พ่อแม่ฮีโร่ตัวจริง
สมัยที่ผมเรียน ชั้นประถมพอเลิกเรียน ผมจะกระสับกระส่ายเฝ้ารอว่าเมื่อไรแม่จะมารับกลับบ้านสักที เพราะนอกจากแม่จะซื้อขนมอร่อยๆ ให้ทานแล้ว ผมยังอยากรีบกลับไปดูหนังฮีโร่ญี่ปุ่นซึ่งผมติดจนงอมแงม ฮีโร่ในสมัยของผมสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมากมาย อย่างเช่นเรื่องขบวนการห้ามนุษย์ไฟฟ้าและไอ้มดแดงที่ทำให้ผมอยากเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ภาพตัวเองในวัยเด็กใส่หน้ากากมดแดงถือดาบพลาสติกวิ่งปราบเหล่าร้ายไปทั่วซอย เป็นภาพที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็อดอมยิ้มไม่ได้ ถ้าทุกคนลองหลับตาลงสักพักนึกย้อนกลับไปสมัยที่เรายังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยกก็คงอดฉีกยิ้มไม่ได้ที่เห็นตัวเองใส่หน้ากากฮีโร่ตัวโปรด กวัดแกว่งดาบพลาสติกเพื่อปราบเหล่าร้าย (ถ้าผู้หญิงคงนึกว่าตัวเองเป็นเซเลอร์มูนแน่ๆ) เห็นด้วยกับผมบ้างไหมครับว่าฮีโร่ในโทรทัศน์มีอิทธิพลกับพัฒนาการทางความคิดของเราและสร้างนิสัยบางอย่างให้กับเราอย่างมาก แต่นั่นเป็นเพียงอิทธิพลในเวลาสั้นๆ ที่หนังเรื่องนั้นยังฉายอยู่เท่านั้น แต่มีฮีโร่ใกล้ตัวที่เรามักมองข้ามและนึกไม่ถึงว่าเขามีอิทธิพลกับชีวิตของเราทุกคนมากมายเหลือเกิน ฮีโร่ที่แค่จับมือก็มอบความกล้าหาญให้สามารถข้ามถนนใหญ่ๆ ได้อย่างไม่ต้องหวาดกลัว ไม่มีใครอื่นนอกจากพ่อและแม่ของเราทุกๆ คนนั่นเอง
ผมมักได้ยินพ่อแม่ หรือครูอาจารย์สมัยนี้บางท่านบ่นให้ฟังว่า “เด็กสมัยนี้สอนอะไรไปก็ไม่จำหรอก” หรือ “เด็กสมัยนี้เลี้ยงยาก ดูแลยาก ไม่เชื่อฟัง” ฟังดูคุ้นๆ หูบ้างไหมครับ คำพูดลักษณะนี้ เหมือนจะบอกว่าการอบรมสั่งสอนเด็กของพ่อแม่และครูอาจารย์ไม่มีอิทธิพลอะไรกับชีวิตของเด็กเลย นั่นคือมุมมองของพ่อแม่ แต่คุณเคยลองคิดเรื่องนี้ในมุมมองของเด็กบ้างไหมครับ เด็กจำนวนมากไม่เคยรู้สึกว่าพ่อแม่เป็นฮีโร่สำหรับพวกเขา เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ ไม่ค่อยอบรมสั่งสอนจริงๆ จัง (เพราะกลัวพูดมากไป ลูกจะไม่รัก) ไม่เคยให้คำปรึกษาเด็กหลายคนยิ่งแล้วใหญ่ เขารู้สึกอึดอัดใจที่เติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก พ่อไปทางแม่ไปทาง จะคุยกับฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายก็ไม่พอใจ หรือพอได้คุยกับแม่ก็กลายเป็นว่าต้องมานั่งรับฟังแม่เฝ้าต่อว่าพ่อให้ลูกฟัง บางครอบครัวพ่อทุบตีแม่จนลูกๆ ไม่กล้าเข้าไปพูดคุยกับคนเป็นพ่อ สะสมจนกลายเป็นความเกลียดชัง ลูกๆ เริ่มไม่อยากจะเชื่อฟังคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ ก็เพราะพ่อแม่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกชื่นชม หรืออยากเอาเป็นแบบอย่างสำหรับชีวิต เด็กบางคนต้องแอบร้องไห้ทุกวันพร้อมกับถามตัวเองว่า “ทำไมฉันต้องเกิดมาในครอบครัวนี้ด้วย?” บางครอบครัวพ่อแม่ชอบเปรียบเทียบลูกของตัวเองกับลูกบ้านอื่นตำหนิลูกที่ไม่มีความสามารถทัดเทียมจนกลายเป็นปมด้อย และลืมที่จะชื่นชมในความดีและความน่ารักของลูกตัวเอง??
ในทางกลับกันก็มีลูกๆ จำนวนไม่น้อยที่เปรียบเทียบพ่อแม่ของตัวเองกับพ่อแม่ของคนอื่น พวกเขาอยากเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ให้เวลาและความเข้าใจ ใส่ใจพวกเขาเวลาที่เกิดปัญหาในชีวิต และจูงมือก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิต ผมเคยนั่งดูโฆษณาชิ้นหนึ่งกับเด็กสาวที่มาขอคำปรึกษาซึ่งมีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในโฆษณาลูกสาววัยมัธยมที่ตั้งครรภ์กับแฟนหนุ่มมาสารภาพผิดต่อหน้าพ่อ ภาพความคิดแรกของพ่อในโฆษณาได้ตบหน้าลูกสาวจนล้มคว่ำ แต่ในที่สุดพ่อไม่ได้ทำเช่นนั้น พ่อดึงลูกสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดพร้อมพูดคำว่า “พ่อรักลูกและจะรักลูกของลูกด้วย” ทันทีที่พ่อในโฆษณาพูดจบ น้ำตาของผมและเด็กสาวที่นั่งดูอยู่ด้วยกันก็ไหลอาบแก้ม แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป ผมซาบซึ้งใจแต่เด็กผู้หญิงคนนี้รู้สึกน้อยใจที่ในชีวิตจริงพ่อของตัวเองห่างไกลจากพ่อในโฆษณาเหลือเกิน ปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้นหากฝ่ายพ่อแม่และฝ่ายลูกต่างก็โทษกันไปมา ไม่ว่าฝ่ายใดจะเถียงชนะมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยจริงๆ
ในพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ข้อ 1-4 กล่าวว่า “บุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดาของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่านี่เป็นเรื่องถูกต้อง “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” นี่เป็นบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญากำกับด้วย “เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนยาวบนแผ่นดินโลก” ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้เกิดโทสะแต่จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า” พระคัมภีร์ตอนนี้หากเราอ่านด้วยใจอคติ อาจจะหยิบยกมาเพื่อโจมตีอีกฝ่าย เป็นต้นว่าพ่อแม่กล่าวหาว่าลูกไม่เชื่อฟัง ส่วนลูกก็โทษว่าพ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนลูกแบบที่พระคัมภีร์เขียนไว้ ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ประเด็น และไม่ใช่จุดประสงค์แท้จริงที่พระคัมภีร์ตอนนี้ต้องการกล่าวกับพวกเรา พระคัมภีร์ต้องการหนุนน้ำใจทั้งสองฝ่ายให้ทำในบทบาทของคนอย่างดีที่สุดด้วยความรัก ซึ่งในที่นี้ผมอยากแบ่งปันสิ่งที่ผมได้รับในมุมมองของพ่อแม่ว่าจะสามารถมีอิทธิพลกับลูกได้อย่างไร
ประการแรก “ให้เกียรติบทบาทความเป็นพ่อและแม่” เวลาที่เราพูดว่าจงให้เกียรติบิดามารดานั้น เรามักมองจากมุมมองของคนที่เป็นลูกว่าต้องให้เกียรติบุพการีของตนซึ่งเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ผมอยากจะให้เรามองในอีกมุมหนึ่งว่าตัวเราเองที่เป็นพ่อแม่ได้ให้เกียรติบทบาทหน้าที่ความเป็นพ่อแม่ของเราเองมากน้อยแค่ไหนด้วย เราตระหนักหรือไม่ว่าลูกๆ ต้องการความรักจากพ่อแม่ สังคมปัจจุบันทำให้พ่อแม่หลงลืมความสำคัญของบทบาทที่ตนเองได้รับ ครอบครัวที่ขัดสนต้องปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องทำงานมากกว่างานประจำเพียงแห่งเดียว กลับจากงานก็เหน็ดเหนื่อย แทบไม่มีโอกาสคุยกับลูกและบ้างก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากคุย ส่วนบ้านที่มีฐานะดีก็พาลูกไปสมัครเรียนเปียโนบ้าง เต้นบ้าง เดี๋ยวก็ต้องขับรถพาลูกไปสยามเพื่อเรียนพิเศษ เรียนไม่มีวันหยุดไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับลูกว่าเขาต้องการคำปรึกษาจากพ่อแม่บ้างหรือเปล่า ผมไม่ได้หมายความว่าการทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่ดี หรือการพาลูกไปเรียนในสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นสิ่งไม่ดี แต่เราไม่อาจละเลยหน้าที่หลักของการเป็นพ่อเป็นแม่ไปได้ และไม่มีกิจกรรมหรือทรัพย์สินมีค่าใดที่สามารถทดแทนสิ่งที่ลูกต้องการจากพ่อแม่ได้ ลูกๆ ต้องการเวลาจากพ่อแม่ เวลาที่มีเพื่อเขาจริงๆ
ในอีกทางหนึ่งการให้เกียรติบิดามารดาหมายถึงการให้เกียรติต่อคู่สมรสของเราด้วย เพราะเขาเองมีบทบาทความเป็นพ่อแม่ที่ไม่ด้อยไปกว่าเราเลย การให้เกียรติคู่ชีวิตก็เหมือนการสอนให้ลูกๆ ให้เกียรติพ่อแม่นั่นเอง แต่บางครั้งเราพูดดีกับคนนอกบ้านได้แต่กลับลืมตัวและเผลอใช้ถ้อยคำที่หยามเกียรติกับคนที่เราควรจะให้เกียรติมากที่สุดอย่าลืมว่าคู่สมรสเป็นเนื้อเดียวกับเรา การให้เกียรติคู่ชีวิตก็คือการให้เกียรติตัวท่านเองด้วย ดังนั้นก่อนที่จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ลองหยุดคิดสักนิดว่าท่านกำลังทำร้ายคนที่ท่านสัญญาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้ารับเขาเป็นสามีหรือภรรยาของท่านหรือไม่ ไม่ว่าจะต่อหน้าลูกๆ หรืออยู่ตามลำพังก็ตาม
ประการที่สอง “ไม่มีใครทำหน้าที่แทนพ่อแม่ได้” พระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ข้อ 4 ที่ว่า “ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้เกิดโทสะ แต่จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า” มีเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นก่อนลูกๆ จะ เติบโตเป็นหนุ่มสาวที่พ่อแม่จะสามารถอบรมสั่งสอน เลี้ยงดูให้เขา เติบโตเป็นคนที่มีคุณค่า ช่วงเวลานี้หากผ่านไปแล้วไม่ว่าท่านจะมี ทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจซื้อคืนมาได้แต่มีพ่อแม่หลาย คนที่พาลูกที่มีปัญหามาพบกับผมหรือนักให้คำปรึกษาท่านอื่นๆ โดยไม่เคยมีเวลาอยู่กับลูกและพูดคุยอบรมสั่งสอนเป็นการส่วนตัวด้วยความรักอย่างที่พ่อแม่ควรจะทำเลย เพราะเชื่อว่าถ้าจ่ายเงินแพงๆ จ้างนักให้คำปรึกษาเก่งๆ หรือนักจิตวิทยาผู้คร่ำหวอดแล้วก็จะสามารถแก้ปัญหาของลูกได้ไม่ยากนัก ผมขอยืนยันว่านั่นเป็นการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ สิ่งสำคัญคือพ่อแม่เองก็ต้องร่วมกันฟังและช่วยแก้ไขปัญหาของลูก มาถึงตรงนี้บางคนก็อาจจะกลับไปนึกอีกว่า “ก็เด็กสมัยนี้มันเรื่องมาก เลี้ยงยากเองนี่จะมาโทษพ่อแม่ได้ยังไงกัน” จริงๆ แล้วสิ่งที่ผมกำลังชี้ประเด็นไม่ใช่การหาคนผิด แต่เราแต่ละคนจำเป็นต้องแสดงบทบาทของตัวเอง ทำให้ผมนึกถึงเพลงชื่อ “ไม่ใช่แฟนทำแทนกันไม่ได้” ผมเชื่อว่าบทบาทของพ่อแม่ก็เป็นสิ่งที่ให้ใครมาทำแทนกันไม่ได้เหมือนกันครับ การเป็นแม่พิมพ์แรกของลูกนั้นเป็นหน้าที่ที่สำคัญยิ่งแม่พิมพ์ที่ลูกต้องการก็คือ “ฮีโร่” นั่นเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าท่านต้องเก่งกาจอย่างซูเปอร์แมน หรือมีของวิเศษอย่างโดราเอมอนจึงจะเรียกว่าฮีโร่ อย่าลืมว่าที่โดราเอมอนสำคัญต่อเด็กขี้แยอย่างโนบีตะไม่ใช่เพราะของวิเศษเท่านั้น หากแต่เป็นมิตรภาพ และเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันต่างหาก การเป็นฮีโร่ที่พ่อแม่สามารถมอบให้ลูกนั้นคือการเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เป็นความภาคภูมิใจ รวมถึงเป็นแบบอย่างความเชื่อให้กับลูกด้วย คำว่าฮีโร่มีความหมายอยู่ในตัวของมันเอง ฮีโร่คือคนที่เด็กๆ ชื่นชอบและยึดเป็นแบบอย่าง ไม่สำคัญว่ารูปร่างภายนอกและการแต่งกายเราจะเหมือนฮีโร่หรือไม่ แต่ฮีโร่สำหรับลูกๆ ก็คือคนที่ปกป้องและไม่ทอดทิ้งพวกเขาความอ่อนโยนและอบอุ่นของพ่อแม่ต่างหากคือความเข้มแข็งของฮีโร่อย่างที่ลูกต้องการ
ประการสุดท้าย “พระคัมภีร์คือคู่มือพ่อแม่ที่ดีที่สุด” พระคัมภีร์กล่าวว่า “…จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ในปัจจุบันมีผู้รู้ผู้ชำนาญมากมายพยายามที่จะเขียนคู่มือการเป็นพ่อแม่ ซึ่งในหลายๆ ครั้งตำราแต่ละเล่มก็สอนขัดแย้งกันเอง จนทำให้พ่อแม่หลายคนไม่รู้ว่าจะยึดความเชื่อใดเป็นหลักในการเลี้ยงลูก ผมอยากหนุนใจให้พ่แม่ทุกคนยึดเอาพระคัมภีร์เป็นแก่นความเชื่อในการอบรมสั่งสอนลูกๆ ยึดพระเยซูคริสต์เป็นฮีโร่สำหรับตนเอง เพื่อว่าเมื่อลูกๆ เห็นพ่อแม่พวกเขาจะเห็นฮีโร่ตัวจริง คือพระเยซูคริสต์ในชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ทุกๆ คน เขาย่อมเปิดใจ ต้อนรับพระองค์ด้วยเช่นกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นลูกๆ อ่านพระคัมภีร์ ถ้าเขาไม่เคยเห็นพ่อแม่หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่าน และยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะเห็นลูกๆ รักคริสตจักรหากพ่อแม่ยังคงพาเขาไปเรียนพิเศษในวันที่ครอบครัวควรมานมัสการพระเจ้า คนหนุ่มสาวที่มาคริสตจักรไม่ทันเวลานมัสการ โดยมากก็เติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนไม่ตรงเวลานั่นเอง ชีวิตของพ่อแม่เปรียบเสมือนพระคัมภีร์ทั้งเล่มสำหรับลูกๆ ที่เขาจะศึกษาและเลียนแบบ ผมจึงขอหนุนใจคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านอีกครั้งว่าทุกท่านสามารถเป็นฮีโร่ตัวจริงของลูกๆ จงให้เกียรติบทบาทพ่อแม่ของตนเองและให้เกียรติคู่สมรสของท่าน รักษาและหวงแหนบทบาทความเป็นพ่อแม่ที่ไม่มีใครทำแทนท่านได้ และหมั่นศึกษาคู่มือสำหรับพ่อแม่ที่ดีที่สุดในโลกนั่นคือพระคัมภีร์ ผมเชื่อว่าลูกจะกำมือของท่านแน่นด้วยความรักและภาคภูมิใจ ไม่ว่าท่านจะเป็นคนจูงลูก หรือวันนี้ลูกจะเป็นคนจูงท่านแล้วก็ตาม เพราะท่านคือฮีโร่ตัวจริงสำหรับเขาเสมอ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Vgstockstudio – Freepik.com