ฟ้าหลังฝน
คำพยานจากอาจารย์อภิสิทธิ์ ศิษย์เก่า บี.ไอ.ที “เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน”
ระหว่างร่างกายภายนอกที่กำลังทรุดโทรมไปด้วยการถูกรุมเร้าจากโรคร้ายซึ่งพร้อมจะคร่าชีวิตไปได้ทุกเมื่อ กับจิตใจภายในที่ยังดีอยู่ กำลังหาได้ทรุดโทรมไปตามร่างกายไม่ ฟังดูแล้วความหมายช่างขัดกันเสียเหลือเกิน แต่นี่คือความจริง จากชีวิตของอาจารย์อภิสิทธิ์ มะโนนำ อนุศาสกโรงเรียนอุดรคริสเตียนวิทยา ผู้ที่เคยต่อสู้กับโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ท่านเล่าให้ฟังว่า
เมื่อปลายปี พ.ศ. 2544 ผมเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณขาพับ จึงลองไปตรวจดู จากผลการตรวจ คุณหมอลงความเห็นว่า ต่อมน้ำเหลืองอักเสบและบริเวณขาหนีบมีอาการอักเสบ การดูแลรักษาในระยะแรกดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะนานวันเข้า มันก็เริ่มทรมานมากขึ้น มากขึ้น มากจนไม่สามารถจะทนต่อไปได้ ในที่สุด ต้องขอร้องให้คุณหมอผ่าตัด หวังใจว่าอาการปวดแสบปวดร้อนที่แสนจะทุกข์ทรมานนี้จะได้หายไปเสียที การขอร้องเป็นผลสำเร็จ คุณหมอตกลงจะผ่าตัดให้เพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย หลังจากตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจแล้วก็ต้องนอนระบมอยู่ 3 คืนเต็มๆ อาการจึงค่อยทุเลา ส่วนผลการตรวจ คุณหมอนัดให้มาดูอีก 3 อาทิตย์ และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง วันนั้นหัวใจเต้นแรงมาก ตื่นเต้นเหมือนกำลังรอลุ้นฟังผลสอบเอนทรานซ์ และพอผลการตรวจออกมาก็ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นเหมือนกัน เพราะชิ้นเนื้อที่ตัดไปตรวจนั้นเป็นเนื้อร้าย ต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่องทันที คุณหมอก็รีบนัดให้มาเอกซเรย์เพื่อตรวจหาการลุกลามของเชื้อ ก่อนจะเอกซเรย์ พยาบาลเอาน้ำสีแดงมาให้ดื่มประมาณ 2-3 ขวด ยานี้ออกฤทธิ์เหมือนยาถ่าย พอดื่มเข้าไปแล้วก็วิ่งเข้าห้องน้ำแทบทุกชั่วโมง จากนั้นก็ไปนอนรอในห้องแอร์ที่เย็นเฉียบ ซึ่งจะว่าไปแล้วความรู้สึกในจิตใจนั้นเย็นเฉียบกว่าแอร์เสียอีก นอนรออยู่อย่างนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 10:13 กล่าวไว้ว่า “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้” พระวจนะของพระเจ้าเสริมสร้างคนของพระองค์ให้แข็งแกร่งและกระทำให้จิตใจที่หวาดกลัวได้รับการหนุนใจ หลังจากนอนรออยู่นาน จู่ๆ ก็มีคนพาออกไปจากห้องและถูกนำตัวส่งไปที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง ก่อนหน้านั้นรักษาที่โรงพยาบาลค่ายทหาร พอย้ายมาที่นี่ก็เริ่มคิดในใจว่า อาการคงจะสาหัสมาก แล้วก็มากจริงๆ เพราะต่อมามีคำสั่งให้ฉายรังสีสกัดจุดแพร่เชื้อ 4 จุด ต้องทำวันละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 18 วัน ช่วงนั้นอาบน้ำไม่ได้ ตัวเป็นเกล็ดเหมือนปลาดุกย่างเลย ถ้าจะพูดถึง ณ เวลานั้น ขำไม่ออกเหมือนกัน แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า แม้ว่าร่างกายจะบอบช้ำด้วยวิธีการต่างๆ มากมายที่เป็นผลจากการรักษา แต่ร่างกายก็ยังคงแข็งแรงอยู่
จากนั้นเดือนต่อมาก็เข้าสู่การทำคีโม ต้องทำ 6 ครั้งแต่ละครั้งทิ้งช่วงห่าง 3 สัปดาห์ การทำคีโมก็คือ การใช้ยาเคมีฉีดเข้าไปตามสายน้ำเกลือประมาณ 7-8 หลอด ดูเหมือนว่าการรักษาจะมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างมาก เพราะปฏิกิริยาหลังจากได้รับการทำคีโมแล้วคือร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย อยากอาเจียน แพ้กลิ่น แพ้อาหาร ผมร่วงและบางครั้งร่างกายก็ไม่สามารถทำคีโมได้เพราะเม็ดเลือดขาวไม่พอ ต้องรอ ช่างเป็นความทุกข์ทรมานที่รวมกับความกลัว จึงทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เหมือนกับตัวเองกำลังเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ความหวังที่จะหายดูช่างเลือนลางเสียเหลือเกิน และไม่รู้ว่าเวลาของชีวิตจะหยุดเดินเมื่อไหร่ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าทรงสัญญาว่า “โรคนั้นจะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะโรคนั้น” นี่เป็นพระสัญญาของพระเจ้า
โดยทั่วไปแล้ว เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ความเชื่อมักจะจางหายไปเมื่อมองดูความเป็นจริง แล้วผมจะตัดสินใจเชื่ออย่างไรดี ในเมื่อสถานการณ์ความเป็นจริงกับพระสัญญาของพระเจ้านั้นไม่สอดคล้องกัน เมื่อเราจ้องมองสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ก็จะทำให้ลืมพระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานให้ ความเชื่อแท้จึงไม่ได้สร้างบนพื้นฐานของสถานการณ์จริงแต่ได้สร้างบนพระสัญญาของพระเจ้า เมื่อเราเอาพระสัญญาของพระเจ้ามาเป็นความแน่ใจ ความเชื่อของเราก็มั่นคงและสามารถจะยืนอยู่บนศิลาได้อย่างไม่หวั่นไหว ขอเพียงพระเจ้าทรงสัญญาไว้เท่านั้น เราสามารถไว้วางใจได้อย่างสุดใจ และแล้วการรักษาทางการแพทย์ก็ผ่านไปจนครบทุกกระบวนการ ขอบคุณพระเจ้าผลของการรักษาเป็นไปอย่างคาดไม่ถึง โรคร้ายได้รับการรักษาให้หาย ความทุกข์ทรมานปิดฉากลงด้วยการอัศจรรย์จากพระเจ้า
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้งคือการพึ่งพาพระเจ้าอย่างสุดใจและยอมมอบถวายชีวิตแด่พระองค์ เพื่อให้ทุกสิ่งที่มีอยู่ถวายเกียรติต่อพระเจ้า วินาทีนั้นนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรม 2 โครินธ์ 12:9 ที่กล่าวว่า “…การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า”
จากวันนั้นถึงวันนี้สำหรับ อาจารย์อภิสิทธิ์ มะโนนำ พายุใหญ่และเมฆหมอกดำมืดน่าสะพรึงกลัวได้ผ่านพ้นไปแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า รุ้งแห่งพระสัญญาย่อมปรากฏขึ้นหลังฝน ท้องฟ้าในวันใหม่สดใส ชีวิตเต็มไปด้วยความหวัง พลังใจ พร้อมเดินหน้ารับใช้พระเจ้าในงานศาสนกิจของโรงเรียนต่อไป อย่างเข้มแข็งและอดทน อย่างยืนหยัดและกล้าหาญ อาจารย์อภิสิทธิ์ มะโนนำ (อนุศาสก โรงเรียนอุดรคริสเตียนวิทยา จ. อุดรธานี) ปัจจุบันอายุ 42 ปี
- อาจารย์อภิสิทธิ์ มะโนนำ
- ภาพ Poringdown – Freepik.com