อ้อมแขนแห่งความรักของพระเจ้า 3/18

อ้อมแขนแห่งความรักของพระเจ้า

เขาและเธอเป็นครอบครัวคริสเตียนที่มีชีวิตเรียบง่าย มีความสุขภายใต้ครอบครัวเล็กๆ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นในครอบครัว วันหนึ่งโรคมะเร็งร้ายได้คืบคลานเข้ามาในชีวิตลูกชายของเขา เขาได้ส่งลูกชายไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาตามขั้นตอนของแพทย์ ทั้งให้คีโม ฉายแสง ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อาการทรุดลงเรื่อยๆ จนครั้งสุดท้ายเขาปฏิเสธไม่ขอรับคีโมอีกต่อไป พระเจ้าทรงเปิดหน้าต่างแห่งความรัก ที่จะให้พวกเขาได้เห็นความรักที่มาจากพระเจ้าผ่านทางความทุกข์ยากที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงนำให้ได้พบกับกลุ่มการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด ซึ่งเป็นการทำตามกฏเกณฑ์ที่พระคัมภีร์บอกไว้ เขาตัดสินใจเข้าสู่การรักษาโดยพึ่งพาพระเจ้า ใช้พระคำของพระองค์เยียวยารักษา เปลี่ยนการกินอาหารโดยทำตามหลักพระคัมภีร์ และได้อธิษฐานมอบถวายลูกไว้ให้พระเจ้าทรงรักษา เขาและเธอได้มอบลูกให้อยู่ในอ้อมแขนแห่งความรักและน้ำพระทัยที่สมบูรณ์ของพระองค์
.
คุณภูษิต ไซโล อายุ  49 ปี จบคณะบริหาร- ธุรกิจ สาขาการบัญชี จากมหาวิทยาลัยนานาชาติเอเชีย-แปซิฟิก ทำงานเป็นพนักงานบัญชีและการเงิน อยู่ที่มหาวิยาลัยนานาชาติเอเชีย-แปซิฟิก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นสมาชิกคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนติสแห่งประเทศไทย (Seventh-Day Adventist Church of Thailand) หรือเรียกย่อๆ ว่า SDA ภรรยาชื่อ คุณจินตนา ไซโล และมีบุตรด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นผู้ชายชื่อ ดช.ภูรินทร์ (น้องโตโต้) อายุ 14 ปี ส่วนคนน้องชื่อ ดญ.ปานฤดี อายุ 9 ขวบ
.
รู้จักพระเจ้า
ผมได้รู้จักพระเจ้าเพราะการจัดค่ายเยาวชนประจำปี ตอนนั้นผมอยู่ในหมู่บ้านที่ไกลความเจริญมาก แต่หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านของผมมีโบสถ์ของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนติส มีเพื่อนๆ รุ่นพี่ที่มาเรียนหนังสือที่โรงเรียนเชียงใหม่มัธยม ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนของ SDA ชวนให้ไปร่วมเข้าค่ายเยาวชนด้วยกัน ผมมีโอกาสไปร่วมค่ายนี้เลยทำให้รู้ว่าที่โรงเรียนเชียงใหม่มัธยมมีโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ด้วย  พอผมได้เข้าเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ทำให้ผมได้รู้จักพระเจ้าที่นั่น
.
เดิมผมอยู่ต่างจังหวัดก็นับถือวิญญาณบรรพบุรุษเหมือนชาวบ้านที่นับถือกัน เมื่อผมมาเรียนโรงเรียนของคริสเตียนผมก็มาคิดเปรียบเทียบดูว่าทำไมศาสนาคริสต์จึงมีคนเชื่อและนับถือมากมายเหลือเกินมีอยู่ทั่วโลก ตั้งแต่คนที่ความรู้น้อยไปจนถึงคนที่มีการศึกษาสูง เขาก็เชื่อและนับถือพระเยซู ผมเลยคิดเอาเองว่า คนที่มีการศึกษาสูงเขาคงศึกษามาเยอะพิสูจน์มามาก เขาต้องรู้มากกว่าเราแน่ ในเมื่อเขายังเชื่อก็แสดงว่านั่นอาจเป็นความจริง ผมจึงตัดสินใจเชื่อและรับศีล  บัพติศมา ส่วนเรื่องความจริงในพระเยซูคริสต์นั้นผมคิดว่าจะค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ หลังจากที่รับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตแล้วผมก็เป็นเหมือนคริสเตียนคนอื่นๆ คือเข้าโบสถ์วันสะบาโต ช่วยกิจกรรมของโบสถ์ เป็นที่ปรึกษาให้ชมรมเยาวชนเพื่อประกาศพระกิตติคุณ ศึกษาพระคัมภีร์บ้างแต่ก็ไม่ได้ทำสม่ำเสมอ ถึงแม้ผมเป็นคริสเตียนมานานแล้วเป็นระยะเวลา 20 กว่าปี ยังไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มให้จบเลย  ผมรู้สึกว่าอยากจะรู้จักพระเยซูคริสต์จริงๆ อยากจะสัมผัสพระองค์ อยากหาคำตอบบางอย่างจากพระเจ้า ผมจึงค้นหาคำตอบด้วยตัวเองโดยการอ่านพระคัมภีร์เริ่มจากพระธรรมปฐมกาลเป็นต้นไป
.
เผชิญหน้า… ความทุกข์
มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับครอบครัวของผม เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเลย มันเกิดขึ้นเร็วมาก เหมือนเราอยู่ในบ้านและเปิดไฟสว่างอยู่ดีๆ แล้วไฟก็ดับลง ผมจำได้อย่างชัดเจนว่าเป็นวันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2017 ช่วงบ่ายวันนั้นผมกับลูกไปโรงพยาบาล เพราะลูกชายเป็นหวัดมาหลายวันแล้วไม่หายสักที ผมสังเกตว่าเขาจะอ่อนเพลียง่าย เบื่ออาหาร และผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเข้าใจว่าคงเนื่องจาก  ลูกเป็นหวัดธรรมดา และมีอาการไอเล็กๆ จากบ่ายวันนั้นเราไปอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึง 13 เมษายน 2017 เมื่อกลับมาบ้านอีกครั้ง ครั้งนี้ลูกชายกลับมาในสภาพที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เส้นผมบนศีรษะก็ไม่มี ตัวผอมมากเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เดินไปไหนมาไหนไม่ได้แล้ว จะทานอาหารก็ลำบากมาก
.
วันที่เราไปหาหมอที่โรงพยาบาลมวกเหล็ก จ.สระบุรี ผมบอกพยาบาลว่าเขาไอมาเป็นเดือนพยาบาลจึงบอกให้เราไปเอ็กซเรย์ปอดก่อน พอหมอเห็นผลเอ็กซเรย์ หมอที่ตรวจก็เรียกเพื่อนหมอมาดูด้วยกัน ต่างก็บอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อนไม่รู้ว่าเป็นอะไร ดูเหมือนจะมีก้อนเนื้อก้อนโตบังปอดเอาไว้ และเลยมาที่หัวใจด้วย มองไม่เห็นรูปหัวใจเลยส่วนปอดข้างซ้ายเห็นเฉพาะข้างบนประมาณ 20% เท่านั้น หมอสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นวัณโรค หรือไม่ก็เป็นเนื้องอก หมอทำเรื่องส่งตัวไปที่โรงพยาบาลจังหวัดสระบุรีทันที เมื่อเราไปถึงเขาก็ให้เราไปอยู่ห้องปลอดเชื้อ เพราะหมอคิดว่าอาจเป็นวัณโรค คืนนั้นทั้งคืนมีการเจาะน้ำในปอดไปตรวจ มีการเอ็กซเรย์และทำอัลตราซาวด์ หมอเข้ามาทีละ 2-3 คน มีอาจารย์หมอเข้ามาตรวจ ผมรู้ว่าต้องเกิดปัญหาใหญ่มากแล้ว  ระหว่างรอผลการตรวจว่าเป็นโรคอะไร ผมคุยกับลูกชายว่า “โตโต้พ่อไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้า แต่พ่อรู้ว่าต้องมีปัญหาใหญ่มาก ไม่แน่ใจว่าหมอจะรักษาได้หรือไม่ พ่อไม่หวังอะไรมาก ขอเพียงให้ลูกมีชีวิตอยู่เท่านั้นก็พอ พ่อจะไม่คาดหวังว่าอนาคตลูกจะต้องเป็นหมอ ทหาร ตำรวจหรืออะไรก็ตาม แต่ขอเพียงลูกหายเท่านั้น จะเป็นแค่ภารโรงหรือผู้ดูแลโบสถ์ของพระเจ้าเท่านั้นพ่อก็พอใจแล้ว พ่อจะขอมอบลูกให้แก่พระเจ้าเป็นผู้ดูแล ถ้าลูกหายลูกจะยอมเป็นผู้รับใช้พระเจ้าได้หรือไม่” โตโต้ก็ตอบว่า “ได้ครับพ่อ” เราสองพ่อลูกก็คุกเข่าอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยน้ำตา ผมก็มอบโตโต้ให้กับพระเจ้าเป็นผู้ดูแล
.
ผลการพิสูจน์ออกมาว่าโตโต้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ผมรู้ดีว่าโรคมะเร็งอันตรายแน่นอน แค่ชื่อว่ามะเร็งก็น่ากลัวแล้ว หมอบอกว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวรักษาได้ไม่ต้องกังวล เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลา 2-3 ปี หมอคิดว่าโอกาสมี 60-70% ที่จะหายเป็นปกติ เมื่อได้ฟังผมก็มีความหวัง ผมคิดในใจว่าลูกคงไม่อยู่ในกลุ่ม 30-40 % ที่เหลือหรอก ลูกต้องหายป่วยแน่  การรักษาก็เริ่มดำเนินการโดยหมอให้ยาขับปัสสาวะก่อน หลังจากนั้นก็รักษาโดยเคมีบำบัด หลังการให้ยาเคมีแต่ละครั้งคนไข้จะต้องนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงประมาณ 6-8 ชม. ซึ่งทรมานมาก ต้องตวงฉี่และอุจจาระทุกครั้ง โตโต้รับยาเคมีแต่ละครั้งจะเห็นได้ชัดว่าเขาจะอ่อนเพลียมาก ตาแทบลืมไม่ขึ้นถ้าหากรับยาตอนเย็นก็รุ่งเช้าของอีกวันเขาจึงจะตื่นขึ้นมาพูดคุยกับเราตามปกติและรับประทานอาหารได้ การรับยาเคมีบำบัดเริ่มจาก หนึ่งอาทิตย์ไปเป็นสอง สามอาทิตย์ โตโต้ทานอาหารลดลงเรื่อยๆ เมื่อทานอาหารไม่ค่อยได้ร่างกายก็เริ่มผอมลงไม่มีแรง เดินไม่ได้ เส้นผมร่วง ปากเริ่มเป็นแผล ในที่สุดก็ทานอาหารไม่ได้ แม้แต่จะพูดคุยกับพ่อแม่ไม่รู้เรื่องแล้ว แค่เขาพลิกตัวเองบนเตียงก็ไม่สามารถทำได้ แผลที่ปากเต็มไปหมด ลิ้นก็แข็ง ทรมานมาก ในที่สุดหมอก็เอาอาหารถุงฉีดเข้าเส้นเลือด การรักษาโดยเคมีบำบัดดำเนินไปเรื่อยๆ ตามโปรแกรมที่หมอจัด เวลาผ่านไป 2-3 เดือนก็มีปัญหา ตาของโตโต้ข้างขวาเริ่มมองไม่เห็นเนื่องจากเซลมะเร็งเข้าไปทำลายจอประสาทตา (ตอนนั้นตาของโตโต้มองไม่เห็นประมาณ 60-70%) เราไปรับการฉายแสงที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งที่ลพบุรี การฉายแสงใช้เวลาประมาณครึ่งเดือน ฉายทั้งหมด 13 ครั้ง หลังจากฉายแสงเสร็จเรากลับไปหาหมอตาที่โรงพยาบาลเด็กที่กรุงเทพฯ หมอบอกว่าเซลมะเร็งที่อยู่ในจอประสาทตาเริ่มยุบลงแล้ว เราก็รู้สึกดีใจขึ้นมาหน่อย หมอ บอกว่าอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนขึ้นไปตาอาจเริ่มกลับมามองเห็นได้ หลังจากนั้นโตโต้ก็กลับมารับยาเคมีต่ออีกประมาณหนึ่งเดือน โตโต้บอกว่าดูเหมือนไม่ดีขึ้นเลย และดูเหมือนตาจะมองไม่เห็นมากกว่าเดิมอีก เราจึงกลับไปหาหมอตาที่กรุงเทพฯ หมอบอกว่าเซลมะเร็งกลับเข้ามาอีก และการรักษาโดยการฉายแสงทำไม่ได้แล้วต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ อาจเป็นวิธีฝังแร่รังสีเพื่อการรักษา ผมพยายามค้นห้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตว่าการรักษาโดยการฝังแร่รังสีทำอย่างไร และได้ผลมากน้อยแค่ไหน ข้อมูลที่ได้คือโอกาสหายมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมากก็เพียงแต่จะยืดระยะเวลาของผู้ป่วยให้อยู่นานไปอีกหน่อยเท่านั้น และการรักษาก็อันตรายมาก คนอื่นจะอยู่ใกล้ผู้ป่วยไม่ได้เลย     ผู้ป่วยจะอยู่ในห้องเป็นระยะเวลา 2-3 เดือน สรุปแล้วไม่มีผลดีและไม่มีการรับประกันว่าจะหาย
.
ในระหว่างที่รอผลสรุปของหมอที่โรงพยาบาลฯ ผมใช้เวลาตรึกตรองหนึ่งอาทิตย์ว่าจะทำยังไงต่อดี ถ้าหมอสรุปว่าต้องฝังแร่รังสีเพื่อการรักษา ผมจะยอมรักษาต่อหรือไม่ หรือว่าเราจะหยุดการรักษาเพียงเท่านี้ แล้วถ้าหากเราหยุดเพียงเท่านั้นผลจะเป็นอย่างไร ช่วงเวลานั้นทำให้ผมคิดถึงพระเจ้า ผมคิดว่าถ้าพระเจ้าพอพระทัยที่จะรักษาโตโต้ พระเจ้าสามารถที่จะรักษาโตโต้ให้หายเป็นปกติได้โดยที่ร่างกายเขาจะกลับมาแข็งแรง ตามองเห็นและหูกลับมาได้ยินเหมือนเดิม (ตอนนั้นหูของโตโต้เริ่มไม่ค่อยได้ยินแล้ว) แต่ถ้าให้หมอในโลกนี้รักษาถึงแม้ว่าหมอจะเก่งแค่ไหน หมอก็เป็นมนุษย์ธรรมดามีความรู้ความสามารถจำกัด หมอคงรักษาไม่ให้เชื้อมะเร็งแพร่กระจายไปมาก กว่านี้เท่านั้น และหมอยังบอกว่าตาของโตโต้ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้อีก ผมคิดทบทวนหลายรอบ คิดว่าถ้าหมอรักษาโตโต้จนถึงที่สุด เขาอาจหายได้ไม่เสียชีวิตแต่ต้องพิการตามองไม่เห็น หูฟังไม่ได้ยิน หรืออาจจะมีอะไรที่เป็นมากกว่านี้ เขาจะกลายเป็นคนพิการไม่สมประกอบ ชีวิตของเขาจะอยู่ไปก็คงไม่มีค่าอะไร และต้องอายเพื่อนๆ ถ้าอย่างนั้นให้พระเจ้าของเราเป็นผู้รักษาไม่ดีกว่าหรือ ถ้าหายก็จะหายเป็นปกติทุกอย่าง แต่ถ้าต้องเสียชีวิตก็ยังดีกว่ามีชีวิตอยู่แต่ต้องพิการตลอดไป ผมคิดถึงข้อพระคัมภีร์ ที่ว่า… ถ้าเราจะเอาชีวิตรอดในที่สุดเราจะเสียชีวิต แต่ถ้าเรายอมตายในที่สุดเราจะมีชีวิตรอด… ข้อความนี้อยู่ในใจของผมเสมอ
.
ในที่สุดผลสรุปของหมอออกมาว่าจะเปลี่ยนยาเคมีตัวใหม่ให้โตโต้ พอกลับมารับยาที่โรงพยาบาลสระบุรี หมอบอกว่าสูตรยาตัวใหม่นี้แรงมาก หมอเกรงว่าร่างกายของโตโต้อาจรับไม่ไหว โอกาสหายก็มีแค่ประมาณ 30% เท่านั้น หมอให้เวลาพ่อแม่ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ เราก็ตัดสินใจเลยว่าจะไม่ขอรับยาเคมีอีกต่อไปแล้ว เราจะให้พระเจ้าของเราเป็นผู้รักษา จะเป็นหรือตายอย่างไรก็สุดแล้วแต่พระเจ้าพ่อแม่ก็ทำดีที่สุดแล้ว ผมบอกลูกว่า “เราจะหยุดรับยาเคมีแค่นี้” โตโต้ตอบว่า “ได้ครับพ่อ” “แล้วถ้าถึงเวลานั้นลูกจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าก่อนลูกไม่ต้องเสียใจนะ” เขาบอกว่า “ไม่เสียใจ” อีกอย่างเรารู้แค่วันนี้เท่านั้น วันพรุ่งนี้เราไม่รู้ บางทีพ่อหรือแม่ หรือน้องอาจไปอยู่กับพระเจ้าก่อนก็ได้ไม่มีใครรู้ สมาชิกในครอบครัวกำลังร่ำลากัน เรายกมือเพื่อจะลาจากกัน เราตัดสินใจหยุดการรับยาเคมีบำบัดอย่างเด็ดขาด
.
เข้าร่วมกลุ่มธรรมชาติบำบัด
เมื่อเรามอบทุกอย่างให้พระเจ้าดูแลแล้ว ส่วนของเราจะต้องทำมีทางเดียวคือใช้วิธีธรรมชาติบำบัด พอดีมีกลุ่มรักษาโรคโดยธรรมชาติบำบัดมาจากประเทศเกาหลีมาเปิดสัมมนาให้ความรู้เรื่องธรรมชาติบำบัด เราเลยเข้าร่วมสัมมนาด้วยซึ่งโปรแกรมนี้มีทั้งหมด 10 วัน ที่จริงเรารู้มาก่อนแล้วว่าที่ประเทศเกาหลีมีศูนย์รักษาโดยธรรมชาติบำบัด เราก็คิดไว้ว่าถ้ารับยาเคมีบำบัดครบแล้วเราจะไปที่นั่น แต่ในเมื่อเราตัดสินใจไม่รับเคมีแล้ว และเขามาจัดที่เมืองไทย แม้จะช่วงสั้นๆ เราจึงตัดสินใจเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
.
เมื่อเราเข้าร่วมสัมมนา Mrs. Choi ได้บรรยายให้ความรู้ว่าทำไมมนุษย์เราจึงเกิดการเจ็บป่วย สาเหตุมาจากมนุษย์ไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ทำตามกฏของพระเจ้า  มนุษย์เลยต้องได้รับผลที่มนุษย์ทำเอง เมื่อใดที่มนุษย์หันกลับมาหาพระเจ้าและทำตามกฏของพระเจ้า ร่างกายของมนุษย์ก็จะได้รับการรักษา เช่น พระเจ้าสร้างกลางวันให้มนุษย์ทำกิจกรรมงานต่างๆ ส่วนกลางคืนพระเจ้าให้มนุษย์พักผ่อน ดังนั้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วหมายความว่าเราจะต้องพักผ่อน แต่ทุกวันนี้เป็นอย่างนั้นหรือไม่ เมื่อมนุษย์ฉลาดขึ้นสร้างพระอาทิตย์มาแข่งกับพระเจ้า ทุกวันนี้ในเมืองกลางคืนก็เหมือนกลางวัน มีแสงไฟสว่างไสว มนุษย์เลยไม่นอน ไม่พักผ่อน ในเมื่อร่างกายของมนุษย์ซึ่งพระเจ้าสร้างให้เหมาะแก่กฏที่พระเจ้าวางไว้ แต่มนุษย์กลับทำลายกฏเหล่านี้ เลยทำให้มนุษย์ได้รับผลคือความเจ็บป่วย และพระเจ้าสร้างร่างกายของมนุษย์มาพระเจ้าบอกไว้ว่าให้มนุษย์รับประทานอาหารจากพืชผักและผลไม้ที่มีเมล็ด ใน ปฐมกาล 1:29 พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า “ดู​นี่ เรา​ให้​ธัญ​พืช​ที่​มี​เมล็ด​ทุก​ชนิด ซึ่ง​มี​อยู่​ทั่ว​พื้น​แผ่น​ดิน และ​ต้น​ไม้​ผล​ทุก​ชนิด​ที่​มี​เมล็ด​ใน​ผล​ของ​มัน​แก่​เจ้า เป็น​อาหาร​ของ​เจ้า” แต่มนุษย์ไปเอาเนื้อสัตว์มาเป็นอาหารแทน ซึ่งเซลต่างๆ ในร่างกายมนุษย์นั้นเหมาะจะรับสารอาหารจากพืชผักผลไม้ ไม่เหมาะสำหรับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ดังนั้นเมื่อเรารับประทานอาหารเนื้อสัตว์เข้าไป ทำให้ร่างกายของเรามีปัญหาขึ้นมา แต่ที่จริงพระเจ้าสร้างร่างกายมนุษย์เราอัศจรรย์มาก ร่างกายของเราและระบบย่อยอาหารของเราพยายามปรับตัวให้ดีที่สุด ดังนั้นเมื่อเรารับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เข้าไป ร่างกายก็พยายามปรับตัว เราเลยเข้าใจว่าการรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ไม่เห็นเป็นอะไร แถมยังแข็งแรงด้วย และต่อมามนุษย์จึงเข้าใจว่าเนื้อสัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ คนรุ่นหลังๆ ที่เกิดมาก็เข้าใจว่าเนื้อสัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ไปโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อร่างกายเราพยายามปรับตัวไปจนถึงจุดๆ หนึ่งร่างกายเราก็ไม่ไหวจึงเกิดปัญหาขึ้น จึงเป็นโรคต่างๆ เช่นทุกวันนี้
.
ดังนั้นถ้าเราจะรักษาให้ถูกวิธีก็ง่ายมาก เพียงแค่กลับไปรับประทานอาหารตามที่พระเจ้าประสงค์ให้เรารับประทาน ตามกฏธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์แค่นั้น แล้วร่างกายของเราก็จะรักษาตัวเอง เราไม่ต้องไปเอายาหรือสารพิษใดๆ ทั้งสิ้นมาใส่เข้าไปในร่างกายของเรา เมื่อเรารู้เคล็ดลับข้อนี้แล้วเราก็นำมาปฎิบัติ รับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติเท่านั้น (อาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการ) เมื่อเราเข้าร่วมสัมมนาเรานำมาปฎิบัติตาม ร่างกายของโตโต้เริ่มแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เราพา     โตโต้ไปตรวจเลือดเดือนละครั้ง ผลเลือดของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าถ้าเรายอมให้พระเจ้าเป็นผู้ดูแลและเราทำตามกฏของพระองค์ เราจะได้รับการรักษา หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเราจะไม่เป็นโรคนั่นเอง ที่สำคัญเราไม่ต้องรอให้เป็นโรคก่อนค่อยหันมาทำตามกฏของพระเจ้า ถ้าเรารู้แล้วว่ากฏของพระเจ้าดีอย่างไร ก็ให้เราเริ่มวันนี้เลย
.
ข้อพระธรรมที่ชอบ
  • มัทธิว 6:33 “แต่​พวก​ท่าน​จง​แสวง​หา​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า และ​ความ​ชอบ​ธรรม​ของ​พระ​องค์​ก่อน แล้ว​พระ​องค์​จะ​ทรง​เพิ่ม​เติม​สิ่ง​ทั้งปวง​นี้​ให้” เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ชอบมาก
  • ลูกา 9:24  “เพราะ​ว่า​ใคร​ต้อง​การ​จะ​เอา​ชีวิต​รอด คน​นั้น​จะ​เสีย​ชีวิต แต่​ใคร​ยอม​เสีย​ชีวิต​เพราะ​เห็น​แก่​เรา คน​นั้น​จะ​ได้​ชีวิต​รอด” เป็นข้อพระธรรมที่ผมระลึกอยู่เสมอตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะรักษาน้องโตโต้ด้วยเคมีบำบัด หรือจะให้พระเจ้าเป็นผู้รักษา ผมอยากหนุนใจ หากท่านอยากจะสัมผัสพระเจ้า อยากจะรู้จักพระองค์ให้มากว่านี้ ขอเชิญท่านศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง แล้วท่านจะพบพระองค์ เพราะพระคำของพระองค์คือพระองค์เอง และพระเจ้าสัญญาว่าหากท่านแสวงหาเราอย่างสุดหัวใจแล้วท่านจะพบเราอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุด
ผมรู้สึกได้สัมผัสกับพระเจ้าอย่างมากผ่านทางการเจ็บป่วยของน้องโตโต้ลูกชายของผม  ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าพระคำของพระองค์มีฤทธานุภาพ ทุกคำที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ถ้าเราอ่านและปฏิบัติตามโดยไม่มีความสงสัย ก็จะเห็นความจริงทุกอย่าง ส่วนชีวิตที่เหลือของผม ผมจะทำงานรับใช้พระองค์  ต่อไปนี้ชีวิตของผมถ้าจะทำอะไร ผมขอมอบให้พระองค์มีส่วนในการตัดสินใจทุกครั้ง ถึงแม้บางครั้งมีบางอย่างที่ผมรู้สึกว่าเราอยากทำมากๆ แต่ก็ต้องขอให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจแทนผม ทุกย่างก้าวของชีวิตในวันนี้ พรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป ขอมอบให้พระเจ้าเป็นผู้ทรงนำเท่านั้น
.
ปัจจุบันน้องโตโต้ไปโรงเรียนได้ตามปกติ ผลการตรวจเลือดปกติ กินอาหารได้ตามปกติ หู-การได้ยินปกติ สายตา-การมองเห็นดีขึ้นเรื่อยๆ  ขอบคุณพระเจ้า
.
  • คุณภูษิต คุณจินตนา ไซโล