ลมหายใจเป็นของพระเจ้า
มคนเคยบอกว่า บางครั้งชีวิตก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย “เส้นด้าย” นั้นช่างบอบบางนัก อาจขาดอย่างง่ายดาย ชีวิตของ “คุณสมชาย สุขุมพันธนาสาร” ก็เคยเกือบอยู่ในจุดนั้นมาแล้ว ในขณะเดียวกัน ก็เป็นวาระหนึ่งของชีวิตที่ทำให้ตระหนักในสิ่งสำคัญยิ่งว่า “ลมหายใจเป็นของพระเจ้า”
คุณสมชาย เกิดในครอบครัวคริสเตียน เป็นสมาชิกคริสตจักรไมตรีจิต สมรสแล้ว ภรรยาชื่อคุณปิยนุช มีบุตร 3 คน คือ ด.ญ.แพรวพราว อายุ 10 ปี ด.ช.ภูมิภัทร อายุ 7 ปี และ ด.ญ.ภัทราพร อายุ 5 ปี ปัจจุบันรับใช้พระเจ้าในตำแหน่งมัคนายกฝ่ายดนตรีที่คริสตจักรไมตรีจิต และยังมีส่วนในงานมิชชั่น และการประชุมต่างๆ ด้วย
แม้จะเกิดในครอบครัวคริสเตียน แต่เขาก็ได้รู้จักและสัมผัสกับพระเจ้าจริงๆ เมื่อไปใช้ชีวิตในต่างประเทศตามลำพัง “การไปใช้ชีวิตในประเทศอเมริกา ทำให้ผมรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้นเพราะผมไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุ 18 ปี ไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ผมเห็นและสัมผัสกับพระเจ้าจริงๆ เพราะผมต้องเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง ผมไม่รู้จักใครที่อเมริกา พระเจ้าได้จัดเตรียมที่เรียนให้ แม้กระทั่งเรื่องงานด้วย ผมไปถึงที่นั่นแค่ 2 อาทิตย์ ก็มีงานทำ มีรถขับ ผมอยู่ที่นั่น 18 ปีเพื่อเรียนและทำงานหลังเรียนจบ จนอายุ 36 ปี คุณแม่จึงเรียกให้ผมกลับมาเมืองไทย เพราะคุณพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี ผมจึงกลับมาเมืองไทย ช่วยเหลือกิจการของที่บ้าน เคลียร์ปัญหาต่างๆ และมีครอบครัวที่นี่”
สัมผัสพระคุณพระเจ้า
วันที่ 29 สิงหาคม 2008 เป็นวันที่คุณสมชายตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต โดยเฉพาะการมีชีวิตอยู่ด้วยความซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้า
“บ้านผมเป็นตึกแถว 7 ห้องติดกัน พื้นที่ชั้นบนบางส่วนผมจะแบ่งห้องให้เช่า วันที่ 29 สิงหาคม มีคนมาแสดงตนว่าอยากจะขอเช่าห้อง ผมก็พาเขาขึ้นไปดูห้อง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร แบบว่าใครจะขอดูห้องเช่า ผมก็พาไปดู เขาดูเสร็จ ก็บอกว่าพรุ่งนี้จะกลับมา เอาเงินมาวางมัดจำ วันนั้นก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต วันรุ่งขึ้นเขากลับมา ผมไม่ค่อยว่าง ภรรยาออกไปรับหน้าเขา แต่เขายืนยันว่าต้องการจะเจอผมให้ได้ และบอกว่าในห้องมีของชำรุด ต้องไปดูให้เขาก่อนที่เขาจะย้ายเข้ามา ผมยุ่งๆ ก็เลยรีบๆ ขึ้นไปดูให้เขา ห้องนั้นอยู่บนชั้น 4 มันเงียบมาก เวลาประมาณ 5-6 โมงเย็น คนเช่าห้องอื่นๆ ก็ยังไม่กลับมาจากทำงาน
“จังหวะที่ผมหันหลังให้เขาเพื่อดูตรงมุมห้องที่เขาชี้ว่าชำรุดอยู่นั้นเอง เขาก็เอาของมีคมอะไรสักอย่างมาปาดคอผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เพราะมองไม่เห็นและก็เร็วมาก ตอนนั้นผมขอบคุณพระเจ้าที่ผมเบี่ยงตัวได้ ผมพยายามร้องเรียกให้คนช่วย เพราะผมรู้ว่าที่ชั้น 2 มีคนอยู่ และมีคนที่ชั้น 2 ได้ยินเสียงร้องของผม แต่พอผมร้องครั้งแรก เขาเอามีดเสียบปากผม เพื่อจะหยุดผมให้เงียบ ผมกัดใบมีดไว้ มันก็เลยเข้าไปไม่ลึก สักพักพอผมหลุดออกจากอ้อมแขนของเขาที่ล็อคผมไว้ ผมก็ร้องเรียกให้คนช่วยเป็นครั้งที่สอง ตอนนั้นผมออกมานอกห้องได้แล้ว ทำให้คนที่อยู่ชั้นล่างได้ยินเสียงและขึ้นมาดู จังหวะนั้นคนร้ายก็กระหน่ำแทงผมไปทั่วตัว มีดโดนตรงสีข้างด้วยราว 6-7 แผล ซึ่งแทงทะลุปอดด้วย พอคนร้ายเห็นว่าผมไม่ล้มลง และมีคนกำลังขึ้นมา เขาก็รีบหนีไป ระหว่างที่เขาหนีลงข้างล่าง ผมก็พยายามเอาตัวเองลงมาข้างล่างเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะไปตามเขา แต่ผมรู้ว่าเมื่อโดนอย่างนี้ ผมต้องรีบลงไปข้างล่าง เพื่อให้คนที่บ้านพาผมไปส่งโรงพยาบาล
“เมื่อผมลงมาถึงชั้นล่าง ลูกๆ ผมนั่งกินข้าวกันอยู่ ทุกคนเห็นสภาพของผมที่มีเลือดเต็มตัว เสื้อสีขาวที่ใส่อยู่กลายเป็นสีแดง เมื่อภรรยาผมเข้ามาใกล้ๆ ผม และเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม เราก็ออกไปยืนที่ถนนเพื่อจะเรียกรถ จังหวะนั้นขอบคุณพระเจ้า มีรถมอเตอร์ไซต์ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูซึ่งมีวิทยุสื่อสารด้วย ปาดเข้ามา ทั้งที่เราไม่ได้เรียก เขาถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม แล้วก็รีบวอเรียกรถร่วมกตัญญูซึ่งอยู่ไม่ไกล ประมาณ 2 ป้ายรถเมล์ ไม่ถึง 2 นาที รถร่วมกตัญญูก็มารับผมไปส่งที่โรงพยาบาลเลิดสิน ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งนะ เพราะวันนั้นกำลังมีเรื่องของกลุ่มพันธมิตร ทุกโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อม รวมทั้งเลือดทุกกรุ๊ปด้วย เลือดผมเป็นกรุ๊ปเอบี ซึ่งธรรมดาแล้วจะหายาก ตอนแรกเราก็ไม่นึกว่าอะไรมันจะพอเหมาะขนาดนี้ คืออะไรก็พร้อม หมอพร้อม เครื่องมือพร้อม ทำให้ผมรู้สึกว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นจริง และพระองค์ก็ดูแลผมอยู่
“ผมเสียเลือดไปมาก และหมอใช้เวลาเย็บแผลถึง 3 ชั่วโมง แผลที่คอยาวถึง 18 เซนติเมตร ตามใบรายงานของหมอ บอกว่าเป็นแผลที่ลึกมาก สามารถเอามือล้วงเข้าไปได้ นอกจากนี้หมอยังเย็บแผลที่ปากและลำตัวอีก เย็บไปทั้งหมดประมาณ 40-50 เข็ม”
ภายหลังเหตุการณ์ผ่านไประยะหนึ่ง คุณสมชายจึงตระหนักว่าคนร้ายต้องการจะมาปล้นเขา อย่างไรก็ตาม พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น แต่พระองค์ก็ทรงดูแล จัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว
“ถ้าเขาจะบอกผมสักคำหนึ่งว่าจะเอาทรัพย์สินในร่างกาย แน่นอนผมให้เขาอยู่แล้ว ตอนนั้นผมมีเงินสดติดตัวอยู่ 3 หมื่นกว่า กับสร้อยและทองอีกประมาณ 3-4 บาท แต่ไม่รู้ทำไมเขาไม่บอก กลับทำร้ายผมอย่างรุนแรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกกลัวและระแวงว่าคนร้ายคนนั้นจะกลับมาทำร้ายผมอีก ประกอบกับหมอให้มอร์ฟีนแก้ปวด ทำให้ผมเบลอๆ ตอนผมอยู่ในห้องไอซียู พยาบาลก็มาปลุกผมตลอดเวลา ตอนแรกก็ไม่รู้เหตุผล ตอนหลังถึงรู้ว่า เวลาหลับ เครื่องช่วยหายใจจะทำงานแทน แต่ถ้าผมตื่น ผมก็ฝึกหายใจเองได้ เพราะผมถูกแทงที่ปอดด้วย พอรู้เหตุผล ผมก็พยายามฝึกหายใจเพื่อช่วยตัวเอง ผมใส่เครื่องช่วยหายใจไม่ถึง 24 ชั่วโมง หมอก็ให้ถอดออกได้ และอยู่ห้องไอซียูแค่ 2 วัน ใครๆ ก็บอกว่าทำไมฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ ผมเข้าโรงพยาบาลเย็นวันศุกร์ วันจันทร์ผมก็ออกจากห้องไอซียูมาเดินและกินข้าวได้แล้ว พอผมมานั่งคิด ก็รู้ว่าเป็นการอัศจรรย์จริงๆ พระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ ตอนนั้นในใจผมพะวงถึงงานที่รับผิดชอบอยู่ เป็นการประชุมโควี้ที่พัทยา อีก 10 วันจะมีการประชุมแล้ว และผมรับงานแผนกขนถ่ายคนจากสนามบินสุวรรณภูมิไปที่พัทยา ผมพะวงกับงานตรงนี้มาก เพราะงานอยู่ที่ผมหมด ดังนั้นพอผมฟื้นตัวได้ วันจันทร์ผมก็รีบเคลียร์งานตรงนี้ และส่งงานต่อให้คนอื่น ขอบคุณพระเจ้าที่มีอาสาสมัครมาช่วยงานหลายคน
“โดยรวมแล้วผมขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ผมฟื้นตัวได้เร็วมาก และผมไม่เคยมีอาการเจ็บแผลใดๆ เลย มีก็แต่อาการชาเท่านั้น เพราะบางจุดตัดโดนเส้นประสาท”
ทำไมพระเจ้ายอมให้เกิดขึ้น
ในขณะคนส่วนใหญ่จะมีคำถามขึ้นเมื่อมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวเองว่า “ทำไมฉันต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายนี้ด้วย” สำหรับคริสเตียนบางคนอาจถามพระเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น” แต่คุณสมชายกล่าวว่า “โดยส่วนตัวแล้ว ผมจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ผมผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวิกฤติแบบไหน ผมก็ขอบคุณพระเจ้าได้” ในขณะที่คนทั่วไปมักจะพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เพื่อตอบคำถามว่า ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นกับฉัน “สำหรับผม สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือ พระเจ้าคงใช้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตผม เพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ในช่วงที่เกิดวิกฤติขึ้นกับผม เพียงแค่ 15 นาทีหลังจากเกิดเหตุ ก็มีคริสเตียนทั่วโลกอธิษฐานเผื่อผม เพราะกรรมการของงานโคบี้ที่ทราบข่าว รีบส่งข่าวทางอินเทอร์เน็ตบอกไปทั่วโลกเลย”
หลังจากเหตุการณ์ชวนสยองนั้น มีหลายคนบอกให้เขาย้ายบ้าน หรือย้ายกลับไปอยู่อเมริกาเลย “จริงๆ แล้วผมจะทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะผมมีสองสัญชาติ สามารถกลับไปอยู่ที่นั่นเมื่อไรก็ได้ แต่ในใจผมคิดว่าพระเจ้าดูแลผมขนาดนี้แล้ว ผมจะยังไม่มั่นใจในพระองค์ได้อย่างไร จะกลัวอะไรอีก ดังนั้นชีวิตประจำวันของผมจึงยังไม่เปลี่ยน ผมอยู่ที่เดิม ทำงานเหมือนเดิม และผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่า พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ไม่ต้องกลัว”
เรียนรู้จากประสบการณ์
จากสิ่งที่คุณสมชายประสบ ทำให้เขาเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เพียงไร พระองค์ทรงทำงานของพระองค์อยู่ “จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระคัมภีร์ 1 เธสะโลนิกา 5:18 ที่บอกว่า ‘จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย’ ข้อนี้อยู่ในใจผมตลอด และอีกข้อคือที่บอกว่า ‘การแก้แค้นเป็นของพระเจ้า’ ผมฝากเรื่องที่คนมาทำร้ายผมไว้กับพระเจ้า ให้พระองค์จัดการ ส่วนผมมีภารกิจที่ต้องเดินต่อ งานของผมต้องเดินต่อ ถามผมว่าโกรธคนร้ายไหม ผมไม่รู้จะไปโกรธเขาเพื่ออะไร ทรัพย์สินของผม คนร้ายก็เอาไปไม่ได้ มันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกทำร้ายอย่างนี้ ช่วงที่นอนอยู่โรงพยาบาลผมก็พยายามทบทวนว่าผมไปมีปัญหาอะไรกับใครไหม ธุรกิจขายเครื่องมือทันตกรรมของผมเป็นเพียงกิจการเล็กๆ จึงไม่น่าจะไปทับเส้นใคร อย่างไรก็ตาม ผมขอพระเจ้าอภัยให้กับผม ถ้าผมทำบางอย่างไปโดยไม่รู้ตัว เพราะผมคิดไม่ออกจริงๆ และผมก็ขอพระเจ้าที่จะเมตตาผม นำชีวิตของผมต่อไป”
วันที่ 10 กันยายน 2008 คุณสมชายสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ เขาเล่าว่า “ผมฟื้นตัวเร็วมาก แม้แผลที่คอจะตัดโดนเส้นเลือดใหญ่ แต่ก็หายเร็วมาก ยาแก้ปวดที่ได้มา ผมไม่ได้ใช้เลย แสดงว่าบาดแผลนั้นไม่บอบช้ำมาก อาจจะเป็นเพราะมีดนั้นคมมากเลยทำให้แผลฉีกขาดแบบไม่ช้ำ ถ้าไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็นรอยแผลเลยด้วยซ้ำ ผมจึงเห็นว่า พระเจ้าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผม แต่พระองค์ก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจ ผมไม่รู้สึกอับอายกับรอยแผลบนร่างกาย เพราะถ้าผมยังอายกับบาดแผลเหล่านี้ มันก็จะเป็นเหมือนตราบาปที่ประทับอยู่ เนื่องจากเราเห็นมันทุกวัน ถ้าคิดอย่างนั้นมันก็จะกลายเป็นความขมขื่น และผมก็คงจะไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แต่ผมขอบคุณพระเจ้าที่ผมมีพระองค์อยู่ในชีวิต เป็นพระเจ้าแห่งการให้อภัย พระเจ้าแห่งสันติสุข ที่จะช่วยให้ผมก้าวออกมาและสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และออกมาเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์”
จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี
“สิ่งที่ผมอยากจะย้ำคือ จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะผมเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น พระเจ้ายอมให้เกิดขึ้น และพระองค์มีน้ำพระทัยที่ดีสำหรับทุกเหตุการณ์ เราเพียงแต่ต้องมองหาสิ่งนั้นให้เจอ อย่าท้อ อย่าคิดว่าไม่ได้ดั่งใจ อย่างผมรอดมาจากเหตุการณ์เฉียดตายได้แบบที่คุณหมอยังบอกว่าไม่น่าจะรอด แต่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ เพราะ 2 วัน ผมก็ลุกเดินเองได้ กินข้าวได้แล้ว พวกพยาบาลถามว่าผมมีของดีอะไร ผมบอกว่าผมเป็นคริสเตียน พวกเขาก็งง จนผมมาคิดได้ว่า การที่ผมต้องมาอยู่ตรงนั้น ก็เพื่อพวกเขาจะได้ยินและได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผมเชื่อว่าเมื่อเราทำหน้าที่หว่านแล้ว พระเจ้าจะดูแลจัดการเรื่องการเก็บเกี่ยวเอง”
ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ชีวิตของ “คุณสมชาย สุขุมพันธนาสาร” แปรเปลี่ยนจากเส้นด้ายบางๆ มาเป็นเชือกที่พันเกลียวหลายชั้นจนแข็งแรง แน่นหนา ซึ่งเขารู้ดีว่า ไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเอง หากเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า ที่ทรงผูกพันเขาเข้ากับความรักของพระองค์ และพี่น้องคริสเตียนมากมาย ชีวิตของเขาเป็นบทพิสูจน์ว่า คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลัง ทำให้เกิดผลดังที่พระวจนะตรัสไว้ และที่สำคัญ มันคือบทพิสูจน์ว่า พระเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่จริง
- คุณสมชาย สุขุมพันธนาสาร