ยอม “คุณอติเทพ วรวิจิตราพันธ์” 3/17

ยอม คุณอติเทพ วรวิจิตราพันธ์

รู้จักพระเจ้า แต่เดิมนั้นในครอบครัวของผมจะมีคุณยายกับคุณแม่เป็นคริสเตียน คุณแม่พยายามที่จะประกาศเรื่องราวของพระเจ้าให้คุณพ่อฟังบ่อยๆ แต่คุณพ่อก็ไม่ยอมรับเชื่อ คุณพ่อบอกว่าถ้าพระเจ้าประทานให้เขามีกิจการ เขาก็จะมาเชื่อพระเจ้า แล้ววันหนึ่งคุณพ่อก็มีกิจการเป็นของตัวเอง คุณพ่อจึงมาเชื่อพระเจ้า คุณพ่อเป็นคนที่รักษาคำพูด เป็นคนที่ถ้ารับปากใครแล้วจะต้องทำตามนั้น และคุณพ่อก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ส่วนตัวผมช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผมคิดหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า คิดว่าสวน ดอกไม้เกิดขึ้นได้อย่างไร คิดเรื่องของพุทธศาสนาถ้าเป็นจริง แล้วพระเจ้าไม่ใช่เรื่องจริงจะเป็นอย่างไร คิดเยอะมาก จนสุดท้ายมีคนเล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมมักจะนำไปเล่าให้เพื่อนฟังอยู่บ่อยๆ เป็นเรื่องที่ทำให้คิดว่าพระเจ้ามีจริงแน่นอน คือมีนักเรียน 2 คน คนหนึ่งเป็นคริสเตียน อีกคนไม่เป็น คนที่เป็นคริสเตียนพยายามประกาศเรื่องของพระเจ้า แต่คนที่ไม่เป็นคริสเตียนก็ไม่เคยเชื่อเลย วันหนึ่งคนที่ไม่เป็นคริสเตียนมาหาเพื่อนที่เป็นคริสเตียนที่บ้าน ขณะที่กำลังรอเพื่อน ก็เดินเล่นไปเรื่อยและเดินลงไปห้องใต้ดินซึ่งเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์ แล้วเขาก็เห็นโมเดลจักรวาลทั้งหมดที่จำลองจากของจริง ระหว่างที่เขากำลังเล่นอยู่ เพื่อนที่เป็นคริสเตียนก็มา คนที่ไม่เป็นคริสเตียนก็บอกว่าเขาชอบโมเดลนี้มากเลย ทำที่ไหน เขาอยากทำบ้าง คนที่เป็นคริสเตียนคิดขึ้นได้จึงบอกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน เขาไม่ได้ทำ อยู่ๆ ก็มาเอง แต่คนที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่เชื่อว่าโมเดลนี้จะเกิดขึ้นเอง เราลองคิดดูว่าของเล็กๆ ที่วางอยู่ตรงนี้พอบอกว่าเกิดขึ้นเองก็ไม่เชื่อ ในขณะที่สิ่งที่เป็นของจริงไม่ได้จำลอง เกิดขึ้นและมีอยู่อย่างเป็นระบบระเบียบ และคุณกลับเชื่อว่ามันเกิดขึ้นเอง นี่จึงทำให้ผมเชื่อว่า พระเจ้ามีจริงแน่นอน ผมคิดว่าคนจะเชื่อเรื่องของพระเจ้าก็ต้องเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก่อน และยิ่งผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับสภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้าแสดงออกมาทางธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้าง เราก็มีความรู้สึกว่าพระเจ้ามีจริงแน่นอน ผมจึงมารู้จักกับพระเจ้าตอนนั้น พระเจ้าเข้ามาสัมผัสผมในหลายๆ เรื่อง และค่อยๆ เพิ่มความเชื่อให้ผม แล้วก็มีจุดเปลี่ยนที่พระเจ้าให้ผมเปลี่ยน คำถามที่เคยมีเมื่อก่อนก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ผมสัมผัสว่าเวลาที่พระเจ้าช่วย เราไม่ต้องสงสัยเลย เพราะถ้าไม่ใช่พระเจ้า เราก็ทำไม่ได้ เป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก เพื่อนหลายๆ คนของผมก็พูดถึงเรื่องพระเจ้าในลักษณะนี้เช่นกัน
.
ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ผมขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทีเดียว ตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ผมคิดว่าตัวเองเรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง ฉลาดกว่าคนอื่นๆ พระเจ้าค่อยๆ บีบและสอนผมให้เรียนรู้เรื่องการถ่อมใจจากการผิดพลาดในชีวิตที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เริ่มตั้งแต่การสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผลการเรียนของผมอยู่ในระดับ 90% แต่พระเจ้าให้ผมได้เข้าเรียนในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยโดยที่ไม่ต้องสอบหรือเสียเงินแต่อย่างใด พอเรียนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และต้องไปสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 ผมก็ยังมีความคิดว่าผมต้องสอบเข้าได้แน่นอน ผมจึงลาออกจากโรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียนวิทยาลัย แต่ผลปรากฏว่าผมสอบไม่ติด จะกลับไปสอบที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนใหม่ก็ไม่ได้เพราะเป็นกฎของโรงเรียน แต่ในที่สุดเมื่อทางโรงเรียนพิจารณาดูผลการเรียนของผม ผมจึงได้กลับเข้าไปเรียนที่นั่นจนกระทั่งจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากนั้นผมสามารถสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ ผมสอบติดคณะวิทยาศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อผมเรียนได้ 1 ปี ผมจะต้องเลือกวิชาเอก ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีผลการสอบที่มีคะแนนสูงๆ ก็จะเลือกวิชาเอกด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food    Science) ซึ่งผมไม่รู้จัก และคะแนนของผมก็ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเลือกวิชาเอกนี้ได้ ผมตัดสินใจสอบเอ็นทรานซ์อีกครั้ง และผมก็สอบได้คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร (Food Science) ผมขอบคุณพระเจ้า พระเจ้า เปลี่ยนผมตอนที่ผมเรียนชั้นปีที่ 3 ตอนนั้นผมไปฝึกงานที่โรงงานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรายำยำ เป็นที่ที่ผมได้รับเงินตอบแทนมากกว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกัน ผมฝึกงานที่นี่ 10 วัน ไม่ได้ฝึกที่แผนกเดิมๆ เลย แผนการฝึกงานของเขาดีมาก ทำให้ผมได้รู้งานทั้งหมด ผมรู้สึกสนุกกับงาน แต่ผมก็รู้สึกว่าผมเหนื่อยแทบขาดใจ คือ เริ่มงาน 8 โมงเช้าและเลิก 5 โมงเย็นทุกวัน แค่ 10 วันผมก็รู้สึกแย่แล้ว พอมองย้อนกลับผมเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นผู้เตรียมสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าบีบให้ผมรู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนเก่งอย่างที่เราคิด มันทำให้เราถ่อมใจ
.
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เนื่อง จากคุณพ่อคุณแม่ผมไม่ค่อยสบาย ผมจึงมาช่วยทำร้านอาหารขายข้าวต้มกุ๊ย ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกจุดหนึ่ง คือพระเจ้าชัดเจนมาก เราไม่สามารถพูดได้เลยว่าไม่ใช่พระเจ้า ผมทำร้านอาหารกลางคืน ขายเหล้าและบุหรี่ด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนขับแท็กซี่และคนในตลาดแถวบ้าน แต่ร้านก็ขายดี ในช่วงตลอดเวลา 5 ปีที่เราทำ พระเจ้าก็ส่งคนมาเตือนอยู่บ่อยๆ มีพี่คนหนึ่งมาเตือนซึ่งเขาใช้คำที่ฟังดูแล้วแรงมาก และผมก็ยังกลัวอยู่ มันทำให้เราได้คิด เขาบอกว่า “ถ้าเราไม่เปลี่ยน วันหนึ่งพระเจ้าจะตีเรา” ผมจึงเริ่มหยุดขายของวันอาทิตย์เพื่อไปโบสถ์ แต่ก่อนที่จะไปโบสถ์เราจะทำความสะอาดใหญ่ที่ร้าน ซึ่งกว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็ประมาณ 10 โมงเช้าจึงจะปิดร้าน ช่วงแรกๆ ผมยังมีไฟไปโบสถ์ ปรากฎ  ว่าพอไปโบสถ์ก็นั่งหลับตลอด เราก็รู้สึกว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีกับน้องๆ เราก็เลยไม่ไป ผมคิดว่าซาตานฉลาดมากที่ใช้วิธีการแบบนี้ ช่วงที่พี่คนนั้นมาเตือน การเงินของเราค่อนข้างจะดี แต่ผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ ผมจะเลิกแล้ว พระเจ้าคงไม่พอพระทัยที่ผมมาขายเหล้าเบียร์และบุหรี่ ตอนนั้นผมอายุประมาณ 30 กว่าๆ การจะหยุดงานก็ต้องคิดพอสมควรเพราะเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ทุกอย่างเราต้องเป็นคนดูแล เราตกลงที่จะหยุดแต่ก็คิดว่าขออีกสักนิดเพราะเรายังมีหลายอย่างที่ต้องทำ เราก็วางแผนขอพระเจ้าอีกสัก 2-3 ปี หลังจากนั้นช่วงสงกรานต์ผมปิดร้าน พอผมกลับมาที่ร้านอีกครั้ง ผมกับภรรยาถึงกับเข่าอ่อนเลย เพราะในห้องนอนของเราไม่มีตารางนิ้วไหนที่ไม่โดนรื้อค้น ไม่มีอะไรเหลือสักชิ้นเดียว นาทีนั้นเราเข้าใจเลยว่าเข่าอ่อนเป็นอย่างไร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ปกติผมจะเป็นคนเก็บเงิน ถ้าเป็นเงินสดผมก็จะเอาไว้ในตะกร้าไข่ ก็จะไม่มีใครมาสนใจ แต่วันนั้นผมคิดอะไรไม่รู้ ผมวางไว้ในตู้เซฟ แล้วก็มีทอง 2 ชิ้น ลักษณะเหมือนพวงกุญแจ ซึ่งผมซื้อจากลูกค้าที่มาทานข้าวที่ร้าน ชิ้นหนึ่งหนัก 7 บาท อีกชิ้นหนึ่งหนัก 5 บาท ตามปกติแล้ววันธรรมดาผมจะฝากเซฟไว้ที่บ้านคุณยาย แต่วันนั้นตู้เซฟอยู่ที่บ้าน ปรากฏว่าของทุกชิ้นถูกขโมยไปหมด ทั้งแหวนหมั้น แหวนแต่งงาน ทอง และเงินสด ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านตรงนั้นหายไปหมดเลย รวมๆ แล้วคิดเป็นมูลค่าเงินสมัยนั้นก็ประมาณ 4 แสนบาท ตอนแรกเรารู้สึกเสียใจ แต่อีกมุมหนึ่งผมก็ดีใจที่เรารู้ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตือนเรา เงินมันไม่มีตราว่าเป็นยี่ห้อของเรา ทองก็ไม่มียี่ห้อของเรา มันสามารถที่จะเป็นของใครก็ได้ ผมบอกกับพระเจ้าว่า พระเจ้าขออย่าตีผมแรงไปกว่านี้เลย ผมยอมแล้ว อย่าเอาญาติ พี่น้อง คนที่ผมรัก หรือคนที่อยู่ใกล้ผมไปเลยนะ ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะหยุด
.
พระเจ้าจะให้เกิดสิ่งดีกับคนที่เชื่อฟังพระองค์ ช่วงหนึ่งผมทำงานเป็นพนักงานขายให้กับบริษัทเนสท์เล่ ได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 20 รายผมดูแลอยู่ได้ครึ่งปี ผมก็ลาออกเนื่องจากมีปัญหาภายใน ตอนนั้นผมตัดสินใจเลยว่าถ้าอะไรที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมจะทำ ขออย่างเดียว พระเจ้าอย่าตีสอนผมอีก ผมกับภรรยาเริ่มหางานและคุยกันตลอดปรากฏว่าพระเจ้าให้งานภรรยาผมอย่างอัศจรรย์มาก คือเขามีเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ได้ติดต่อกันเลยในช่วง 5 ปี ที่ภรรยาผมมาช่วยงานที่ร้านอาหาร เพื่อนคนนี้โทรศัพท์มาชวนภรรยาผมไปสมัครเป็นครูที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ เขาไปสมัครด้วยกัน และได้งานทั้งคู่ แต่สุดท้ายเพื่อนของเขาก็ปฏิเสธไป ภรรยาผมบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่จัดเตรียมให้เขาได้งานสอนหนังสือที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ซึ่งเป็นงานที่ดี ส่วนผมเองก็เริ่มหนักใจว่าเราเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่เรายังไม่ได้งาน จะไปสมัครงานที่เงินเดือนน้อยก็จะไม่พอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ถ้าเรียกเงินเดือนสูงๆ บริษัทก็คงไม่สัมภาษณ์ ผมบอกกับพระเจ้าว่า ถ้าผมเชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะให้เกิดสิ่งดี พระเจ้าจะให้ศักดิ์ศรีผม ผมอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ผมจะโทรศัพท์หาเพื่อนๆ และผมจะถามเรื่องงานกับเขา แต่ผมจะไม่โทรกลับไปเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด คือจะไม่ไปง้องอนหรือขอร้องเรื่องงานจากเพื่อน ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะให้ศักดิ์ศรีแก่ผม ผมเชื่อแบบเด็กๆ ผมก็ทำแบบนั้น ถามไปครั้งเดียวแล้วก็จบ แล้ววันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์เรียกผมให้ไปทำงาน เหลือเชื่อมากที่ผมได้งานพร้อมกันทีเดียว 3 งาน เป็นงานที่ผมสามารถเลือกทำได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น พอผมตอบตกลงทำงานที่หนึ่ง เขาก็ส่งผมไปประเทศเยอรมันทันที ซึ่งถ้าไม่ใช่พระเจ้า ไม่มีทางเป็นไปได้เลย พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้  ผมได้กลับมาทำงาน ได้เงินเดือนเท่ากับเพื่อนๆ และพระเจ้าก็ให้เกียรติผม ไม่นานผมได้รับเลือกให้เป็นมัคนายกที่คริสตจักรไมตรีจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลย
.
.
ชีวิตครอบครัว ถ้าไม่มีพระเจ้า เราก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้  เราไม่สามารถเปลี่ยนตัวเราเองเพื่อคนๆ หนึ่งได้อย่างถาวร ผมกับภรรยาถูกเลี้ยงดูมาคนละแบบ คนละขั้ว ผมเติบโตมาในครอบครัวของคนจีน การเลี้ยงดูเป็นแบบคนจีน ในขณะที่ภรรยาได้รับการเลี้ยงดูแบบคนไทย เรามีหลายเรื่องที่ขัดแย้งกัน เราทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง เหนื่อยมาก  ช่วงเวลาที่เราทำร้านข้าวต้ม 5 ปีนั้นเราทำงานกันหนักมาก วันละ 10-16 ชั่วโมง เป็นช่วงชีวิตที่ตกต่ำและเหนื่อยที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ผมกับภรรยาคิดที่จะหย่ากันถึง 30 ครั้ง แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ภรรยาของผมเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน เขาเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย เขาอยู่กับผมได้ เขาเข้าใจและยอมรับอะไรๆ เกี่ยวกับคนจีนมากขึ้น ถ้าเราไม่มีพระเจ้า เราก็คงจะหย่ากันแน่นอน ทั้งเรื่องงานที่ร้าน เรื่องดูแลลูกที่ยังเล็กมาก เขาต้องทำทั้งสองอย่าง ผมเองก็ช่วยดูลูกด้วย ถ้ามีอะไรที่พูดหรือทำแล้วไม่ถูกใจอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ทำให้ทะเลาะกันได้ง่ายมาก ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ยังเมตตาครอบครัวของผม ทุกครั้งที่ท้าหย่ากันมักจะเป็นวันศุกร์ พอรุ่งขึ้นจะไปทำหนังสือหย่ากันที่ที่ว่าการอำเภอก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นวันหยุดราชการ แต่ผมก็ขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา พระเจ้าเปลี่ยนเราแบบที่เราคาดเดาไม่ได้จริงๆ
.
การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต
ผมกับพี่สาวเราสนิทกันมาก วันหนึ่งเมื่อเขาแต่งงานและตั้งครรภ์ ปรากฏว่ามีอาการครรภ์เป็นพิษซึ่งส่งผลต่อการทำงานของไต เขาต้องรับการฟอกเลือดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทุกครั้งก่อนการฟอกเลือด เขาจะดูอ่อนเพลีย ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง ดูแย่มาก แต่หลังจากฟอกเสร็จก็จะกลายเป็นคนใหม่เลย ผมเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเขามาก ผมก็บอกกับพระเจ้าว่าถ้าพระเจ้าจะเอาชีวิตของผมไปสักช่วงหนึ่งก็ได้ ซึ่งตอนนั้นสุขภาพของผมก็ไม่ค่อยดี ถ้าผมพอจะช่วยให้เขาดีขึ้น และให้ผมตายเร็วกว่าปกติผมก็ยอม วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวคนนี้ เราคุยกันเรื่องไต เขาถามผมว่าผมจะให้ไตแก่เขาได้ไหม ในขณะที่นั่งคิดอยู่ในระหว่างที่คุยกัน ก็คิดถึงข้อพระคัมภีร์ที่ว่าอย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง เราก็คิดว่าเราต้องเชื่อพระคัมภีร์ เราคิดว่าเมื่อพระเจ้าให้เรารักคนอื่นด้วยการกระทำ เราก็ควรทำ ผมจึงตอบตกลงพี่สาวของผม และผมก็บอกภรรยาเพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ภรรยาผมก็ดีมาก ไม่ขัดข้องอะไร เขารู้ว่าเขาห้ามผมไม่ได้ เขาโทรศัพท์ไปหาพี่สาวของผมเพื่อคุยกันเรื่องนี้ จากนั้นผมก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการตรวจร่างกายอย่างละเอียดหลายครั้งก่อนการผ่าตัดเพื่อให้แน่ใจว่าไตของผมสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายของพี่สาว ระหว่างขั้นตอนการตรวจต่างๆ ผมก็คิดหลายเรื่อง คิดถึงตอนที่อับราฮัมพาอิสอัคไปเพื่อที่จะถวายบูชา พอถึงเวลาพระเจ้าก็ให้อับราฮัมเอาแกะที่อยู่ตรงพุ่มไม้มาแทนอิสอัค  ผมก็มีความหวังว่าพระเจ้าจะให้พี่สาวได้ไตจากคนอื่นแทน เพราะจริงๆ แล้วพี่สาวก็ไปลงชื่อขอรับบริจาคไตด้วย เขาก็รออยู่นานพอสมควรก่อนที่เขาจะเอ่ยปากกับผม ถึงแม้ว่าผมจะรับปากกับพี่สาวของผมแล้วและไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายหรืออะไรทั้งนั้น  ผมก็ยังหวังว่าเรื่องของผมจะจบเหมือนกับเรื่องของอับราฮัมและอิสอัค ผมหวังว่าการตรวจร่างกายจะไม่ผ่านขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าผลการตรวจผ่านหมดทุกขั้นตอน ตอนนั้นถามว่ากลัวไหม ก็ไม่ได้กลัว เพราะทุกครั้งข้อพระคัมภีร์ก็จะขึ้นตลอดว่าเราต้องทำ มันก็สองจิตสองใจตลอดเวลา ผมอธิษฐานกับพระเจ้าและกับพี่สาว ในที่สุดการผ่าตัดก็ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยที่ผมไม่มีอาการของผลข้างเคียงจากการผ่าตัดเลยไม่ว่าจะเป็นอาการวิงเวียนหรือไอ หรือแม้แต่ต้องให้เลือดเพิ่ม ก็ขอบคุณพระเจ้า ทางโรงพยาบาลเตรียมเลือดไว้ให้ผม แต่ผมไม่ได้ใช้ เขาจึงเอาไปให้พี่สาวของผมแทน ถ้าไม่อย่างนั้นพี่สาวของผมคงจะอาการแย่ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมขอบคุณพระเจ้ามากก็คือ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผมเป็นนิ่วที่ไต พอคุณหมอตรวจพบ ก็ทำการสลายนิ่วก่อนแล้วจึงนำไตนั้นไปให้กับพี่สาว จนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ผมและพี่สาวยังคงใช้ชีวิตตามปกติ เพียงแต่พี่สาวของผมต้องกินยากดภูมิไปตลอดชีวิต
.
.
มุมมองชีวิตที่เราคิดว่าพระเจ้าให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น การที่ผมให้ไตกับพี่สาว ผมคิดว่าเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่เราทำได้เพราะว่าเขาเป็นพี่สาว แต่ถ้าเราต้องให้ไตกับคนอื่น ก็จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ยิ่งเมื่อคิดถึงพระเยซู พระองค์ให้ทั้งชีวิตกับเรา แบบนี้เทียบกันไม่ได้เลย บางคนมาพูดกับผมว่าคุณทำสิ่งที่ดีในขณะที่คนอื่นไม่มีโอกาส แต่บางคนก็พูดว่าถ้าเขาเป็นผม เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะให้หรือเปล่า โดยส่วนตัวของผม ผมคิดว่าการที่พระเจ้าให้เรา และเราได้ให้คนอื่นต่อ เราจะรู้สึกว่าเราให้ได้มากขึ้นและง่ายขึ้นด้วย อย่างเช่นเรื่องของการเงิน ปัจจุบันผมถวายมากกว่าเดิม 3-4 เท่าในแต่ละสัปดาห์ เพราะว่าผมตั้งใจที่จะให้พระเจ้ามากขึ้น จากที่เคยถวายแค่สิบลด ตอนนี้ผมอาจจะถวาย 50 ลดแล้วด้วยซ้ำไป ซึ่งผมเห็นพี่ๆ ที่โบสถ์ทำแบบนี้ เงินเดือนทั้งเดือนของเขา เขาถวายให้พระเจ้าหมด และผมก็มีความรู้สึกว่าถ้าผมทำได้ ผมอยากทำแบบนั้นบ้าง เขาเป็นแรงบันดาลใจ และพระเจ้าก็สัตย์ซื่อ เชื่อไหมว่าในทุกๆ ปีผมพยายามถวายมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือพระเจ้าสัตย์ซื่อมาก สิ่งที่เราให้มากขึ้นๆ พระเจ้าให้กลับคืนมากขึ้นเช่นกัน จนดูเหมือนว่าผมไม่ได้เสียอะไรไปเลย  สมัยก่อนนั้น มีบางช่วงที่ผมขาดเงิน ทั้งที่เราถวายให้กับพระเจ้ามากขึ้นด้วยความตั้งใจ แต่กลายเป็นว่ามีเงินเท่าเดิม แต่ผมก็ไม่หยุดให้ ผมกลับให้นานขึ้นด้วย เพราะทำให้ผมรู้สึกว่าการถวายเงินให้กับพระเจ้า ทำให้ผมมีความสุขมาก และก็อัศจรรย์มากที่ผมก็เห็นว่าผมได้อะไรกลับมามากขึ้น
.
เป้าหมายในชีวิต ความจริงแล้วผมอยากเรียนพระคัมภีร์ คือผมชอบคนยิว เพราะว่าคนยิวเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก และอะไรที่เกี่ยวกับยิวผมมักจะชอบอ่าน ผมรู้สึกว่าพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่แม้ว่าพระคัมภีร์จะถูกบันทึกมากว่า 4,000 ปีแล้ว แต่ยังสามารถนำมาใช้สอนได้ทุกยุคทุกสมัย สอนได้ตลอดเวลา และหากเรามาดูให้ลึกลงไปอีกจะเห็นว่ามีคนบันทึกพระคัมภีร์มากกว่า 40 คน แต่โครงร่างในการเขียนถึงพระเจ้าเหมือนกัน ผมได้เป็นพยานกับเพื่อนของผม จริงๆ ถ้าเราดูพื้นฐานชีวิตของเราแต่ละคน โครงสร้างของเราไม่ได้ต่างกันเลย เพราะเราถูกสร้างมาจากผู้สร้างคนเดียวกัน ผมว่าถ้าเราจะทุ่มเทในการเรียนรู้อะไรสักอย่างให้มากที่สุด ก็น่าจะเป็นการเรียนพระคัมภีร์ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้าแบบเต็มเวลา เพราะชีวิตผมไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดี ผมกลัวพระเจ้าจะเสียหายเพราะผม แต่ผมอยากจะเรียน เพราะหลายๆ อย่างที่เราเรียนมีความอัศจรรย์ตลอดเวลา อ่านไป 10 – 20 รอบ ก็ยังรู้สึกเหมือนว่าทำไมไม่เคยผ่านตาเลย และมีอะไรที่แปลกๆใหม่ๆ ที่เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
.
ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้ในชีวิต ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้บ่อยๆ คือ “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้ว ด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้” (เอเฟซัส 2:8-9)
.
หลายครั้งที่คิดว่าพระเจ้าให้ความรอดแบบง่ายๆ แต่จริงๆ มันเป็นเหตุที่ดีมากเลย เพราะว่าถ้ามีคนใดคนหนึ่งรอดได้ด้วยตัวเอง พระเจ้าก็จะไม่มีความหมายเลย ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นข้อที่ผมใช้บ่อย เป็นข้อที่ต้องรู้และยอมจำนนเพราะคุณรอดไม่ใช่ตัวคุณแต่เป็นพระเจ้าล้วนๆ
.
“อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร” (กาลาเทีย 6:9)
.
จริงๆ ผมไม่ได้จริงจังเรื่องของการยอมคนอื่น ถ้าถามว่าคุณยอมแล้วคุณเสียเปรียบไหม เวลาที่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบคุณ ผมบอกเลยว่าเราไม่เสียเปรียบ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าสอนเราให้ทำ ตัวอย่างเช่น เรื่องตบแก้มซ้าย เป็นเรื่องของการทำร้ายร่างกาย ที่พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าให้คุณยั่วยวนเขา แต่ให้เราทนไปอีก 2 เท่าเลยอย่าไปทำอะไรตอบ ตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องเสื้อ ถ้ามีคนริบเสื้อเราไปก็ให้ไปทั้งหมด นั่นหมายถึงเรื่องของทรัพย์สินถ้าคุณมีมากเท่าตัวก็ให้เขาไปเลย สุดท้าย เรื่องของการบังคับให้คุณเดินในระยะทาง 1 กิโลเมตร คุณก็เดินไปเลย 2 กิโลเมตร นั่นหมายถึงเรื่องของจิตใจ คือถ้าใครบังคับจิตใจคุณ คุณก็ให้เขาไปเลย 2 เท่าตัว 3 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระเยซูสอนให้เรายอมคนอื่น ผมเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องที่พูดถึงพี่น้องคริสเตียนกันเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากที่เราจะทำเพราะเป็นศักดิ์ศรีของคน ที่เรายังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ผมก็ขอบคุณพระเจ้าที่เราได้ผ่านเรื่องตรงนี้มาซึ่งพูดได้เลยว่าผมดีใจที่ผมยอม คือตอนนั้นผมไม่มีศักดิ์ศรีเลย เขาให้ทำอะไรผมยอมทุกอย่าง และเชื่อไหมว่าพระเจ้าให้ศักดิ์ศรีแก่เรา และการยอมไม่ใช่เป็นสิ่งที่คุณเสีย ให้เราคิดให้ดีๆ การยอมเป็นสิ่งที่คุณได้ในทุกครั้ง เรื่องนี้ผมว่าเป็นเรื่องยากแต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ผมเป็นคนที่ยอม หรือจะเป็นเรื่องที่ทำให้เรายอมมากกว่านั้นพระเจ้าก็ให้กำลัง ในหลายครั้งที่พระคัมภีร์บอกและไม่เป็นไปอย่างนั้น เราอาจจะคิดต่อต้านในใจ ผมก็คิดว่าพระเจ้าให้เราทำเราก็ทำ และเวลาที่ให้อะไรใครผมก็ไม่คิดว่าจะต้องได้อะไรคืน ถึงแม้อาจจะมีบ้างเพราะเราก็เป็นมนุษย์ แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว ผมว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง และเมื่อเราทำตามโดยไม่มีเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่ พระเจ้าทรงเห็นถึงข้างในคุณ และในหลายครั้งที่พระเจ้าอวยพร พระองค์ก็คงดูในจิตใจของเรา ว่าเราไม่ได้คิดอะไร พระเจ้าก็ให้ตามสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้
.
ฝากถึงคริสตชน เราต้องยืนหยัดต่อสู้ในสิ่งที่ชั่วและรักในสิ่งที่ดี รักในความยุติธรรม ที่สำคัญคือมีความรักและความเข้าใจในเรื่องความถูกต้อง เพื่อจะอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
  • คุณอติเทพ วรวิจิตราพันธ์  อายุ 56 ปี อดีตมัคนายกคริสตจักรไมตรีจิต สมรสกับคุณธิดา วรวิจิตราพันธ์ มีบุตรสาวหนึ่งคนคือคุณอธิยา วรวิจิตราพันธ์ ปัจจุบันคุณอติเทพ วรวิจิตราพันธ์ เป็นกรรมการบริษัทเฟลเวอร์พลัส จำกัด