สำเร็จจากความล้มเหลว 2/10

สำเร็จจากความล้มเหลว

สมมุติถ้ามีใครมาถามว่า “อะไรจะช่วยคุณได้ดีที่สุด เมื่อคุณต้องติดอยู่บนเกาะร้างคนเดียว?” ถ้ายังนึกคำตอบที่พอใจไม่ออก ผมอยากเสนอคำตอบให้ว่า “ทัศนคติที่ดี” ไงล่ะ (คงมีหลายคนเริ่มหัวเราะเยาะผมในใจแล้วสิ) เชื่อสิครับว่าต่อให้เรามีเรืออันทันสมัย หรือเครื่องบินที่บินเร็วกว่าเสียง แต่ไม่มีทัศนคติที่ดีสิ่งเหล่านั้นก็อาจนำให้เราหลุดพ้นจากเกาะร้าง แต่ไปเจอปัญหาที่แย่ยิ่งกว่าได้ ทัศนคติที่ดีอาจไม่ประกันว่าคุณจะออกจากเกาะร้างได้ในทันทีก็จริง แต่รับประกันได้ว่าคุณจะไม่รู้สึกแย่จนถอดใจไปก่อนอย่างแน่นอน แต่ถ้ายังรู้สึกค้านในใจ ก็ลองอ่านจนจบสิครับ ไม่แน่ว่าผมอาจทำให้คุณเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ก็เป็นได้

เมื่อคนเราอายุมากขึ้นและเหลียวกลับไปมองอดีต หลายคนจะนึกขอบคุณความผิดหวังและล้มเหลวมากมายที่เคยเกิดขึ้น เหมือนที่เราเคยได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” ผมเป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ตรง จำได้ว่าเกือบสิบปีที่แล้วผมได้รับมอบหมายงานที่ทุกคนรู้สึกเหมือนเป็น “เผือกร้อน” นั่นคือการเป็นวิทยากรในงานสัมมนา ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมยอมตอบตกลงรับเผือกร้อนชิ้นนี้มาเพราะแท้ที่จริงแล้วผม ไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อนเลย ผลปรากฏว่าการสัมมนาครั้งนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ผมไม่สามารถควบคุมการบรรยายได้ และเกิดการถกเถียงกันระหว่างผู้เข้าร่วมการสัมมนาเป็นวงกว้าง เรื่องนี้ทำให้ผมถึงกับนอนไม่หลับอยู่หลายวัน ไม่กี่เดือนต่อมาผมได้รับเชิญให้ไปบรรยายในโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่ง แทนวิทยากรคนหนึ่งซึ่งติดธุระด่วน ครั้งนั้นมีผู้เข้าฟังมากกว่าการสัมมนาครั้งแรกของผมถึง 50 เท่า ผมถามตัวเองหลายครั้งว่าผมควรทำอย่างไรดี จนในที่สุดมี ข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งปรากฏให้ผมเห็นหลายครั้งว่า “…ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเราได้?”(โรม 8 ข้อ 31) ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมตีความข้อพระคัมภีร์นี้เข้าข้างตัวเองไปหรือไม่ แต่พระเจ้าก็ช่วยให้ผมสามารถตอบตกลงรับงานนี้โดยไม่ลังเลอีก สุดท้ายการสัมมนาประสบความสำเร็จอย่างมาก มีครูอาจารย์และนักเรียนเข้ามาพูดคุยซักถามกับผมนานนับชั่วโมง ทำให้ผมกลายเป็นวิทยากรประจำของโรงเรียนนั้นมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้หลายคนจึงจำไม่ได้แล้วว่าผมเคยเป็นวิทยากรที่แสนจะอ่อนหัดมาก่อน วิกฤติการณ์ครั้งนี้จึงกลับกลายเป็นโอกาสทองในชีวิตของผมอย่างแท้จริง 

ทุกวันนี้งานวิทยากรเป็นงานหนึ่งที่ผมทำได้อย่างมั่นใจถามว่าผมเก่งกว่าคน อื่นอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เลย ซึ่งคนที่รู้จักผมมานานกว่าสิบปีคงจะสามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้ว่า ในอดีตการพูดต่อหน้าคนอื่นคือยาขมสำหรับผม มีตัวอย่างจำนวนมากที่เราเคยได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จที่สามารถยืนยันได้ ว่า คนที่สำเร็จไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดเสมอไป ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนเคยผิดหวังและล้มเหลวมาแล้วทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่นอัจฉริยะบุคคลอย่าง อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ก็ยังเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน คุณครูของเขาต่างก็เชื่อว่าเขาเป็นคนสมองช้าและเอาแต่เหม่อลอย เอลวิส เพรสลี่ย์ บิดาแห่งเพลงร็อคแอนด์โรล เคยถูกไล่ออกเมื่อร้องเพลงใหม่ๆ และยังถูกดูถูกว่าเขาควรไปขับรถบรรทุกมากกว่า วอเรน บัฟเฟตต์ นักการเงินอัจฉริยะ ผู้มีทรัพย์สมบัติมากเป็นอันดับสองของโลกยังเคยถูกปฏิเสธการเข้าเรียนสาขา ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตัวอย่างเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคนไม่ได้มีความ โดดเด่นอะไรมากไปกว่าคนอื่นเลย แต่สิ่งที่เขามีมากกว่าคนอื่นก็คือ ความเชื่อและทัศนคติที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง สิ่งนี้ช่วยแปรสภาพความล้มเหลวให้กลายเป็นแรงใจในการต่อสู้กับชีวิต 

ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “เพอร์ซี่ แจ็คสันตอนสายฟ้าที่หายไป และตอนอาถรรพ์ทะเลปิศาจ” ผมต้องการอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ก็เพราะมีน้องๆ วัยรุ่นในคริสตจักรหลายคนเล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาอ่านแล้วรู้สึกว่าอยากเป็น เหมือน เพอร์ซี่ แจ็คสัน พวกเขาเชื่อว่าคนที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จ จะต้องมีความแตกต่างจากคนทั่วไป เหมือนที่เพอร์ซี่ แจ็คสัน ซึ่งเป็นลูกของเทพโพเซดอนจ้าวสมุทรที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็น ความเชื่อนี้อาจเป็นสิ่งที่อยู่ในใจหลายๆ คนที่มักรู้สึกว่าตนเองเกิดมาด้อยโอกาสกว่าคนอื่น บ้างก็ดูถูกชาติตระกูลของตนเอง และโทษว่าด้วยสิ่งที่ติดตัวเขามาแต่กำเนิดทำให้เขาไม่มีวันประสบความสำเร็จ ซึ่งนั่นไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีผมก็มักจะบอกน้องๆ อนุชนว่า ถ้าสมมุติชาติกำเนิดมีผลต่อความสำเร็จจริง พวกเขาก็ยิ่งต้องประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขาเองเป็นลูกพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ซึ่งหากจะเทียบแล้วชาติกำเนิดของพวกเขาดีเสียยิ่งกว่า เพอร์ซี่ แจ็คสัน ในหนังสืออย่างเทียบกันไม่ได้เลย ในพระธรรมลูกา 11:13 กล่าวว่า “เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” เชื่อเถอะครับวัยรุ่นคริสเตียนทุกท่าน เรามีพ่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและทรงมีพระเมตตาอย่างเหลือล้นจริงๆ

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ต่างอ้อนวอนและอธิษฐานว่าขอให้ชีวิตของเรานั้นมีแต่ เรื่องดีๆ แต่แท้ที่จริงแล้วเรื่องร้ายในสายตาของเราอาจกลับกลายเป็นประโยชน์กับชีวิต ของเราอย่างมหาศาล เมื่อมันมาพร้อมกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความเชื่อ และทัศนคติที่ดี สำหรับวัยรุ่นในปัจจุบันคำถามที่ผมมักจะได้ยินจากการมาขอคำปรึกษาก็คือ ถ้าอยากประสบความสำเร็จโดยเหนื่อยน้อยที่สุดต้องทำอย่างไร หรือบางคนก็ถามผมว่า จะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 30 ปีได้อย่างไร ผมจึงถามกลับไปว่าเพราะอะไรจึงอยากเหนื่อยน้อย หรือเพราะอะไรจึงอยากมีอิสรภาพทางการเงิน พวกเขาตอบในทำนองเดียวกันว่า พวกเขาอยากสนุกกับชีวิตโดยไม่ต้องทำงาน เห็นหรือไม่ว่าทุกวันนี้สังคมให้ทัศนคติอะไรแก่คนรุ่นใหม่บ้าง เราอยากไปถึงยอดเขาโดยไม่ต้องออกแรงปีนและรับไม่ได้กับความล้มเหลว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัยรุ่นหลายคนเลือกจบชีวิตของตนเองเพราะความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียว ดูเหมือนสังคมไม่ได้เหลือที่ยืนให้กับคนที่เคยผิดพลาดอีกแล้ว

ทุกวันนี้ผมยังคงทำผิดพลาด และล้มเหลวในหลายๆ เรื่อง แต่เมื่อผมเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมพบเสมอว่าเราจะทำผิดพลาดในเรื่องเดิมน้อยลง และเราจะเกิดทักษะในเรื่องนั้นๆ มากขึ้น คนที่ไม่เคยมีปัญหาหรือความล้มเหลวเกิดขึ้นในชีวิตเลย อาจเพราะเขาไม่เคยเริ่มต้นทำอะไรเลย แต่หากเรายังคงพบความล้มเหลวอยู่ ผมขอหนุนใจว่า ให้เราเชื่อมั่นว่าหากเรายังมานะบากบั่น ความล้มเหลวก็จะกลับกลายเป็นประสบการณ์ที่มอบความเข้มแข็งให้เราในอนาคต พระธรรมสุภาษิต บทที่ 10 ข้อ 4-5 กล่าวว่า “มือที่หย่อนเป็นเหตุให้เกิดความยากจน แต่มือที่ขยันขันแข็งกระทำให้มั่งคั่ง บุตรชายที่ส่ำสมไว้ในฤดูแล้งก็เป็นคนหยั่งรู้ แต่บุตรชายผู้หลับในฤดูเกี่ยวก็นำความอับอายมา” พระวจนะตอนนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าเราจะได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่เราลงแรงไป อย่างแน่นอน ขอเพียงเราไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน ฮอเรส วัลโพลนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวไว้ว่า “ความผิดพลาดย่อมมาก่อนความจริงเสมอ” ฟอสเบอรี่ ฟลอป นักกระโดดสูงคงจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง เมื่อเขาพยายามจะเปลี่ยนท่ากระโดดสูงจากเดิมที่คว่ำหน้าโดดมาเป็นหงายหน้า โดด ตอนนี้เราอาจจะคุ้นเคยกับท่าโดดของฟลอป แต่ในอดีตนั้นฟลอปต้องต่อสู้กับความรู้สึกล้มเหลวจากคำพูดดูถูกของเพื่อนนัก กีฬา และคำสบประมาทของคนรอบข้างว่าเขาไม่มีทางทำสำเร็จ แต่สุดท้ายฟลอปสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกที่กรุงเม็กซิโกในปี 1968 และท่าที่เขาใช้กระโดดสูงนั้นถูกตั้งตามชื่อของเขา เพื่อเป็นการให้เกียรติ (ทัศนคติ101, 88) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้จะทำให้หลายคนเชื่อมั่นว่าทัศนคติ ที่ดีทำให้เราสามารถสำเร็จจากความล้มเหลวได้จริงๆ สุดท้ายผมอยากจบเรื่องนี้ด้วยคำกล่าวของ จอห์น ซี แม็กซ์เวลล์ที่ว่า “บุคคลที่ประสบความสำเร็จทุกคนต่างก็เคยเป็นคนที่ล้มเหลวมาก่อน แต่ก็ไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลวแต่อย่างใด” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

  • อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง