มิติใหม่… หัวใจเดิม

มิติใหม่… หัวใจเดิม

ปกติหัวใจของคนเราจะมีเส้นเลือด หล่อเลี้ยงอยู่ทั้งหมด 4 เส้น การทำงานของ หัวใจจึงจะถูกจัดเป็นระบบที่ดีและทำงาน ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น สำหรับหัวใจของ ธีระพงษ์ บูรณสมภพ อดีตนักธุรกิจวัย 54 ปี

แม้ว่าจะมีเส้นเลือด ครบตามจำนวนคนปกติแต่ก็อยู่ในสภาพที่ ไม่พร้อมเลยสำหรับการใช้งาน เพราะเส้นเลือด หัวใจที่มีอยู่กลายเป็นเส้นเลือดตีบไปแล้วถึง 3 เส้น เหลือใช้งานได้แค่เพียงเส้นเดียวเท่านั้น

คุณธีระพงศ์ล้มป่วยลงด้วยโรค เส้นเลือดหัวใจตีบตันตั้งแต่ช่วงปลายปี ค.ศ. 1995 สภาพหัวใจทำงานไม่ปกติและมีขีดความสามารถ ในการทำงานเพียงแค่ 20% เท่านั้น จากสภาพที่เป็นอยู่หมอลงความเห็นว่า “เขากำลังจะตาย” นักธุรกิจระดับแนวหน้าที่มีคนนับหน้าถือตาอย่างมากมายในวงสังคมชั้นสูง ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานอันโก้หรู อำนาจ เกียรติยศ เงินทอง ชื่อเสียง ทุกอย่างช่างเป็นชีวิตที่สมบูรณ์เสียจริงๆ ในสายตาของคนทั่วไป แต่พอมาถึงโค้งสุดท้ายของชีวิตที่ความตายกำลังจะคืบคลานเข้ามา ก็ดูราวกับว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะกลายเป็นหยากเยื่อที่ไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง “เมื่อถึงจุดหักเหของชีวิตในวินาที เกือบจะสุดท้าย ผมมองตนเองย้อนหลังกลับ ไปประมาณ 5 ปี เมื่ออาการยังไม่หนักมาก น้องชายต่างมารดาซึ่งเป็นคริสเตียนแล้ว ได้พยายามประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ให้กับผม และมักจะพาสมาชิกจากคริสตจักรมหาพรสุขุมวิทมาเยี่ยมบ่อยๆ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะมากันทำไม ไม่ค่อยชอบเลยแต่จำเป็นต้องต้อนรับเขา เพราะเขามาดี มาอธิษฐานเผื่อผม ร้องเพลงให้ผมฟังนอกจากนั้น น้องชายคนนี้ก็อธิษฐานเผื่อผมตลอดโดยที่ผมไม่รู้มาก่อน ทำแบบนี้มาประมาณ 5 ปี ผมก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็คิดหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่เหมือนกันว่า “เป็นคริสเตียนแล้วดีตรงไหน” ไม่เข้าใจ จนในที่สุด เมื่อผมไม่สบายมากต้องเข้าโรงพยาบาล และมาถึงจุดที่หมอบอกว่า ‘ผมจะไม่รอด’ ลูกสาวผม รู้ข่าวก็ตกใจ มาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลและร้องไห้ ผมก็งงว่าลูกเป็นอะไร ทำไมตัองร้องไห้มากมายขนาดนี้ เพราะตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่อง เวลานั้นหลายคนอธิษฐานเผื่อผมอย่างมาก พอผมรู้ความจริง ผมก็คิดว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย นี่ผมกำลังจะตาย ผมต้องตายจริงๆ หรือนี่

และแล้วเวลาที่พระเจ้าเฝ้าคอยให้ผมมาหาพระองค์ก็สิ้นสุดลงเมื่อผมคิดที่จะอธิษฐานขอกับพระเจ้าบ้าง หลังจากที่เห็นใครต่อใครมากมายอธิษฐานเพื่อผม ‘ผมขอชีวิตอีกสักครั้ง ผมอยากมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ ผมผิดเองที่ทำอะไรตามความปรารถนาของตัวเองเป็นหลัก ไม่รู้จักพอเสียทีที่จะแสวงหาลาภยศ และสิ่งอำนวยความสะดวกโดยไม่เข้าใจชีวิตที่แท้จริง มีชีวิตอยู่แบบสนุกสนานเฮฮาไปวันๆ ไม่ได้แคร์เลยว่าชีวิตจะเป็นยังไง’ นั่นคือสิ่งที่ผมบอก กับพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น บอกได้อย่างเดียวว่า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากสำหรับผม ปกติคนเป็นโรคหัวใจจะหายใจไม่ค่อยออก เวลานอนต้องนอนหนุนหมอนสูงๆ ผมใช้หมอน 3 ใบและต้องใส่อ๊อกซิเจนด้วย พออธิษฐานแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นผมปลดอ๊อกซิเจนออก ปัดหมอนทิ้ง นอนราบได้เหมือนคนปกติ หมอเข้ามาก็ตกใจมากเพราะเมื่อวานกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่ทำไมเช้าวันนี้ดูสดชื่นแตกต่างกับเมื่อวาน อย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ ผมเองก็ไม่ได้คิด อะไรมาก อาการดีขึ้นก็ดีแล้ว เฮฮาไปเรื่อยไม่ได้สนใจอะไร แต่พอมาหวนคิดอีกทีก็บอกกับตัวเองว่า ‘พระเจ้ามีจริง พระเจ้ารักษาเราจริงๆ’

ผมได้ออกจากโรงพยาบาล ผมไม่ตายแล้ว แต่การลงความเห็นของหมอ ถ้าจะว่าไปแล้วก็ทำให้ผมเหมือนกับตาย ทั้งเป็นเช่นกัน หมอลงความเห็นว่าผมจะไม่สามารถ ทำอะไรได้เลย ต้องหยุดทุกอย่าง ทำงานไม่ได้ ขับรถไม่ได้ ผมจะไม่ได้ทำทุกอย่างที่ผมเคยทำ ตำแหน่งหน้าที่การงานต้องถูกวางลง ดูเหมือนว่าชีวิตผมจะหมดอาลัยตายอยาก แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันกลับเป็นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าจริงๆ เวลานี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่าการเป็นคริสเตียนดีตรงไหน ผมมีสันติสุขมากที่ได้พบพระเจ้า ชีวิตอาจจะไม่สนุกสนานเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย เพราะคนเขา คบเราก็เพราะตำแหน่งหน้าที่ที่เรามี คนเขาเห็นเราสำคัญเพราะเรามีอำนาจ มีเงินทองคนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการหรือสนใจเราเพราะเราเป็น “ธีระพงศ์” ตรงกันข้ามกับชีวิตในมิติใหม่ของผม เมื่อก่อนผมนั่งรถเบนซ์ มีคนขับให้นั่ง เวลาฝนตกผมมองออกไปนอกรถเห็นคนวิ่งหลบฝน วิ่งขึ้นรถเมล์ รถก็แน่น ฝนก็ตก รถก็ติด คิดในใจว่าคนเหล่านี้ น่าสงสารจัง แต่พอตัวเองมาขึ้นรถเมล์บ้าง ทำให้รู้ทันทีว่าเคยมีทัศนะที่ผิด จริงๆ แล้วคนเหล่านั้นมีความ สุขมาก รถเมล์กลายเป็นเพื่อนเดินทางของผม ผมใช้เวลาในการนั่งรถเมล์เพื่อเล่าเรื่องของพระเจ้าให้ กระเป๋ารถเมล์และนักเรียนฟัง อยากให้พวกเขาได้รู้ถึงสิ่งดีที่เราได้รู้แล้ว

ชีวิตวันนี้เป็นชีวิตที่มีความสุขจริงๆ ลูกสาวและลูกชายของผมเมื่อรู้ว่าผมรับเชื่อพระเจ้า พวกเขาก็กล้าที่จะเปิดเผยตัวใน การเป็นคริสเตียนต่อสังคมภายนอกมากขึ้น ทั้งๆ ที่เชื่อมาก่อนผมแต่ไม่กล้าบอกใคร กลัวถูกที่บ้าน ดุแต่ตอนนี้ทั้งผมและลูกทั้ง 2 คนรับบัพติศมาเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าคือผู้ที่เข้ามาเติมเต็มในหัวใจ ทำให้ชีวิตของผมบริบูรณ์ พระวจนะของพระเจ้าทำ ให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น เมื่ออ่านพระคัมภีร์ ผมได้ข้อคิดสอนใจหลายอย่างสำหรับการใช้ชีวิต เช่น พระธรรมโรม 12:20 สอนว่า ‘อย่าแก้แค้น…’ ผมชอบมาก อ่านแล้วสบายใจ ก่อนหน้านี้ด้วยความที่มีเลือดทหารเก่า ลักษณะของผมก็คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่มีทางยอมใคร ใจร้อน แต่เดี๋ยวนี้ สบายกายสบายใจ ใจเย็น ใจดี ไม่เคียดแค้นเมื่อภายในถูกเปลี่ยนภายนอกก็ได้รับผลด้วยสุขภาพ ร่างกายก็ดีขึ้น ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ผมรักการอ่าน พระคัมภีร์และชอบที่จะอ่านหลายๆ เที่ยวเพื่อให้ซึมเข้าไปในชีวิตเราและอีกอย่างก็คือพระคัมภีร์ เป็นหนังสือที่อ่านไม่มีจบ เพราะเป็นของใหม่อยู่เสมอ เวลาอ่านพระคัมภีร์ผมจะตั้งคำถาม 3 ข้อกับตัวเองเสมอว่า พระเจ้าต้องการสอนอะไรกับผม ? พระเจ้าต้องการให้ผมดำเนินชีวิตอย่างไร ? พระเจ้าต้องการให้ผมทำอะไร ?

การอธิษฐานก็สำคัญ ในพระธรรมโรม12:12 กล่าวว่า ‘……จงขะมักเขม้นอธิษฐาน’ ผมมีประสบการณ์การอธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงฟังทุกเรื่อง อธิษฐานแล้วสบายใจ มีปัญหากับใคร ไม่ต้องกังวล พระเจ้าจัดการเอง หน้าที่ของเราก็คือทำตามพระคัมภีร์ที่สอน ไม่ต้องเก็บไปคิดมาก ทุกเรื่องฝากไว้กับพระเจ้า อยู่กับพระวจนะพระเจ้าทำให้ใจของผมมีสันติสุข ไม่กระวนกระวาย มีใจเบิกบาน มีความสุขมากขึ้น กว่าที่เคยเป็น” หัวใจเดิมๆ ที่มีสภาพไม่พร้อมสำหรับการใช้งานกลับสร้างมิติใหม่ให้ชีวิตได้อย่างแท้จริง

สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบพระคุณ คุณธีระพงศ์ บูรณสมภพ เป็นอย่างมากที่ให้โอกาสทางสมาคมฯ ได้สัมภาษณ์ พูดคุยและแบ่งปันพระพรจากประสบการณ์ชีวิต ของท่าน และอนุญาตให้สมาคมฯ ตีพิมพ์คำพยาน เหล่านี้ในวารสารคริสตสายสัมพันธ์เพื่อเป็นการหนุนใจผู้อื่น พระวจนะของพระเจ้าเป็นโอกาส สำหรับทุกชีวิตเสมอ เป็นโอกาสที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลง เป็นโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีใหม่ๆ พระวจนะเป็นโอกาสให้เรามีมิติใหม่ ของชีวิตเพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม

  • คุณธีระพงษ์ บูรณสมภพ
  • ภาพ Oleshkoart – Freepik.com