หัวเราะเป็นยาอย่างดี

หัวเราะเป็นยาอย่างดี

นักโทษกลุ่มหนึ่ง ผลัดกันเล่าเรื่องขำขันจนซ้ำไปซ้ำมา 

ในที่สุดก็มีผู้เสนอให้บอกแค่หมายเลขเรื่องขำขันก็พอเพื่อประหยัดเวลาหากใครต้องการนำเรื่องเก่าขึ้นมาเล่าอีก
แกจำเรื่องที่ 45 ได้ไหม?”  นักโทษคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คนอื่นๆ เริ่มยิ้ม
แล้วเรื่องที่ 12 ล่ะ เป็นไง?” อีกคนหนึ่งแทรกขึ้นมา คนอื่นๆ  เริ่มหัวเราะคิกคัก
เรื่องที่ 72 ล่ะ?” ทุกคนยิ้มกว้างเว้นแต่คนเดียวที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
เมื่อเสียงหัวเราะหยุดลง คนอื่นๆ จึงถามขึ้นว่า ทำไมแกจึงขำขนาดนั้น?”
นักโทษคนนั้นจึงยิ้มกว้าง พลางพูดขึ้นว่า ก็ฉันเพิ่งฟังเป็นครั้งแรกนี่นา!”

ผมอ่านพบเรื่องนี้แล้วอดยิ้มคนเดียวไม่ได้ดีนะที่ผมควบคุมตัวเองได้ไม่เช่นนั้นผมคงจะหัวเราะงอหงายออกมาอย่างนักโทษในเรื่องนั้นก็ได้

คนอะไรขำได้เป็นบ้าเป็นหลังแค่ได้ยินหมายเลขเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสุดท้ายที่ไม่เคยได้ยินเรื่องที่อยู่เบื้องหลังหมายเลข 72 นั้นเลย! แต่กลับหัวเราะกลิ้งไปเลย!

อย่างไรก็ตามผมว่าในยุคที่เศรษฐกิจของชาติเป็นอัมพาตนี้  ยิ้มหรือหัวเราะไว้ก่อนจะเป็นยาบำรุงหัวใจที่ดี  แถมยังฟรีอีกด้วย!

ผมชอบคำของดไวท์  ดี ไอเซนฮาวร์ อดีตประธานาธิบดีชายชาติทหารที่โด่งดังของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวไว้ว่า หัวเราะ จะบรรเทาความตึงเครียด ลดความเจ็บปวดของความผิดหวัง และเพิ่มกำลังใจให้สามารถฟันฝ่าภารกิจน่ากลัวที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า!”

ใช่ครับในช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตคงไม่มีอะไรดีกว่าการได้หัวเราะอย่างเต็มที่!
คนที่มีอารมณ์ขันอยู่ในหัวใจ  แทบไม่ต้องพยายามสร้างเรื่องตลก  เพราะเขาเพียงแค่ตระหนักถึงเรื่องตลกที่มีอยู่แล้วในชีวิตก็พอ  รับรองว่าได้หัวเราะงอหงาย แน่ๆ !
เหมือนคำกลอนบทหนึ่งที่เขียนไว้ว่า
แม้ความจริงสิ่งทั้งหลายรอบกายเรา  อาจน้ำเน่าน่าเบื่อจนเหลือเข็ญ
แต่หากเราเข้าใจมองสอดส่องเป็น คงแลเห็นความสุนทรซุกซ่อนตา
มาสร้างสรรค์เสียงหัวร่อมาต่อเติม มาสร้างเสริมรอยยิ้มใสบนใบหน้า
มาสร้างขวัญกำลังใจแม้ภัยมา มาสร้างอารมณ์ขันกันเถิดเอย

ในหนังสือ สรรสาระ หรือ Reader’s Digest ที่ภูมิใจอ้างว่า เป็นนิตยสารที่มีคนอ่านมากที่สุด ก็มีคอลัมน์ยอดฮิตของคนทั่วโลก ที่มีชื่อว่า “Laughter is the best medicine.” ที่แปลเป็นไทยว่า  หัวเราะคือยาวิเศษ  ใครไม่เคยอ่าน! ผมก็ขอแนะนำให้อ่านนะครับ นี่เรียกว่า เป็นการโฆษณาแบบไม่คิดเงินเลยทีเดียวเชียวล่ะ!

ในคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่ได้โฆษณาตัวเองเลยแต่กลับเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกและเป็นหนังสือที่มีคนอ่าน มากที่สุดตัวจริง   ได้จารึกถ้อยคำอมตะที่ถูกคนนำมาอ้างต่อเนื่องนานนับหลายสิบศตวรรษแล้วว่า ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะ ทำให้กระดูกแห้ง!” (สุภาษิต 17:22) นี่นับว่าเป็นข่าวดี ที่คนมองข้ามมานานนับหลายพันปี!  ใช่ครับ! เราแทบจะไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินเสียทองซื้อยามากิน มาทา หรือมาฉีด  เพื่อให้โรคของเราหาย! เพราะที่แท้เสียงหัวเราะก็คือ ยาวิเศษ ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้ติดตัวของเรามาตั้งแต่เกิดนั่นเอง!

ในหนังสือ ยิ้มบำบัดโรค ที่เขียนโดย ลิซ ฮอดจ์คินสัน ได้เล่าว่านักสรีรศาสตร์  ชาวฝรั่งเศส ชื่อ อิสราเอล เวนบอม ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 ก็เคยศึกษาและเสนอว่า เวลากล้ามเนื้อบนใบหน้าเคลื่อนไหว ต่อมฮอร์โมนในสมองจะถูกกระตุ้นพร้อมกันไปด้วยไม่ว่าจะยิ้มตีหน้าบึ้งตึง โกรธเกรี้ยว หรือขยะแขยง ล้วนมีผลกระทบต่อต่อมต่างๆ ในสมองทั้งสิ้น  และต่อมเหล่านี้จะส่งสารเคมีไปทั่วร่างกายอีกต่อหนึ่ง  เวนบอม  ยังเชื่อมั่นว่า การ ยิ้ม มีผลกระทบต่อต่อมฮอร์โมนในทางบวก แต่สีหน้าแสดงอารมณ์อื่นๆ  มีผลทางลบเป็นส่วนใหญ่  ตำราของเวนบอมถูกลืมไประยะหนึ่ง  แต่เดี๋ยวนี้ มีนักวิทยาศาสตร์อเมริกันกลุ่มหนึ่งนำทฤษฎีนี้มาทดลองใหม่ ผลปรากฏว่า การยิ้ม และการหัวเราะ ช่วยทำให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี  และยังป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยง่ายอีกด้วย!

น่าอัศจรรย์ไหมครับ!  สำหรับเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม! ในเมื่อการยิ้มและการหัวเราะ มีอานุภาพในทางสร้างสรรค์มากมายขนาดนี้  ก็ขอให้เรามาสร้างและส่งต่อรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะให้แก่กันและกันดีไหมครับ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กำลังยิ้มไม่ออก เพราะแบกปัญหาหรือภาระหนักในชีวิต!

ขอให้คุณระลึกไว้เสมอว่า..อาจมีบางคนที่เหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ จนเกินกว่าที่จะให้รอยยิ้มแก่คุณได้ 

ดังนั้น ขอให้คุณเป็นคนให้รอยยิ้มของคุณแก่เขาก่อน  เพราะคงไม่มีใครที่ต้องการรอยยิ้มมากเท่าๆ กับคนๆ นั้นที่ไม่มีแม้สักรอยยิ้มที่จะให้แก่ใคร!”

และถ้าคุณตั้งใจจะทำดังที่ว่านี้และลงมือกระทำจริงๆ  ทั้งๆ ที่คุณเองก็มีเหตุที่ทำให้คุณยากจะยิ้มเช่นกัน ก็ขอให้มั่นใจได้เลยว่า  ไม่นานเกินรอหรอกครับ  คุณจะได้รับรอยยิ้มกลับคืนมามากกว่าที่คุณคาดหวังไว้หลายเท่านัก

ไม่เชื่อลองยิ้มให้ผมก่อนสิครับ!

  • บทความ ศาสนาจารย์ธงชัย ประดับชนานุรัตน์
  • ภาพ Freepik.com