ยอม
“ยอม” พจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความว่า “อาการที่แสดงออกบอกให้รู้ว่าเห็นด้วย ไม่ขัด ตกลงปลงใจ” คำนี้เป็น ศัพท์ธรรมดาสามัญที่คนทั่วไปรู้จักและใช้เมื่อเผชิญทางตัน ต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤต
เรื่องต่อไปนี้เรียบเรียงจากการให้สัมภาษณ์ของคุณวีรศักดิ์และคุณสายธาร เสถียรวันทนีย์ แห่งบริษัทบิวตี้เจมส์ คุณวีรศักดิ์เป็นผู้จัดการฝ่ายบริหาร – การเงินและการธนาคาร คุณสายธารตำแหน่งผู้จัดการบริหารฝ่ายจัดซื้อ
สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบพระคุณทั้งสองท่านที่ยินดีให้ถ่ายทอดเรื่องราวในครอบครัวผ่าน “คริสตสายสัมพันธ์” เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังเผชิญ ทางตัน ให้ตัดสินใจที่จะ “ยอม” ในขณะที่ยังมีโอกาส
คุณวีรศักดิ์เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ เขายอมรับว่ามีวัยเด็กที่เกเรและเอาแต่ใจตนเอง และเมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคน ดื้อรั้น เป็นจอมบงการของพี่น้อง แต่พระเจ้าก็รู้จักเขาตั้งแต่ต้น และมีแผนการสำหรับชีวิตของเขาเช่นเดียวกับที่พระองค์รู้จักมนุษย์ทุกคน และมีแผนการสำหรับทุกคน มีภรรยาเป็นคริสเตียน คุณวีรศักดิ์สมรสกับคุณสายธารซึ่งบิดาเป็นคริสเตียน และมีโอกาสไปโบสถ์ตั้งแต่เด็กแม้จะเป็นการสลับกันไปกับพี่ๆน้องๆ เนื่องจากไม่สะดวกที่พ่อจะพาลูกทั้งหมดไปโบสถ์พร้อมกัน แต่เมื่อสมรสแล้ว คุณสายธารไม่ได้ไปโบสถ์อยู่นานหลายปี ในช่วงระยะเวลานั้น เธอมีความจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับครอบครัวสามีในการเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ในเทศกาลต่างๆ เป็นประจำ แต่เธอก็อธิษฐานเผื่อสามีเสมอ เมื่อมีลูกและทั้ง 3 คนโตขึ้นแล้ว คุณสายธารได้ขออนุญาตสามีพาลูกไปโบสถ์ เพราะหวังว่าลูกจะเติบโตขึ้นเป็นเด็กดีในทางของพระเจ้า คุณวีรศักดิ์เป็นผู้ขับรถพาครอบครัวไปโบสถ์เองบ่อยๆ บางครั้งก็ต้องเข้าไปนั่งในโบสถ์ด้วยอย่างเสียไม่ได้ และเขาก็ทนฟังเรื่องของพระเจ้าไม่ได้ ในหลายๆ ครั้งก็เข้าโบสถ์ทางประตูหน้าและรีบออกทางประตูหลัง เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ต้องพบศิษยาบาลของคริสตจักร ซึ่งคอยดักรอจะคุยกับเขาอยู่เสมอ น้องชายและลูกชายรับเชื่อพระเจ้า วันเวลาผ่านไป น้องชายของเขาได้ไปใช้ชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ยินเรื่องพระเจ้าที่นั่น ปี 1995 น้องชายได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบนฟรีเวย์ในอเมริกา ในขณะที่รถพังหมดทั้งคัน แต่ร่างกายไม่ได้รับอันตรายเลย น้องชายก็รู้ได้ว่าเขา ปลอดภัยด้วยพระคุณของพระเจ้าที่เขาได้รู้จัก จึงได้ตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าที่คริสตจักรไทยมิชชั่นในแอลเอ และป็นคริสเตียนที่เข้มแข็ง ตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้น ลูกชายคนกลางของคุณวีรศักดิ์ได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาหลังจากจบชั้นมัธยม 2 จากเมืองไทย และ 6เดือนต่อมา ได้ไปรู้จักพระเจ้าที่นั่นอีกคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้เป็นอารีบแจ้งให้คุณวีรศักดิ์ทราบว่าหลานได้ตัดสินใจรับเชื่อเอง ตนไม่ได้เป็นผู้ชักนำให้หลานมาเป็นคริสเตียน แต่คุณวีรศักดิ์ไม่รู้สึกเดือดร้อนใจอะไรกับการเป็นคริสเตียนของลูก ทั้งพ่อและแม่รู้สึกซึ้งใจในคำพูดของลูกที่เขียนมาบอกว่า แม้ลูกอยู่ไกลด้วยระยะทาง แต่อยู่ใกล้พ่อแม่เสมอในพระเยซูคริสต์โดยคำอธิษฐานและในที่สุดเราจะไปอยู่ด้วยกันในแผ่นดินสวรรค์ “ตอนนั้น ผมอ่านจดหมายลูกชายแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจเหมือนกัน ลูกชายผมไปโบสถ์กับแม่ของเขาตั้งแต่เด็ก ผมไม่คิดว่าเขาจะสนใจ สิ่งที่เขาได้เรียนจากโบสถ์ พอถึงเวลาที่ได้ยินเรื่องของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจรับเชื่อโดยไม่ต้องใช้เวลานาน”
ลูกสาวคนโตรับบัพติสมา
ลูกสาวคนโตขณะเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้ไปเที่ยวอเมริกาและได้ลองไปเข้าโบสถ์ไทยมิชชั่นที่แอลเอ เพราะเห็นแม่กับน้องชายเป็นคริสเตียน เป็นวันที่ ศาสนาจารย์มาโนช แจ้งมุข ได้ไปเทศนาที่นั่น เธอฟังแล้วซาบซึ้งมาก เมื่อกลับมาถึง เมืองไทย ได้ไปคริสตจักร สืบสัมพันธวงศ์ตามที่อาจารย์มาโนชได้แนะนำให้ ไม่นานต่อมาก็ตัดสินใจรับบัพติสมา (พิธีประกาศตนเป็น คริสเตียน) วันที่รับบัพติสมา คุณวีรศักดิ์ก็อยู่ที่ในโบสถ์ด้วยในฐานะพ่อ ลูกสาวคนโตชอบอ่านหนังสือ และได้อ่าน พระคัมภีร์ภาษาไทยจบแล้ว 2 รอบ และยังชอบอ่านพระคัมภีร์เป็นภาษาอังกฤษด้วย ขณะนี้ (ปี 2003) กำลังศึกษา อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ในระดับปริญญาโทด้าน Communicative Disorder (การศึกษาปัญหาด้านการออกเสียง) ชีวิตทั้งด้านการเรียนและการฝึกงานด้านวิชาชีพ พระเจ้าได้สำแดงพระเมตตาและการทรงนำแก่เธออย่างชัดเจน วิกฤตกับลูกสาวคนเล็ก ปี 1998 – 1999 ขณะที่ชีวิตทุกด้านดำเนินไปด้วยดี วิกฤตที่ไม่มีคาดคิดก็คืบคลานเข้ามา ลูกสาวคนโตกำลังเตรียมตัวจะไปเรียนต่อต่างประเทศหลังจากจบอักษรศาสตร์ในเมืองไทยแล้ว ลูกสาวคนเล็ก ในวัย 14 –15 ปี เริ่มวิตกกังวลที่พี่สาวซึ่งเป็นทั้งพี่และเพื่อนกำลังจะไปจากบ้านอีกคนหนึ่ง หลังจากพี่ชายคนกลางไปอยู่อเมริกาแล้ว ก่อนหน้านี้ ด้วยความเป็นเด็ก ลูกสาวคนเล็กได้พยายามลดน้ำหนักตามเพื่อน สุดท้าย จึงล้มป่วยเพราะร่างกายอ่อนแอบวกกับความวิตกกังวล น้ำหนักลดเหลือแค่ 30 กว่ากิโล ต้องไปหาหมอ บ่อยมาก แต่หมอก็ไม่พบความผิดปกติอะไร มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่ลูกสาวคนเล็กนี้กำลังป่วย คือในวันหนึ่ง จู่ๆ ลูกสาวคนนี้ได้เดินขึ้นไปชั้นดาดฟ้าของบ้าน แต่ไปเจอพี่สาวนั่งอ่านหนังสือขวางอยู่ที่ประตู ซึ่งปกติจะไม่ใช่ที่ที่เธอจะใช้อ่านหนังสือ แต่วันนั้น เธออยากจะไปอ่านหนังสือที่นั่น เมื่อน้องสาวเห็น จึงเปลี่ยนใจเดินกลับลงมา “ลูกมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าจะขึ้นไปบนดาดฟ้าทำไม ผมตกใจมากกับความคิดของลูก หากพี่สาวเขาไม่นั่งขวางอยู่ที่นั่น อาจเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดเพราะความเครียดของแก ผมกับภรรยาคิดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว ของเรา” (ทั้งพ่อและแม่น้ำตาไหลระหว่างให้สัมภาษณ์) หลังจากนั้น อาการของลูกสาวคนเล็กก็ทรุดหนักลงไปอีก ใกล้เวลาที่พี่สาวคนโตจะไปต่างประเทศแล้ว เขาไม่กิน ไม่นอน มีสภาพซังกะตาย และต้องไปหาหมอตลอดเวลา หนักเข้าไม่พูดกับพ่อแม่เหมือนพ่อแม่ทำอะไรผิด “ผมเห็นเด็กคนอื่นๆ กินขนม หัวเราะ เล่น ร่าเริง ผมอยากให้ลูกเป็นอย่างนั้น ผมอยากได้ลูกคืนมาเหมือนเดิม”
รถชนฟุตบาทหน้าคริสตจักร
เวลาผ่านไประยะหนึ่งซึ่งยาวนานมากสำหรับทั้งครอบครัว “ผมทนกับสภาพนี้ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ” ลูกสาวคนโตเคยพูดกับพ่อว่า “ป๋าต้องมาหาพระเจ้าแล้ว” และชวนให้คุณวีรศักดิ์ถ่อมใจลงอธิษฐาน เพื่อจะได้รู้จักพระเจ้า และให้พระเจ้ารักษาน้อง วันหนึ่ง จึงได้นัดให้พ่อไปพบกับศิษยาภิบาลของคริสตจักร เพื่อปรึกษา ซึ่งคุณวีรศักดิ์กระวนกระวายใจมากเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีสิ่งใดที่จะช่วยลูกได้ หนึ่งวันก่อนจะถึงวันนัดกับศิษยาภิบาล ขณะที่พาลูกสาวคนเล็กกลับจากหาหมอ คุณวีรศักดิ์คิดว่าน่าจะผ่านไปที่หน้าคริสตจักร เผื่อจะพบศิษยาภิบาลได้ทันทีโดยไม่ต้องรอถึงวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงหน้าคริสตจักรเวลาประมาณ 1 ทุ่ม คุณวีรศักดิ์รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดึงพวงมาลัยรถให้วิ่งเข้าไปเบียดฟุตบาท คุณวีรศักดิ์ต้องจอดรถลงมาดูกะทะล้อซึ่งครูดกับฟุตบาท ขณะเดียวกันก็ให้ลูกสาวคนโตวิ่งเข้าไปในโบสถ์เพื่อดูว่าศิษยาภิบาลยังอยู่ไหม ส่วนคุณสายธารรออยู่ในรถ กับลูกสาวคนเล็ก ซึ่งถามแม่เสียงแข็งว่า “มาทำอะไรที่นี่” ต่อจากนั้น เมื่อเห็นว่าไม่พบใครที่โบสถ์แล้ว ทั้งหมดก็กลับขึ้นรถ ทันใดนั้น ลูกสาวคนเล็กก็พูดขึ้นว่า “กลับบ้านกันเถอะ มีอะไรจะคุยให้ฟัง และไปกินข้าวกัน” ประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้ทั้งครอบครัวทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ลูกไม่พูดกับพ่อแม่และไม่เคยอยากรับประทานอาหารมานาน บัดนี้ ลูกที่เคยป่วยนั้นหายแล้ว “ผมก็เชื่อเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน นานมาแล้วลูกสาวคนเล็กเคยพูดว่าเขาจะรอให้ผมมาเชื่อพระเจ้าและจะรับบัพติสมาพร้อมผม เขาจะไม่ปล่อยให้ผมไม่รู้จักพระเจ้าอยู่คนเดียว ในวันนั้น ผมบอกได้เลยว่าผมยอมแล้ว ผมจะยอมทำทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ผมทำ เพื่อให้ลูกหายเป็นปกติ” “ตั้งแต่วันนั้น ผมไปโบสถ์กับภรรยาและลูก ไปฟังและเรียนพระคำของพระเจ้า เวลาผ่านไป 3 เดือน ถึงแม้ลูกสาวคนเล็กจะดีขึ้นมากแต่ก็ยังออดๆ แอดๆ เหมือนมีอะไรมารบกวน
วันอาทิตย์วันหนึ่ง เมื่ออาจารย์ผู้นำ ประชุมในโบสถ์ได้ถามที่ประชุมว่ามีใครอยากจะรับเชื่อพระเจ้าบ้าง ผมก็ลุกขึ้นยืนรับทันที ท่ามกลางความประหลาดใจของคนอื่นและแม้แต่ตัวเอง” แต่ลูกสาวก็ยังไม่หายขาดอยู่นั่นเอง ไม่นานต่อมา เมื่อคุณวีรศักดิ์ตัดสินใจจะรับบัพติสมาแล้ว เขาได้รับทราบจากการเรียนเรื่องวิถีชีวิตคริสเตียนว่า จะต้องละทิ้งสิ่งที่ทำให้ชีวิตคริสเตียนไม่บริสุทธิ์ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในรูปแบบใดและจะมีมูลค่าสูงแค่ไหน เขาจึงตัดสินใจยอมทำลาย สิ่งเหล่านั้นโดยไม่เสียดาย เพราะเทียบกับชีวิตลูกไม่ได้ ขอบคุณพระเจ้าที่วันที่ 5 ธันวาคม 1999 คุณวีรศักดิ์และลูกสาวคนเล็กได้รับบัพติสมาพร้อมกันที่คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์ ปัจจุบัน (ปี 2003) ลูกสาวคนเล็กเรียนอยู่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณวีรศักดิ์ยอมจำนนกับพระเจ้าเมื่ออายุ 48 ปี เขารู้แล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นพระเจ้าที่รัก และห่วงใยทุกชีวิตในครอบครัวของเขา พระองค์ทรงสนใจเขาในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คุณวีรศักดิ์พบว่าโรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นมานาน บัดนี้อาการดีขึ้นจนเป็นปกติ คุณสายธารยืนยันได้ว่าคุณ วีรศักดิ์สุขุมเยือกเย็นขึ้น และพระเจ้าให้ลูกๆ มีคำหนุนใจแก่พ่อแม่เสมอแม้จะไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากัน คุณวีรศักดิ์ ภูมิใจมาก ที่ลูกสาวคนเล็กเป็นผู้มีคำอธิษฐานที่ไพเราะเป็นพรแก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง “ผมขอบอกทุกคนว่า ไม่ต้องรอให้เกิดการอัศจรรย์ก่อนแล้วค่อยมาเชื่อพระเจ้า อย่าปล่อยให้ชีวิต ยืนอยู่ที่ปากเหว และต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันจะเป็นจะตายเหมือนผมแล้วจึงมาหาพระเจ้าได้ หากอยากจะเชื่อ พระเจ้า ก็ตัดสินใจเสียเถิดครับ” พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดิน ในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” ยอห์นบทที่ 8 ข้อ 12
- คุณวีระศักดิ์ เสถียรวันทนีย์
- ภาพ Lifeforstock – Freepik.com