ว้าวุ่นรัก

ในปี 2006 สมาคมพระคริสตธรรมไทย ได้รับความกรุณาจากอาจารย์วาระ มีชูธน เปิดคอลัมน์ “คุยกับพี่ไลฟ์”
เพื่อนำเสนอทัศนะมุมมองชีวิตวัยรุ่น

     หวังว่าคอลัมน์นี้จะเป็นรสชาติสีสันและมีคุณค่าต่อผู้อ่านทุกวัย ทุกความเชื่อ ทุกศาสนา โดยเฉพาะกับเยาวชนลูกหลานของเรา
อาจารย์วาระ มีชูธน เป็นบุตรชายคนที่สองของ ศจ. ดร. นันทชัย และ ดร. อุบลวรรณ มีชูธน จบปริญญาตรีทางด้านการสื่อสารและการเรียนการสอนพระคัมภีร์ จาก Kentucky Mountain Bible College และปริญญาโททางด้านคริสเตียนศึกษา จาก Asbury Theological Seminary รัฐเคนตั๊กกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นศิษยาภิบาลอนุชนคริสตจักรเมืองไทย และหัวหน้าภาควิชาพลศึกษา โรงเรียนนานาชาติเซนต์ฟรานซิสเซเวียร์ กรุงเทพฯ
“คุยกับพี่ไลฟ์” ตอน “ว้าวุ่นลุ้นรัก”
สวัสดีครับ ลุงป้าน้าอาและพี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน ผมชื่อวาระ มีชูธน ชื่อเล่น “ไลฟ์” ผมขออนุญาตใช้คอลัมน์นี้แบ่งปันประสบการณ์และพระพรที่ผมได้รับในช่วงวัยรุ่น เพื่อเป็นแนวทางกับหลายๆ คนที่อาจจะกำลังตัดสินใจทำอะไรสักอย่างกับตนเองและคนที่ตนรัก แน่นอนที่ชีวิตวัยรุ่นย่อมมีความว้าวุ่นสับสน ไม่เข้าใจตนเอง บ่อยครั้งที่มีอารมณ์และทัศนคติไม่ดีต่อคนรอบข้างและเหตุการณ์ต่างๆ แต่ผมอยากจะบอกว่าดีแล้ว! ดีแล้วที่วัยรุ่นมีอาการแบบนี้ ดีแล้วที่คุณได้เข้าสู่วัยรุ่นหรือเคยเป็นวัยรุ่น และขอขอบคุณที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ คำที่วัยรุ่นคุ้นปากคุ้นหูมากที่สุด คงไม่มีคำไหนเกินคำว่า “รัก” แท้จริงแล้ว “ความรัก” เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงบ่อยมากโดยเฉพาะในแวดวงของคริสเตียน เพราะ “ความรัก” เป็นพื้นฐานของชีวิตคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นหลักศาสนา ในองค์ศาสดาคือพระเยซูคริสต์ และสาวกซึ่งก็คือตัวเราผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ ในชีวิตของพระเยซูคริสต์เอง พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งด้วยความรักสอดคล้องอย่างเหนียวแน่นกับคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์คือ “จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและด้วยสิ้นสุดกำลังความคิด” และ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” คำสอนนี้แสดงถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ บริสุทธิ์ และทรงพลานุภาพ แต่ปัญหาคือมนุษย์นำความรักที่สูงค่าที่พระเจ้าสอนมาใช้ผิดวิธีจนความรักนั้นสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ เปรียบได้กับการนำโสมพันปีที่แดจังกึมต้มมาเป็นเวลานาน มาบรรจุกล่องขายราคาถูกทำให้เสื่อมเสียคุณค่าและศักดิ์ศรีของต้นตำรับ ในทำนองเดียวกัน น่าเสียใจที่ความรักบริสุทธิ์ที่พระเจ้าบรรจุไว้ในหัวใจของมนุษย์ตั้งแต่ต้นได้ถูกบิดเบือน ถูกตีความหมายผิดๆ ถูกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี ถูกนำไปใช้ในโรงแรมที่มีม่านไว้รูดปิดบังการประพฤติผิด ผมเป็นอาจารย์สอนอยู่ในโรงเรียนเอกชนหลายแห่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทุกวันผมเห็นนักเรียนมัธยมใช้คำว่า “รัก” อย่างฟุ่มเฟือยในทุกรูปแบบและทุกบริบท จึงดูเหมือนว่าคำว่า “รัก” ถูกแบ่งขายจนเราเคยชินคิดว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องที่เห็นกลาดเกลื่อนนั้นคือ “รักแท้”
ถึงตรงนี้ผมจึงเกิดคำถามว่า ความรักในพระคัมภีร์แตกต่างอย่างไรกับความรักในกล่อง? เมื่อผมเป็นวัยรุ่น ผมยอมรับว่าเคยมีแฟนหลายคนและมีในเวลาเดียวกันด้วย แต่ท้ายที่สุดคนที่ผมแต่งงานด้วยคือคนที่ผมรัก ความรักที่ผมมีต่อภรรยาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความรักที่ผมใช้อย่างฟุ่มเฟือยในอดีต ผมขอสรุปบทเรียนจากประสบการณ์ของผมโดยยกพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่าง ดังนี้ ความรักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และเคลื่อนไปอย่างช้าๆ พระเยซูคริสต์รักสาวกของพระองค์ทุกคนและพระองค์ใช้เวลาถึง 3 ปีที่จะทำความรู้จักสาวกแต่ละคน และในที่สุดพระองค์ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตคนเหล่านั้นได้ ผมกับภรรยารู้จักกันมา 3 ปี คบหาเป็นแฟนกัน 12 ปี แต่งงานกันมาแล้ว 1 ปี 6 เดือน เวลาจึงเป็นเครื่องตัดสินและเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความจริงจัง ความแน่นอน และความมั่นคง ความรักสนใจจิตใจภายในมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างในการเอาใจใส่คนหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนเก็บภาษี คนตาบอด คนโรคเรื้อน หญิงโสเภณี และคนบาปด้วยเหตุต่างๆ คนเหล่านี้น่าสงสารมากใช่ไหมครับ ? บางกลุ่มก็เรียกได้ว่าน่าอนาถตั้งแต่ภายนอกเลยทีเดียว แต่พระเยซูกลับมองเห็นเขาเข้าไปถึงภายในใจที่หิวกระหายใฝ่หาความบริสุทธิ์ การให้อภัย และการยอมรับของสังคม ผมไม่ได้กำลังแนะนำให้ใครออกไปหาคนที่น่าอนาถมาเป็นแฟนนะครับ ภรรยาผมก็หน้าตาสวยแต่ที่สวยกว่าคือนิสัยใจคอของเธอ ตลอด 12 ปี ที่เราคบกัน เราอยู่ไกลกันคนละฟากฝั่งมหาสมุทรถึง 9 ปี เขียนจดหมายถึงกัน 800 ฉบับไม่รวมอีเมล์ คุยโทรศัพท์ข้ามประเทศกันทุกวัน สถิติของผมคือโทรนานถึงเจ็ดชั่วโมงครึ่ง ถามว่าคุยอะไรกันนานขนาดนั้น ผมบอกได้เลยว่ายิ่งคุยกันผมก็ยิ่งรู้จักเธอมากขึ้น รู้ว่าเธอสนใจอะไร มีมุมมองในชีวิตอย่างไร และทำให้ผมเห็นว่าเธองามจริงๆ ความสนใจของผมอยู่ที่ว่า “คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนั้น…” “ทำไมคุณถึงรู้สึกอย่างนั้นกับเรื่องนี้…” “คุณแก้ไขเหตุการณ์นี้ยังไง”
ผมเคยคุยกับคนขับแท็กซี่คนหนึ่ง เขาสรุปให้ผมฟังว่า “ผู้หญิงทุกคนพออายุ 60 หน้าตาก็เหมือนกันหมด” ก็อาจจะจริงของเขา หากเขาดูเพียงหน้าตาภายนอกและไม่สนใจความงามภายใน ความรักสามารถเปิดเผยส่วนที่บกพร่อง ความรักต้องไม่ช่างจดจำความผิดและให้อภัยเสมอดังคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์ และรักแท้ยังต้องกล้าเปิดเผยถึงความบกพร่อง ความอ่อนแอ ปมด้อย และตัวจริงของแต่ละฝ่าย โดยไม่ต้องกลบเกลื่อนด้วยรถบีเอ็มดับบลิว หรือกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ที่แพงลิบลิ่ว ก่อนพระเยซูจะเข้าสู่วันสุดท้ายตามพระมหาบัญชาของพระบิดา พระองค์ร้องไห้ในสวนเกทเสมนี แล้วพระองค์ก็ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนโดยแทบจะไม่มีอะไรปกปิดพระกายของพระองค์ นั่นแหละคือตัวตนจริงของพระเยซูผู้ทรงรับความบกพร่องของพวกเราทุกคนไว้ พระองค์ไม่จำเป็นต้องปิดปังความรู้สึกอ่อนแอขณะที่พระองค์รับสภาพของมนุษย์ ผมจำได้ถึงวันที่ผมนั่งลงบอกคนรักของผมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำผิดพลาดมาในชีวิต เป็นการสารภาพด้วยความเชื่อว่าเธอรักผมมากพอที่จะให้อภัย พระคัมภีร์บอกว่าจงสารภาพบาปต่อกันและกันและอธิษฐานเผื่อกันและกัน ความรักเป็นการตัดสินใจ ไม่ใช่การใช้อารมณ์ ผมคิดว่าข้อนี้สำคัญมากๆ เพราะวัยรุ่นมักตัดสินใจบนพื้นฐานของการใช้อารมณ์ ผมรู้ได้อย่างไร ? ผมรู้ เพราะผมผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้วและผมใช้เวลาคลุกคลีกับวัยรุ่นมามาก ผมทำแบบทดสอบบุคลิกภาพมา 5 ครั้ง ทุกครั้งผลการทดสอบบอกว่าวัยรุ่นใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อย่างไร ก็ต้องระวังให้มากเพราะวัยรุ่นชอบนำอารมณ์มาตัดสินใจในเรื่องความรัก เช่น “ผมรู้สึกดีกับเธอแสดงว่าเธอต้องรู้สึกดีกับผม” “วันนั้นเธอจับมือผม ผมรู้สึกดีจัง เธอคงต้องชอบผมแน่ๆ” น้องๆ ครับถ้าน้องๆ ไม่เรียนรู้ที่จะตัดสินใจโดยใช้เหตุและผลและความเป็นจริง น้องๆ จะเสียใจกับการตัดสินใจผิดพลาดต่างๆ ในชีวิต การที่เรารู้สึกดีกับใครก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นเขาจะชอบพอเราเป็นพิเศษ การถูกเนื้อต้องตัวของอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้หมายความว่าเขารักเรา จำได้ไหมครับว่ายูดาสได้จูบพระเยซูในวันที่เขาทรยศต่อพระองค์ และการกระทำซึ่งดูเหมือนว่าเขารักพระเยซูได้นำพระองค์ไปสู่การถูกเฆี่ยน ถูกโบยตี ถูกตบ ถูกหัวเราะเยาะ ถูกแทง และถูกตรึง และสุดท้าย พระองค์ก็ยอมที่จะรับความเจ็บปวดจนถึงแก่ความตายเพราะพระองค์เลือกที่จะรักมนุษย์ ดังนั้น การตัดสินใจเลือกที่จะรักนั้นมีพลานุภาพใหญ่ยิ่งกว่าการเลือกคนที่จะรัก มีหลายครั้งที่ผมและภรรยาทะเลาะกันเพราะต่างฝ่ายต่างบกพร่องทั้งคู่ แต่ถามว่าเรายังคงรักกันไหม แน่นอน 100% พระคัมภีร์สอนเราว่าถ้าเรารักคนดีก็ไม่ต่างอะไรกันกับชาวโลกเลย แต่ถ้าเรารักคนที่ไม่น่ารักสิ นั่นแหละคือความรักที่แท้จริง เรื่องนี้ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เพราะการรักคนที่ไม่น่ารักก็จะรวมไปถึงการรักศัตรู เห็นไหมครับ? เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากแม้แต่กับผมเอง พระเจ้าจึงอนุญาตให้เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านของผม เรื่องของเรื่องก็คือ เพื่อนบ้านที่อยู่รั้วติดกันกับเราจะส่งเสียงดังตั้งแต่ตี 5 จนถึง 5 ทุ่ม ไม่มีวันหยุด แกจะมีโทนเสียงพิเศษและสามารถบ่นว่าหมู หมา กาไก่ ตั้งแต่แกลืมตาจนแกเข้านอน และเสียงนี้ทำให้ผมรำคาญมาก คนในหมู่บ้านรวมทั้งผมเรียกแกว่าป้าดัง วันหนึ่ง แกมายืนด่าบ้านเรากลางสนามสาธารณะเพราะใบไม้บ้านเราข้ามรั้วไปบ้านแก ผมรำคาญมากเลยเปิดเพลงดังๆ และหันลำโพงออกไปทางบ้านแก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป จนวันหนึ่ง เมื่อผมอ่านพระคัมภีร์ที่บอกว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” พระคำตอนนี้พูดกับผมอย่างแรง ผมเลยสั่งเค้กช็อกโกเลตเขียนข้างหน้าว่า “แด่ป้าข้างบ้าน” ไปกดออดบ้านป้าดังยื่นขนมให้แกพร้อมรอยยิ้ม แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องส่งเค้กอีกกี่กล่องเสียงป้าดังจึงจะลดลง ขอพระเจ้าให้ผมมีความอดทนและให้เพิ่มความรักที่ผมเอาใส่กล่องไปให้แก เพื่อผมจะไม่ส่งเสียงดังทับแกแล้วทำให้เรื่องราวยิ่งไปกันใหญ่โต เพราะผมเรียนรู้ว่าความรักที่แท้จริงมีมาตรฐานและเกณฑ์ที่สูง และนำไปถึงการเสียสละ การอภัย และการให้ชีวิต ถ้าจะรักก็รักแบบพระคริสต์นะครับ เพราะรักในกล่องที่ให้กันกลาดเกลื่อนนั้นมีวันหมดอายุแน่นอน
อ.วาระ มีชูธน