาจจะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นไปไม่ได้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะฟื้นกลับคืนมาแต่ว่าเราก็ได้เห็น ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าดังที่พระเจ้าทรงกระทำในอดตี ตามที่บันทึกไว้ในพระธรรมอพยพ ในขณะที่พระเจ้าบอกกับโมเสส บอกว่า“…เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ทุกสิ่งที่เรากระทำ เห็นแล้วใช่ไหม การที่เจ้านำชาชาติอิสราเอลออกมา  จากอียิปต์เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม เรานำเขาทั้งหลายออกเดินทางตามทะเลแดง เห็นแล้วใช่ไหม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ ในขณะที่เจ้าเดินอยู่  เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมในทุกสิ่งทุกอย่าง ความยิ่งใหญ่ที่เรากระทำ” นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพูดกับโมเสส ทำให้ผมย้อนกลับมาถามตัวเองว่าเราเห็นสิ่งที่ เกิดขึ้นแล้วใช่ไหม การอัศจรรย์ที่พระเจ้ากระทำ แล้วเรายังจะไม่เชื่ออีกหรือ ฉะนั้นผมมักจะบอกกับพี่น้องหลายๆ คน และพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรฯ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ เมื่อเราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เรายิ่งต้องวางใจในพระเจ้า มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้นอีก สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นคือ เรื่องของการอธิษฐาน การอธิษฐานเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียน เพราะว่าเวลาที่เราอธิษฐาน เราไม่ได้อธิษฐานแบบเลื่อนลอย แต่เราอธิษฐานแบบมีความหวังใจในพระเจ้า และเราคาดหวังว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเรา แล้วก็พบสิ่งที่มันเกิดขึ้นผ่านทางคำอธิษฐาน

คำหนุนใจ
อาจารย์เน็ตอยากจะฝากพระธรรมฟิลิปปีบทที่ 4 ข้อ 13“ข้าพ​เจ้า​เผชิญ​ได้​ทุก​อย่าง​โดย​พระ​องค์​ผู้​ทรง​เสริม​กำ​ลัง​ข้าพ​เจ้า” ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะหนักมากแค่ไหน แต่เราสามารถที่จะผ่านไปได้ สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่พระเจ้าเป็นกำลังของเรา

อาจารย์ต้อผมอยากจะหนุนใจท่านที่อ่านคำพยานนี้ ขอให้ท่านมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า อย่าหลงไปจากทางของพระเจ้าเพราะว่าไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเราจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน 5 ปีหรือ 10 ปี บางทีเวลาแค่เสี้ยววินาทีก็อาจจะพรากชีวิตเราไปได้ เพราะฉะนั้นชีวิตส่วนตัวระหว่างเรากับพระเจ้าชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า เข้าเฝ้าพระเจ้าและอธิษฐานวิงวอนอยู่เสมอ เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำ แม้ว่าเราจะยังมีความกังวลใจและมีคำถามมากมายหลายอย่าง แต่ขอให้เราเชื่อและวางใจพระเจ้าเท่านั้น พระองค์จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้สำหรับเราเมื่อนั้นเราจะสามารถเป็พยานได้ว่าพระเจ้าดีอย่างไร พระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด

ส่งท้าย
แม้ว่าสภาพร่างกายของดิฉัน เวลานี้ จะยังไม่ได้ฟื้นฟูเต็มร้อย เวลาคิดเวลาพูด อาจจะช้าลงแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นนั่นคือ พระคุณของพระเจ้า และพลังของคำอธิษฐาน พลังที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถทูลขอกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานดิฉันอยากจะขอบคุณคุณหมอและพยาบาลทุกท่านที่ช่วยดูแลดิฉันเป็นอย่างดี ขอบคุณเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้าทุกท่าน ตลอดจนญาติพี่น้องและคนคุ้นเคย ที่มีโอกาสแวะเวียนมาอธิษฐานเผื่อขอบคุณคริสตจักรหลายแห่งที่รับรู้และได้ยินเรื่องราวของดิฉันแล้วรวมตัวกันอธิษฐาน ดิฉันเชื่อว่าคำอธิษฐานของทุกท่านเป็นพลังทำให้เกิดผลและทำให้ดิฉันมีสภาพที่ดีขึ้นเชื่อว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปพระเจ้าจะเติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความจำหรือความคิด พระเจ้าจะให้กลับมาเหมือนเดิม

  • คุณสุมณฑา บุญสิน