มั่นคง (ในความเชื่อ) ไว้ ดังเช่นตะวัน

มั่นคง (ในความเชื่อ) ไว้ ดังเช่นตะวัน

เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า เก็บเอามาใส่ไว้ในใจ  เก็บพลังเก็บแรงแห่งแสงยิ่งใหญ่ รวมกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว
เก็บเอากาลเวลาผ่านเลย สิ่งที่เคยผิดหวังช่างมัน หนึ่งตัวตนหนึ่งคนชีวิตแสนสั้น เจ็บแค่นั้นก็คงไม่ตาย ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้ม เมฆหม่น พายุฝนอยู่บนฟากฟ้า คงไม่นานตะวัน

สาดแสงแรงกล้า ส่งให้ฟ้างดงาม  หากตะวัน ยังเคียงคู่ฟ้า จะมัวมาสิ้นหวังทำไม เมื่อยังมีพรุ่งนี้ให้เดินเริ่มใหม่ มั่นคงไว้ ดังเช่นตะวัน…

เสียงเพลง “เก็บตะวัน” อันไพเราะจากน้องแก้ว….ลูกสาวคนโตของคุณอิทธิ พลางกูร เจ้าของบทเพลงผู้โด่งดังเมื่อราวเกือบ 20 ปีมาแล้ว ดังก้องกังวานไปทั่วห้องประชุมของสมาคมพระคริสตธรรมไทยในบ่ายวันหนึ่งซึ่งเธอและคุณแม่ ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนและส่ง “ไก่ทอดเก็บตะวัน น้ำพริกยังจำไว้” ซึ่งทางสมาคมฯ ต้องขอขอบคุณครอบครัว “พลางกูร” ไว้ ณ โอกาสนี้ ที่ให้เกียรติพวกเราชาวสมาคมฯ ได้ฟังเพลงไพเราะและได้มีโอกาสสัมภาษณ์เรื่องราวคำพยานของคุณเจี๊ยบถึงชีวิตครอบครัวที่ผ่านมาและหลังจากคุณอิทธิได้จากครอบครัวไป สมาคมฯ เชื่อว่าเรื่องราวของครอบครัว “พลางกูร” ที่ท่านจะได้อ่านต่อจากนี้ไปจะสามารถหนุนใจหลายท่านที่กำลังต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้เป็นอย่างดี

คุณเจี๊ยบ หรือ นางชาญดา ลียะวณิช อายุ 44 ปี เล่าให้ฟังถึงอดีตว่า เธอเป็นชาวนครศรีธรรมราช ตอนเด็กได้มีโอกาสเรียนที่โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสเตียนในสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย และได้อธิษฐานรับเชื่อที่โรงเรียนนั่นเองแต่ยังไม่ได้ทำพิธีบัพติศมา  เมื่อโตขึ้นได้เข้าเรียนระดับมัธยมปลายที่กรุงเทพฯ จึงเริ่มห่างจากพระเจ้า เรียกว่าพุทธก็ไม่เป็น โบสถ์ก็ไม่ไป ต่อมาเธอได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ โดยเรียนไปทำงานไป ในที่สุดก็เลิกเรียนและตัดสินใจไปทำงานเป็นผู้จัดการธุรกิจเครื่องหนังในห้างแห่งหนึ่งอย่างเต็มตัว ช่วงนี้เองที่เธอได้มีโอกาสรู้จักกับคุณอิทธิ พลางกูร โดยผ่านทางเพื่อนร่วมงานของเธอผู้ซึ่งสามีทำงานอยู่กับคุณอิทธิ  ตอนนั้นคุณเจี๊ยบอายุประมาณ 23 ปี ก็ได้คบหาดูใจกับคุณอิทธิจนเป็นแฟนกัน ช่วงนั้นเธอได้ช่วยดูแลคุณย่าของคุณอิทธิที่กำลังป่วยเป็นอัมพาต ทำให้ต้องไปทำบุญทำสังฆทานให้คุณย่าที่วัดบ้าง ไปนิมนต์พระมาที่บ้านบ้าง มีการทำพิธีต่าง ๆ บ้าง เพื่อหวังให้คุณย่าหายและได้ทำบุญเพื่อความสบายใจ เมื่อคุณย่าเสียชีวิตในเวลาต่อมาเธอก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดทำพิธีศพทางพุทธทั้งสิ้น ทำให้เธอกลับไปนับถือศาสนาพุทธและหลงหายจากพระเจ้าไปโดยสิ้นเชิง

ประมาณปลายปี 2532 เธอได้อยู่กินกับคุณอิทธิแบบเงียบ ๆ และตั้งท้องลูกคนแรก เวลานั้นคุณอิทธิกำลังออกอัลบั้ม “เก็บตะวัน” ทำให้มีงานยุ่งมากจึงไม่มีเวลาดูแลเธอ แต่ด้วยความเป็นห่วงจึงให้เธอย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ซึ่งคุณพ่อของคุณอิทธิเคยเป็นคุณหมออยู่ที่นั่น (แต่เวลานั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว) รวมถึงญาติ ๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นั่น เธอกับคุณอิทธิจึงแยกกันอยู่นับแต่นั้นมา ไม่นานนักอัลบั้ม “เก็บตะวัน” ก็ฮิตติดตลาด เธอเล่าว่าช่วงที่อยู่เชียงใหม่นั้นเธอใช้จ่ายเงินที่คุณอิทธิส่งมาให้อย่างสุรุ่ยสุร่ายเพื่อตอบสนองความต้องการด้านเนื้อหนัง รวมทั้งเพื่อชดเชยความรู้สึกทุกข์ลึก ๆ ในหัวใจที่เธอบอกว่ามันเป็นความทุกข์ใจที่อยากอยู่กับสามีเหมือนครอบครัวอื่นแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แค่เพียงทรัพย์สินเงินทองที่มาซื้อความสุขแต่มันไม่สามารถซื้อได้อย่างแท้จริง แต่เธอก็ใช้ความอดทนเหมือนที่เธอเคยเรียนพระคัมภีร์มาว่า ความรักต้องอดทนนานและภรรยาต้องให้เกียรติสามี ทุกครั้งที่คุณอิทธิมาหาที่เชียงใหม่เธอจึงไม่เคยถามจุกจิกหรือเรียกร้องสิ่งที่ทำให้คุณอิทธิลำบากใจอึดอัดใจ สิ่งนี้เองที่ทำให้คุณอิทธิบอกว่ารักเธอและใครจะมาแตะต้องเธอไม่ได้ เธอใช้ชีวิตคู่อยู่กับคุณอิทธิแบบแยกกันอยู่ตลอดมาและมีลูกด้วยกัน 3 คน คือ นส.ญาดา พลางกูร (ลูกแก้ว) อายุ 18 ปี,นส.ปริยากร พลางกูร (ลูกเกด) อายุ 17 ปี และ ดญ. ฤริชญา พลางกูร (น้องเกียร์) อายุ 12 ปี

พระเมตตาที่มาถึงยามทุกข์ยาก
เธอและลูกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินทองเรื่อยมาจนกระทั่งยุค IMF ในปี 2540 ทุกอย่างเริ่มมีปัญหา ค่ายเพลง “มิวสิคออนเอิร์ท” ของคุณอิทธิ (หลังจากที่คุณอิทธิออกจากค่ายเพลงอาร์เอส ราวปี 2538-39 ก็ได้ตั้งค่ายเพลงของตนเอง) เริ่มประสบปัญหาต่าง ๆ ธุรกิจเริ่มขาดทุนจนมีหนี้สินมากมาย เธอกับคุณอิทธิพยายามขยับขยายทำธุรกิจด้านอื่นเพื่อกู้สถานการณ์ เธอได้ไปเปิด “โรงเรียนดนตรีและการแสดงดาราโชติ” ที่ จ.พิษณุโลก แต่ก็ขาดทุนจนต้องปิดกิจการลงเช่นกันทำให้ภาวะทางการเงินที่ติดลบอยู่แล้วยิ่งติดลบมากขึ้น เป็นเหตุให้คุณอิทธิเครียดมากและล้มป่วยในเวลาต่อมาราวปลายปี 2545 ด้วยโรค “มะเร็งลำไส้”  ทำให้เธอได้ย้ายเข้ามาอยู่ดูแลคุณอิทธิที่กรุงเทพฯ อย่างถาวร ช่วงขณะที่คุณอิทธิล้มป่วยอยู่นี้เองเธอมีโอกาสได้งานทำเป็นคนขายประกัน ชีวิต มีอยู่วันหนึ่งเธอจำเป็นต้องไปพาลูกค้าไปตรวจสุขภาพซึ่งตรงกับวันที่เธอมี นัดกับเพื่อนชาวคริสเตียนที่รู้จักกันจะมาเยี่ยมเธอกับครอบครัว เธอก็กะคำนวณเวลาว่าคงเสร็จทันเวลาพอดีที่จะกลับไปต้อนรับแขกที่บ้าน แต่ผลการตรวจสุขภาพลูกค้าในวันนั้นก็ช่างน่าแปลกตรวจเท่าไหร่ก็ไม่ผ่าน ความดันโลหิตของลูกค้าไม่ยอมลดลงแม้จะให้พักแล้วมาตรวจใหม่ก็ยังสูงอยู่ เหมือนเดิม จนทำให้เธอไม่สามารถกลับบ้านไปทันเวลานัดได้ คุณอิทธิซึ่งปกติเป็นคนที่พูดน้อย เก็บตัว ขี้อาย ถ้าไม่ใช่คนสนิทก็มักจะขอตัวไม่อยู่คุยด้วย แต่วันนั้นจำเป็นต้องอยู่ต้อนรับแขกที่เป็นพี่น้องชาวคริสเตียนแทนเธอจน กระทั่งแขกกลับ เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านจึงทราบว่าคุณอิทธิได้รับเชื่อในวันนั้นเอง ซึ่งเธอก็ถามไปว่าทำไมจึงรับเชื่อ คุณอิทธิตอบว่า…ใช้เวลามาตั้งครึ่งชีวิตจะ 50 ปีแล้ว มีแต่เรื่องเวรเรื่องกรรม พอทำธุรกิจไม่ดีวิ่งไปหาพระ ๆ ก็บอกว่ามีเวรเยอะมีกรรมเยอะให้ทำบุญทำทาน ทำสังฆทาน ซึ่งทำทุกอย่างแล้วแก้ทุกอย่างแล้วก็ยังไม่เห็นจะดี ไปเที่ยววิ่งหาพระใหม่ก็บอกว่ายังไม่หมดเวรหมดกรรม ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดซะที จะลองรับเชื่อดูสัก 3 เดือน ถ้าไม่ดีก็กลับไปนับถือของเดิมได้ไม่เสียหายอะไร…แต่ คุณเจี๊ยบบอกว่าไม่ได้ เชื่อแล้วต้องเชื่อเลยและต้องอ่านพระคัมภีร์ด้วย คุณอิทธิจึงบอกว่าอยากให้คุณเจี๊ยบรับเชื่อด้วยซึ่งเธอก็บอกไปว่าเธอเชื่อ อยู่แล้ว…จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มไปคริสตจักรความหวังคลองเตยด้วยกัน อ่านพระคัมภีร์ร่วมกัน

คุณเจี๊ยบเล่าถึงความเชื่อของคุณอิทธิในช่วง 2 ปีที่ได้รับเชื่อว่ามีความเข็มแข็งมาก ในขณะที่เธอยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง หลายครั้งเมื่อมีเพื่อนที่ทำงานชวนให้ไปดูดวง ผูกชะตา บอกว่าหมอที่นั่นที่นี่เก่งอาจช่วยให้คุณอิทธิหายป่วยได้ เธอก็ถูกล่อลวงให้หลงตามไปโดยมาชวนคุณอิทธิว่าไปไหม? แต่คุณอิทธิตอบอย่างหนักแน่นว่า..ไม่เด็ดขาดถึงแม้ว่าวันนี้จะต้องตาย..เธอจึงรับรู้ว่าความเชื่อของสามีนั้นมั่นคงสมบูรณ์มาก คุณอิทธิยังล้อเธออีกด้วยว่า..เจี๊ยบอย่าเป็นแบบเอวาที่ถูกล่อลวงไปนะ..คุณ เจี๊ยบเล่าต่อด้วยใบหน้าและแววตาที่บ่งบอกถึงความสุขยามเมื่อรำลึกถึงภาพ ความหลังว่า..อันที่จริงก่อนคุณอิทธิจะเสียชีวิตนั้นคุณอิทธิมีความหวังมี กำลังใจมากและสุขภาพอยู่ในสภาพที่แข็งแรงดี มีการเตรียมงานเพื่อจะออกอัลบั้มเพลงใหม่อีก 1 ชุด ที่สำคัญคือทั้งคู่เตรียมจัดงานแต่งงานตามพิธีของชาวคริสเตียนคือทำพันธ สัญญาต่อพระเจ้า เพราะใช้ชีวิตอยู่กินกันมาโดยไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานใด ๆ มาก่อน ทั้งคู่ได้ปรึกษาพูดคุยวางแผนร่วมกันไว้หมดแล้วว่าจะจัดงานที่โรงแรมไหน จัดกี่โต๊ะ ใครมีหน้าที่ทำอะไร ใครจะอ่านพระคัมภีร์ ใครจะถือพาน เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะเขียนความรู้สึกในใจให้ต่อกัน คุณอิทธิจะประกาศความรักที่เขามีต่อคุณเจี๊ยบให้ทุกคนได้รู้ในวันนั้นโดยมี ผู้ใหญ่และพี่น้องในคริสตจักรเป็นที่ปรึกษาให้ความช่วยเหลือและพิธีแต่งจะ จัดขึ้นในวันที่ 30 ม.ค. 2548..แต่คุณอิทธิก็มาเสียชีวิตลงก่อนในบ่ายวันที่ 11 พ.ย. 2547

หลังจากคุณอิทธิเสียชีวิต คุณเจี๊ยบเป็นเหมือนคนเสียสติปล่อยเนื้อปล่อยตัว เก็บตัวไม่อยากพบใคร มองไปทางไหนก็คิดถึงแต่คุณอิทธิ ตอนนั้นเธอคิดแต่ว่าเธออยู่ไม่ได้อีกแล้วเธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง เธอรู้สึกหมดสิ้นทุกอย่างถึงขั้นอยากจะฆ่าตัวตายตามสามีไป เธอเป็นโรคซึมเศร้าอย่างแรงจนต้องไปพบแพทย์ซึ่งแนะนำให้เธอพยายามหา เพื่อนอย่าอยู่คนเดียวให้มีสังคมพบปะคนมาก ๆ จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่อาการเธอหนักมากเธอสร้างโลกส่วนตัวฟังแต่เสียงตัวเองไม่สนใจคนรอบข้างแม้ แต่ลูก กระทั่งลูก ๆ ต้องร้องไห้เพราะอาการที่แย่ลงของเธอ ด้วยความรักความสงสารลูกคุณเจี๊ยบจึงได้คิดและอยากอยู่เพื่อลูกต่อไป เธอเริ่มเข้าสังคมด้วยการไปเรียนภาษาอังกฤษที่ศูนย์รวมนักศึกษาแบ๊บติสแถว พญาไทเพื่อไม่ให้มีเวลาว่างมาก รวมทั้งเริ่มหันมาใส่ใจงานประกันชีวิตอีกครั้งทำให้เธอมีรายได้เข้ามาจุน เจือครอบครัวและเพียงพอที่จะจ่ายหนี้สินที่มีอยู่ในแต่ละเดือน…แต่แล้ว ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากบริษัทประกันชีวิตที่เธอทำ งานอยู่ทำให้ขาดรายได้ไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่บ้าน 2 หลัง รถ 3 คัน (คุณอิทธิซื้อไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่) ยังคงต้องผ่อนส่งต่อเดือนละประมาณ 8 หมื่นบาท เงินที่พอมีเหลืออยู่ก้อนสุดท้ายเธอก็นำไปชำระหนี้บ้านจนหมดเพื่อหวังจะให้ยอดหนี้ลดลง ทั้งนี้โดยไม่ได้คิดเก็บเงินสำรองไว้ทำทุนเลยเพราะเธอคิดว่าเธอจะสามารถหางานหาเงินมาชำระหนี้ที่เหลือได้ในไม่ช้า แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเธอยังคงตกงาน จนในที่สุดเธอต้องเก็บข้าวของในบ้านที่มีอยู่ไปขายทีละชิ้นสองชิ้นเท่าที่จะขายได้ รถก็ถูกยึดไป 1 คัน เธอเริ่มหมดหวังและปิดใจต่อทุกสิ่งอีกครั้ง คริสตจักรที่ก่อนหน้านี้ยังเคยไปบ้างก็ตัดสินใจไม่ไปอีกเลย คุณเจี๊ยบบอกว่าแต่พระเจ้าผู้แสนน่ารักไม่เคยทอดทิ้งให้เธอกับลูก ๆ อดตาย วันไหนไม่มีเงินกินข้าวพระเจ้าก็ทรงนำให้คนพาไปเลี้ยงข้าวบ้าง ติดต่อมาขอให้ลูกสาวไปร้องเพลงตามงานต่าง ๆ บ้าง ซึ่งทุกครั้งจะได้รับเงินเป็นรางวัลมาแม้ไม่ได้มากมายแต่ก็พอจะเลี้ยงดูทุกคนให้อยู่ต่อไปได้แบบวันต่อวัน “เจี๊ยบเชื่อว่าเป็นช่วงการตีสอน พระองค์ไม่ให้เราอดแต่ให้เรามีเรี่ยวแรงกำลังต่อไปในแต่ละวันและเพื่อให้เรารู้คุณค่าของเงินของการใช้ชีวิต เจี๊ยบบอกลูกเสมอว่า ไม่เป็นไรนะลูกพระเจ้ากำลังสอนแม่อยู่ ให้แม่รู้จักพึ่งพาพระองค์” …นับเป็นเวลากว่า 1 ปี ที่คุณเจี๊ยบไม่มีงานทำไม่มีรายได้ ต่อมามีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่นับถือกันซึ่งเธอเรียกว่าแม่จำปี โทรมาชวนให้ไปทำงานที่บริษัทประกันชีวิตอีกแห่งหนึ่งทำให้เธอได้เริ่มงานขายประกันชีวิตอีกครั้งในเดือนมกราคม ปี 2550 และเริ่มมีรายได้เข้ามาแต่ไม่สามารถจ่ายทันหนี้สินที่เริ่มพอกพูนจากดอกเบี้ยและการขาดส่ง อันที่จริงเธอบอกขายบ้านมาตลอดเวลาที่มีปัญหาแต่ไม่มีคนติดต่อเข้ามาเลยซึ่งเธอก็แปลกใจและจนใจมาก เธอจึงต้องขายรถที่เหลือไปจนหมดถึงกระนั้นก็ยังไม่พอจ่ายให้กับเจ้าหนี้…ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางปัญหาที่รอการแก้ไข และเธอยังคงไม่คิดที่จะกลับไปคริสตจักร จนกระทั่งราวปลายปี 2550 เธอได้มีโอกาสพบกับ อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ ผู้อำนวยการของศูนย์รวมนักศึกษาแบ๊บติส สี่แยกพญาไท (ที่ซึ่งเธอเคยไปเรียนภาษาอังกฤษ) ท่านได้เทศนาสอนเธอหลายเรื่อง ช่วยเหลือเธอหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกับชวนให้ไปเข้ากลุ่มเซลล์และไปคริสตจักร เธอตัดสินใจเลือกไปที่ Church of Joy สุขุมวิท 16 ซึ่งสะดวกสำหรับการเดินทาง นับแต่นั้นมาเธอจึงได้ไปนมัสการพระเจ้าและได้เรียนพระคัมภีร์อีกครั้งหนึ่ง

“ไก่เก็บตะวัน น้ำพริกยังจำไว้”
นอกจากงานขายประกันชีวิตแล้ว คุณเจี๊ยบเริ่มมองหาช่องทางอื่นที่จะเพิ่มรายได้ให้ทันกับรายจ่ายที่เธอจะ ต้องผ่อนชำระหนี้สินซึ่งได้รับการช่วยเหลือและแก้ไขให้ลดเหลือเดือนละประมาณ 5 หมื่นบาท (นี่ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายกินอยู่ต่าง ๆ และค่าเล่าเรียนของลูก ๆ) เธอจึงไปรับของจากเพื่อนมาขาย (เป็นพวกสบู่สมุนไพร อาหารเสริม ฯลฯ) ตามงานแฟร์ต่าง ๆ แต่ก็ขายไม่ดี จนได้พบกับคุณอัญชลี ชัยศิริ ชวนไปขายของที่ช่อง 3 (เป็นงานที่จัดให้เหล่าดาราไปขายของทุกสิ้นเดือน) และได้เจอกับคุณเอ-แหม่ม เชิญยิ้ม ซึ่งขายยำปลาดุกฟูในงานนั้น ทั้งคู่ได้แนะนำให้คุณเจี๊ยบขายอาหารจะดีกว่า เธอคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรแต่เมื่อกลับถึงบ้านก่อนเข้านอน ภาพครอบครัวปูเสื่อใต้ต้นลำไยนั่งทานอาหารที่ใช้ต้อนรับคุณอิทธิเป็นมื้อแรกทุกครั้งยามเมื่อเดินทางไปหาลูกเมียที่เชียงใหม่คือ ข้าวเหนียว ไก่ทอด น้ำพริกหนุ่ม ชัดเจนขึ้นมาในความทรงจำพร้อมคำว่า “ไก่ทอดเก็บตะวัน น้ำพริกยังจำไว้” ก็ผุดขึ้นมาในคืนนั้นเอง..มกราคม 2551 เป็นต้นมาเธอจึงเริ่มทำไก่ทอดและน้ำพริกหนุ่มด้วยสูตรของเธอเองโดยนำไปขายตามงานเทศกาลต่าง ๆ ที่จัดขึ้นแต่ก็ขายไม่ได้ดีนัก ทำเองคิดเองขายเองคนเดียวทุกอย่าง เมื่อขายไปได้เพียง 3 งานหนังสือพิมพ์ก็สัมภาษณ์นำเรื่องราวของเธอไปลงเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ทำให้ไก่ทอดเก็บตะวันเริ่มเป็นที่รู้จักและมีลูกค้าติดต่อสั่งซื้อเข้ามามาก ขึ้น ต่อมามีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้ติดต่อให้ไปขายที่ตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ เนื่องจากเธอไม่มีทุนทรัพย์ในการลงทุนมากนักจึงเปิดเป็นร้านเล็ก ๆ ปัจจุบันมีพนักงานขายเพียงคนเดียวเท่านั้น คุณเจี๊ยบบอกว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจประเภทนี้มาก่อน จึงดำเนินธุรกิจแบบทำไปเรียนรู้ผิดถูกไปด้วยตนเอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เองเธอได้รับการส่งเสริมจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ไป เข้าอบรบโครงการผู้ประกอบการรายใหม่ที่มหาวิทยาลัยประสานมิตร เป็นโครงการที่รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนซึ่งโครงการนี้จะช่วยทำให้เธอได้รับความ รู้ในการประกอบธุรกิจใหม่ของเธออย่างครบวงจร…ขณะพูดคุยคุณเจี๊ยบได้กล่าว ขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา เธอเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นพระคุณของพระเจ้าที่เมตตาทรงนำและ เสริมสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้กับเธอทีละขั้นทีละตอน…

พระผู้สร้างทรงเลี้ยงดู
แม้ทุกวันนี้คุณเจี๊ยบจะยังมีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งต้องดูแลลูกสาว 3 คนที่กำลังอยู่ในวัยเรียนวัยกำลังกินกำลังนอน แต่เธอไม่คิดท้อใจเธอเชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลเธอและลูก ๆ เป็นอย่างดี เธอขอบคุณพระเจ้าที่ลูกสาวคนโต (ลูกแก้ว) ได้ทุนเรียนด้านการดนตรีที่มหาวิทยาลัยรังสิต ลูกสาวคนกลาง (ลูกเกด) เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบดินทร์เดชา 2 ส่วนลูกสาวคนเล็ก (น้องเกียร์) ซึ่งเป็นเด็กพิเศษที่ทางการแพทย์เรียกว่าเป็นโรค LD (ผู้เป็นจะมีปัญหาการผสมสระบกพร่องคือการอ่านและสมองไม่สัมพันธ์กัน เช่นถ้าให้ดูและทำความเข้าใจผสมเองตามวรรณยุกต์จะทำไม่ได้ แต่การฟังและสมองจะใช้ได้ดีคือถ้าให้อ่านจากความจำจากการได้ยินได้ฟังจะทำได้ดี) สามารถสอบเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ ศาลายา จ. นครปฐม (วิทยาลัยแห่งนี้จะสอนนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จากนั้นก็เรียนต่อระดับ ปวช.-ปวส. ต่อไปจนถึงระดับปริญญาตรี) ด้วยความสามารถของตนเอง  คุณเจี๊ยบอธิบายเพิ่มเติมถึงอาการอื่น ๆ ของลูกว่า “ปกติน้องเกียร์จะเป็นคนมีโลกของตัวเองช่างคิดช่างฝัน มีจินตนาการของตัวเองสูงมาก หมอเคยบอกว่าการใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นจะทำได้ลำบาก เจี๊ยบขอบคุณพระเจ้า น้องเกียร์สามารถอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นได้ ช่วยเหลือตัวเองได้เป็นอย่างดี ใช้ชีวิตเป็นปกติกับเพื่อนได้ ไม่มีอาการเหม่อซึมหรือมีปมด้อยเหมือนที่หมอบอกว่าควรจะเป็นในคนไข้ประเภทนี้ แต่น้องเกียร์กลับเป็นเด็กชอบแสดงออกจนเป็นที่รู้จักของเพื่อน ๆ”

เมื่อถามว่าเธอยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่นี้ด้วยเรี่ยวแรงและกำลังใจจากไหน เธอตอบว่า เธอยึดพระคัมภีร์อยู่ 2 บทในการดำเนินชีวิตที่ทำให้เธอมีกำลังใจและมีความหวังเสมอคือ “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ” มธ.6:26  และเธอเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูเธอและครอบครัวเหมือนในพระธรรมสดุดี บทที่ 23 ซึ่งกล่าวไว้ว่า

“พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใด ๆ
เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์
พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่
แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์”

       “เจี๊ยบขอบคุณพระเจ้า เวลานี้ชีวิตเจี๊ยบกำลังถูกสร้างใหม่โดยพระคุณ ไม่ใช่แค่ตัวเจี๊ยบเท่านั้นแต่รวมไปถึงลูก ๆ ด้วย พระเจ้าสอนเจี๊ยบกับลูกให้เป็นคนที่จะรู้จักถ่อมใจให้สุด ๆ ชีวิตที่เคยหรูหราถ้าไม่ตกลงมาต่ำสุดก็คงจะไม่ได้รู้จักพระคุณพระเจ้า ไม่ได้รู้จักผู้คนรอบตัว ไม่ได้รู้จักคนขึ้นรถเมล์หลายคนที่เป็นลูกค้าผู้อุดหนุนเจี๊ยบ เจี๊ยบถือว่าผู้คนเหล่านี้มีบุญคุณต่อเจี๊ยบ นอกจากนี้ยังมีพี่น้องคริสเตียนซึ่งเป็นพี่น้องในองค์พระเจ้าของเราซึ่งหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เจี๊ยบได้พี่น้องคริสเตียนคอยช่วยเหลือให้กำลังใจเจี๊ยบอยู่เสมอมา เจี๊ยบอยากบอกคนที่มีพระเจ้าอยู่แล้วว่าขอให้รักพระเจ้ามาก ๆ ถ้าท่านรู้สึกว่าวันนี้ท่านขอแล้วยังไม่ได้รับหรือท่านกำลังมีปัญหาบางสิ่งบางอย่างดูเหมือนพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานก็อย่าหมดกำลังใจ เพราะเจี๊ยบเชื่อว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ท่านกำลังถูกจัดเตรียมจากพระองค์ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับเชื่ออยากให้เข้ามารู้จักสัมผัสความรักและพระคุณของพระเจ้าด้วยตัวคุณเอง เพราะสิ่งแรกที่คุณจะได้รับและสัมผัสจากพระเจ้าเมื่อเข้ามาหาพระองค์ก็คือ ความรักและน้ำใจจากพี่น้องคริสเตียนทั้งหลายนั่นเอง”

หมายเหตุ: ขณะที่ปิดต้นฉบับนี้ คุณเจี๊ยบได้แจ้งให้ทราบว่าเธอได้ไปทดลองเปิดร้านที่ ฟูดคอร์ทนานาแสควร์ ชั้น 3 ตั้งอยู่ที่ปากซอยนานา และฟูดคอร์ทอิมพีเรียล ลาดพร้าว นอกจากนี้คุณเจี๊ยบยังรับทำอาหารกล่องตามสั่งรวมถึงรับจัดงานเลี้ยงนอกสถานที่ด้วย ท่านใดสนใจสามารถติดต่อเธอได้ที่ ร้านครอบครัว “อิทธิ พลางกูร” โทร. 086-565-7365

  • คุณชาญดา ลียะวณิช
  • ภาพ www.thairath.co.th