รู้จัก “พอ” รู้จัก “รอ” ชีวิตเป็นพร
รู้จัก “พอ” รู้จัก “รอ” ชีวิตเป็นพร ทุกครั้งในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผมกับน้องๆ มักเลือกพาคุณพ่อคุณแม่ไปทานข้าวด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ บ้าน อาจเป็นสุกี้ อาหารญี่ปุ่น หรืออะไรก็ได้ตามที่พ่อแม่อยากเลือกทาน คำพูดคุ้นหูของพ่อแม่มักบอกพวกเราว่า “อย่าสั่งเยอะนะ มันเปลือง เดี๋ยวทานไม่หมด เดี๋ยวก็อ้วนหรอก” แต่ในระยะสองสามปีที่ผ่านมามีร้านอาหารบุฟเฟต์หลายร้านเกิดขึ้นมากมาย คนส่วนใหญ่เลือกมาทานบุฟเฟต์กันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของผมด้วย น่าแปลกที่เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้ยินคำเตือนว่าอย่าทานเยอะ อย่าตักเยอะจากคุณพ่อคุณแม่มากนัก แต่มักจะได้ยินว่าทานให้ เยอะๆ เดี๋ยวไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายซะมากกว่า ผลดีก็คือเราทานอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่ผลร้ายก็คือน้ำหนักตัวของพวกเราทุกคนในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับโรคต่างๆ ที่กำลังตามเข้ามาถ้าเรายังไม่หยุดพฤติกรรมนี้
นอกจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแล้ว สองสามเดือนที่ผ่านมาสุขภาพของผมทรุดโทรมลงมาก ปวดหัวและเครียดบ่อยๆ อาจเพราะงานที่หนักขึ้นในช่วงคริสตมาสและปลายปี แต่สาเหตุอีกอย่างที่สำคัญก็คือ การบริโภคข่าวและสื่อที่มากเกินไป โดยเฉพาะข่าวการเมืองที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดทั้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และความบาดหมางใจของคนที่ผมเคารพรักแต่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ยิ่งผมเป็นคนไม่นิยมดูโทรทัศน์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ผมมีเวลามากขึ้นในการหาเอกสาร อ่านบทความจากอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ผมเริ่มนอนไม่หลับ จนรู้สึกว่าชีวิตเริ่มไม่เป็นปกติแล้ว จนต้องหันมาบูรณาการชีวิตของตัวเองเสียใหม่ ทุกวันนี้ผมยังคงติดตามข่าวสารบ้านเมืองเป็นปกติ แต่จะเน้นความพอดี และแบ่งเวลาให้กับด้านอื่นๆ ของชีวิตด้วย ทั้งการอ่านหนังสือประเภทอื่นๆ กีฬา หรือการใช้เวลากับคนที่เรารัก
จากพระธรรมอพยพ 16:18 กล่าวว่า “แต่เมื่อพวกเขาใช้เครื่องตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาดแคลน ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานได้” พระคำของพระเจ้าตอนนี้บรรยายถึงชนชาติอิสราเอลเมื่อครั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี พระเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยอาหารจากสวรรค์ ที่เรียกกันว่า “มานา” เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมกำลังรณรงค์ให้ปลงชีวิตไม่ต้องไขว่คว้าความสำเร็จ หรืออนาคตที่ดีด้วยความมานะอดทนนะครับแต่พระธรรมตอนนี้ได้ให้ข้อคิดแก่พวกเราทุกคนซึ่งเป็น “พร” จากพระเจ้าอย่างน้อยสองประการ ซึ่งพรทั้งสองประการนั้นมาจากคำว่า “พร” ประการแรกก็คือ รู้จัก “พอ” และประการสุดท้ายคือ รู้จัก “รอ”
ถ้าท่านมีโอกาสได้ดูโฆษณารณรงค์ให้ทานอาหารแต่ละหมู่อย่างพอดี ของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ท่านน่าจะเข้าใจ
พรประการแรกจากพระเจ้าคือ รู้จัก “พอ”
ได้ง่ายขึ้น คำว่า พอ แปลว่าเราแต่ละคนมีขีดจำกัดความพอดีที่หากเกินขีดจำกัดนี้ชีวิตและร่างกายจะไม่เป็นปกติ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้รู้จักความหิวกระหายเพื่อให้รู้ว่าเรายังขาดบางสิ่งบางอย่าง และสร้างมนุษย์ให้รู้จักความอิ่มเพื่อรู้ว่าเราควรหยุดควรพอเมื่อใด แต่ค่านิยมในสังคมสมัยใหม่ได้สอนให้เราไม่ใช่แค่ “หิว” แต่กลายเป็น “โลภ” คือไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักพอนำมาซึ่งความเสียหายหลายๆ อย่างในชีวิต อย่างในพระธรรมอพยพตอนที่เรานำมาพูดถึงนั้น หากประชากรอิสราเอลคนใดเก็บมานาไว้มากเกินพอดี ในวันรุ่งขึ้นมานานั้นก็บูด และมีหนอนขึ้น ความต้องการของมนุษย์ก็เช่นกัน หากมีมากจนเกินพอดีและกลายเป็นความโลภ ย่อมทำให้เขาเบียดบัง หรือแย่งชิงส่วนที่ควรเป็นของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ผลก็คือเขาอาจรู้สึกพอใจกับสิ่งที่เขามีมาก โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังบูดและกลายเป็นหนอน ขอให้เราพิจารณาดู สังคมปัจจุบันที่ทุกคนเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือกันเป็นว่าเล่น บางคนเปลี่ยนแทบทุกเดือน โทรศัพท์มือถือที่ทุกวันนี้เรียกกันว่าสมาร์ทโฟน สามารถเพิ่มช่องทางติดต่อกับผู้คนได้มากมาย แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือการหมกมุ่นกับมันจนมากเกินไปทำให้เราสูญเสียมิตรภาพในชีวิตจริง ความสัมพันธ์ในโลกไซเบอร์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ตอบโจทย์และตอบสนองความต้องการของหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ได้ เราอาจมี friend ในเฟสบุ๊คมากมาย แต่อาจไม่มีเพื่อนแท้ในชีวิตจริงแม้แต่คนเดียว ถ้าหากคุณปรารถนามิตรภาพและความสัมพันธ์กับผู้คนอย่างแท้จริงก็ควรรู้จักพอในการใช้มือถือเสียบ้าง
ความโลภและไม่รู้จักพอยังนำมาซึ่งความขัดแย้งในทุกยุคทุกสมัย สงครามและความเกลียดชังก็ล้วนแล้วแต่มาจากสาเหตุเหล่านี้ทั้งสิ้น เราคงเคยได้ยินตัวอย่างเหล่านี้กันมาบ้างในประวัติศาสตร์ ประเทศไทยเองก็เคยต้องเข้าสู่สงครามหลายครั้งเพราะความกระหายอยากได้ดินแดนของชาติที่ มีกำลังมากกว่า ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ และเสียน้ำตา ทุกวันนี้ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเกิดขึ้นทั้งในระดับชุมชน สังคม และระดับประเทศ ตราบใดที่เรายังไม่เรียนรู้จักคำว่า “พอ” พรของพระเจ้าคือสันติสุข และสันติภาพก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในสังคม และในหัวใจของเรา
หากเราซื่อสัตย์กับตัวเอง เราทุกคนจะพบว่าเรามีบางอย่างที่มากเกินพอดี มากพอจะแบ่งปันให้กับผู้คน โทรศัพท์มือถือตกรุ่นของท่านคงไร้ประโยชน์และรอวันเสื่อมสภาพหากมันถูกทิ้งไว้ในที่เก็บของ แต่มือถือเครื่องนี้จะกลายเป็นพรสำหรับคนที่ขาดแคลนและต้องการใช้โทรศัพท์โทรไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ไกลคนละจังหวัดได้ และถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่ชอบเข้าไปดาวน์โหลดเกมต่างๆ ในกูเกิ้ลเพลย์ หรือ แอปสโตร์ เพื่อมาเล่นฆ่าเวลา แสดงว่าท่านมีเวลาเหลือมากพอจะไปเป็นพรให้กับคนอื่นๆ ที่ต้องการได้ มีครั้งหนึ่งผมเดินทางไป ยอดดอยทางเหนือและได้พบกับบัณฑิตจบใหม่จากภาคใต้ที่นั่น น้องคนนี้เป็นทั้งครูใหญ่ ครูประจำชั้นและภารโรง เพราะทั้งโรงเรียนมีครูแค่คนเดียว เด็กๆ ที่นั่นไม่มีทางเข้าใจคำว่าเรียนพิเศษ หรือ กวดวิชา เพียงแค่เรียนให้ได้ครบทุกวิชาก็นับว่ายากเต็มทีแล้ว บางทีสิ่งนี้อาจจะทำให้ท่านฆ่าเวลาอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น
พรประการที่สอง รู้จัก “รอ”
ดังเช่นมานาจากสวรรค์สำหรับวันพรุ่งนี้ก็ต้องรอจนถึงวันพรุ่งนี้ และพรสำหรับวันนี้ก็มีพระคุณเพียงพอสำหรับเราแต่ละคนแล้ว แต่ในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน การส่งเสริมการขายเป็นสิ่งสำคัญ และหลักการอย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้กับงานบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายและส่งเสริมการขายทุกประเภทก็คือ “ลูกค้าคือพระเจ้า” ฟังแล้วก็ดูดีไม่น้อย เพราะลูกค้าจะได้รับบริการอย่างดีที่สุด น่าประทับใจที่สุด และรวดเร็วที่สุด แต่การโกหกคำโตว่ามนุษย์ที่เป็นลูกค้าเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้ากลายเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมปัจจุบัน การถูกหลอกว่าตัวเองคือพระเจ้าทำให้มนุษย์ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรื่องที่เห็นจนชินตาก็คือ ลูกค้าในร้านอาหารเรียกผู้จัดการร้าน เพื่อมาฟังคำตำหนิอย่างรุนแรงต่อพนักงานที่บริการตนอย่างไม่ถูกใจ อาจเพราะอาหารมาช้าเกินไป มารยาทและคำพูดที่ไม่ดีของบริกรซึ่งบางครั้งก็เป็นเพราะเขาไม่ใช่คนไทย ไม่ใช่คนในเมือง และพูดไทยยังไม่เก่ง เขาอาจวางจานอาหารเสียงดังเกินไป แน่นอนครับว่าการบริการที่ไม่ดีก็ยังคงเป็นการบริการที่ไม่ดี ควรปรับปรุงและแก้ไขเสียใหม่ แต่เราถือสิทธิอะไรในการข่มเหงน้ำใจผู้อื่นซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นการตำหนิในหลายๆ กรณีเป็นการต่อว่าไปถึงบุพการี กระทบกระเทียบถึงการศึกษา กล่าวร้ายในชาติกำเนิด จนบางคนกลายเป็นการโต้เถียงที่ใหญ่โตจนเป็นคดีความ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ เราแต่ละคนสมควรนับถือซึ่งกันและกัน ผมมีความเชื่อจริงๆ ว่าเราสามารถชี้ข้อบกพร่องของอีก ฝ่ายด้วยคำพูดที่สุภาพได้ ผมเชื่อว่าเราทุกคนฉลาดและศึกษามามากพอที่จะเลือกใช้คำพูดที่สื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ดีกว่าคำพูดตำหนิเสียๆ หายๆ
ค่านิยมในสังคมทุกวันนี้ทำให้เราเป็นคนที่รออะไรได้ยาก เราต้องการสิทธิพิเศษที่ต้องได้ และต้องได้เดี๋ยวนี้ การเรียกร้องสิทธิที่ไม่สนใจว่าจะทำให้ใครต้องเดือดร้อนหรือไม่ คนขับรถที่ชอบแซงและปาดหน้ากันไปมา มอเตอร์ไซด์ที่ขับย้อนศรเพียงเพื่อไปได้เร็วขึ้นสักห้านาที คนที่แซงคิวคนอย่างหน้าตาเฉย สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆ ที่บิดเบี้ยวในสังคม หนุ่มสาวที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส คนขับรถที่ติดสินบนตำรวจจราจร ทุกคนทำอย่างนั้นก็เพราะไม่อยากรอ ไม่อยากยุ่งยาก ไม่อยากเสียเวลาไม่ใช่หรือ จริงอยู่เราอาจได้เวลาหลายสิบนาทีและไม่ต้องยุ่งยาก แต่สิ่งนั้นกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคม ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องความยุติธรรมในสังคม ท่านก็ไม่ควรเป็นคนมือถือสากปากถือศีล และทำพฤติกรรมที่ไม่ซื่อเสียเอง
การรอคอยสะท้อนถึงผลของพระวิญญาณในเรื่องความอดทน อดกลั้นใจ ในทางจิตวิทยานั้นผู้ที่ไร้วุฒิภาวะเท่านั้นจึงไร้ความอดทน เหมือนเด็กทารกที่ร้องไห้เสียงดังทันทีอย่างไม่สนใจใครเมื่อหิวนม หรือปวดท้องอยากถ่าย แต่ทุกวันนี้เราต่างก็เห็นอาการของเด็กทารกอยู่ในร่างของผู้ใหญ่ผมสี ดอกเลา ผู้มีอิทธิพล ข้าราชการระดับสูงบางท่านที่โวยวายเสียงดังเรียกร้องสิทธิพิเศษ ดังเช่นข่าวข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ตบศีรษะพนักงานตรวจพิสูจน์ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพียงเพราะไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่จำไม่ได้ว่าตนเป็นข้าราชการระดับสูง ตบตีเขาราวกับเขาไม่ใช่มนุษย์ เราต่างก็เห็นว่าทุกคนต่างเรียกร้องสิทธิของตน แต่ไม่แยแสกับความรับผิดชอบที่ตนควรมีต่อสังคม เรากำลังสร้างอะไรเป็นมรดกแก่คนรุ่นหลัง อย่าตำหนิเด็กวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่สร้างปัญหาให้กับสังคมแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะเด็กเหล่านั้นก็ได้แบบอย่างมาจากผู้ใหญ่ใกล้ๆ ตัวเด็กเช่นกัน
ปีเก่าผ่านไปและปีใหม่ผ่านเข้ามา สิ่งที่เรามักนิยมให้กันนอกจากของขวัญก็คือคำอวยพร ทั้งผ่านการ์ดที่เดี๋ยวนี้คงหายากที่จะมีใครเรียกว่า ส.ค.ส หรือผ่านสื่ออิเล็กโทรนิกอื่นๆ ทั้ง อีเมล เฟซบุ๊ค หรือไลน์ พระพรของพระเจ้าที่ผ่านมาทางพระวจนะ พระคำของพระองค์เป็นพรประเสริฐแท้ที่สามารถให้พรกับท่าน และทำให้ชีวิตของท่านเป็นพรกับทุกๆ คน ผมขอหนุนใจผู้อ่านทุกท่าน รู้จัก “พอ” รู้จัก “รอ” เพื่อชีวิตของท่านจะได้รับพรและเป็นพร ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Rawpixel.com – Freepik.com