เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยิน?
ครั้งแรกที่ผมเรียนวิชาจิตเวชวัยรุ่นในมหา-วิทยาลัย ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมนึกจินตนาการว่า เมื่อผมจบการศึกษาและทำงานในโรงพยาบาล คงมีพ่อแม่มากมายให้ความสนใจพาลูกมาคลินิกรักษาอาการทางจิตเวชแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกของตนอย่างดีที่สุด แต่ในชีวิตจริงเมื่อผมมาทำงานให้การบำบัดรักษา ผมพบความแตกต่างในภาพที่เหมือนกัน ที่ว่าเหมือนกันก็คือ มีพ่อแม่ผู้ปกครองพาลูกหลานของตนเองมารับการรักษามากมายพอสมควรจริงๆ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เด็กกันแล้ว แต่เป็นวัยรุ่นตอนปลาย หรือเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กันแล้ว บางรายก็มีอาการเรื้อรังมาหลายปีแต่พ่อแม่ไม่เคยพามา หากจะมีเด็กเล็กก็จะเป็นเฉพาะรายที่มีผลกระทบต่อผลการเรียนของเด็กเท่านั้น และพ่อแม่ส่วนใหญ่จะคาดหวังให้ลูกๆ ของพวกเขาหายทันทีที่มารับการรักษาครั้งแรก หรืออย่างมากก็ไม่นานเกินเดือน บางรายก็สมหวัง แต่ในเด็กบางคนการให้ความช่วยเหลือเป็นกระบวนการระยะยาว ถามว่าเราต้องใช้เวลานานขนาดไหน บางทีอาจจะต้องตอบว่าคงนานพอๆ กับที่ปัญหาก่อตัวในเด็กตั้งแต่ครั้งแรก แต่มันถูกเพิกเฉย หรือมองข้ามไป น่าแปลกใจเหลือเกินที่สิ่งสำคัญในชีวิตหลายเรื่องถูกมองข้าม เพียงเพราะพ่อแม่สนใจเรื่องผลการเรียนของลูกเท่านั้น
ผมเชื่อจริงๆ ครับว่าพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีความสุข พบความสำเร็จในชีวิต มีครอบครัวที่ดีและอบอุ่น พ่อแม่จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะแน่ใจว่าลูกจะพบกับสิ่งเหล่านั้น แล้วพ่อแม่ทำอย่างไร? สิ่งที่ผมพบค่อนข้างบ่อยก็คือ พ่อแม่เชื่อว่า INPUT สิ่งที่เป็นประโยชน์และดีกว่าเด็กคนอื่นๆ จะนำลูกให้มีความสุข เราจึงเห็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวแข่งกันสมัครเรียนเปียโน เรียนเต้น เรียนร้องเพลง เรียนฟิสิกส์ เรียนว่ายน้ำ เรียนคณิตศาสตร์ ทุกอย่างที่พ่อแม่แน่ใจว่าเรื่องนั้นจะพาลูกรักไปสู่ความสำเร็จ แท้จริงแล้วการเรียนไม่เคยทำร้ายใครหากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เด็กปรารถนาจะเรียนจริงๆ เหมาะสมและพอดีกับช่วงวัย ถ้าเรายังเข้าใจผิดกันแบบนี้คนที่ประสบความสำเร็จคงไม่ใช่ลูกเราแต่เป็นโรงเรียนสอนพิเศษต่างๆ ที่จะได้ค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้น วันนี้ผมจึงอยากหนุนใจและให้พระวจนะพระเจ้าได้ชี้ให้คุณพ่อคุณแม่เห็นความจริงที่พระเจ้าอยากให้เราได้เรียนรู้ และผมขอยกเอาพระธรรมสุภาษิต บทที่ 1 ตั้งแต่ข้อ 20-33 มาแบ่งปันผู้อ่านทุกท่านเพื่อจะนำลูกหลานขอวงเราไปสู่ความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิต
บทเรียนประการแรก
“ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดกับลูกก่อน อย่างอื่นทีหลัง” พระธรรมตอนนี้ในข้อ 20 กล่าวว่า “ปัญญาร้องเสียงดังอยู่ที่ถนน เธอเปล่งเสียงของเธอที่ลานเมือง” พระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่าพระวจนะพระเจ้า และความรู้เกี่ยวกับพระองค์คือปัญญาที่แท้จริง และสิ่งนี้เท่านั้นที่จะพาบุตรหลานของเราไปสู่สันติสุขแท้ในพระเจ้าได้ ตัวผมเองก่อนมาเชื่อพระเจ้านั้นเรียนอะไรมามาก อบรมอะไรมาก็มาก พบความสำเร็จในชีวิตมาก็ไม่น้อย แต่ผมไม่เคยพบความรักและความสุขแท้ในชีวิตเลยจนมารู้จักกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่นั้นชีวิตผมเปลี่ยนไปทันที บางทีเราก็ลืมไปจริงๆ ว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคืออะไร คิดห่วงแต่ว่าลูกจะเรียนไม่ทันเพื่อน เขาจะรู้น้อยเกินไป อยากถามท่านผู้อ่านตรงๆ ว่าถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของลูกเรา อะไรจะสามารถการันตีชีวิตนิรันดร์ให้กับเขาได้ วิชาเคมีอย่างนั้นหรือ หรือว่าสังคมศาสตร์ เราต่างก็รู้ว่าพระคำของพระเจ้าเท่านั้นที่เปลี่ยนตัวเราได้มากกว่าเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในหัว เพราะพระวจนะสามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้อย่างสิ้นเชิง พระคำพระเจ้าตอนนี้ในข้อ 26 ที่เตือนเราไว้อย่างชัดเจนว่า “ข้าเองจะหัวเราะเยาะความหายนะของพวกเจ้า ข้าจะเยาะเย้ยเมื่อความกลัวมาถึงพวกเจ้า” พระเจ้าเตือนเราว่ามีเวลาจำกัดที่จะมอบสิ่งสำคัญที่สุดนี้ในชีวิตให้กับลูกของเรา เพราะไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้เมื่อเราอยากให้เขาอยู่ในทางของพระเจ้า ก็อาจจะสายเกินไปแล้ว เราต้องรอให้หายนะมาเยือนก่อนหรือเราถึงจะสามารถเข้าใจได้ โปรดให้เวลากับลูกหลานของท่านในการแบ่งปันพระวจนะในครอบ ครัว อธิษฐานกับเขาก่อนนอน เฝ้าเดี่ยวเป็นแบบอย่างให้เขาได้เห็นทุกวัน เรื่องนี้ไม่สามารถจ้างครูสอนพิเศษคนไหนมาทำแทนได้เลย
บทเรียนประการต่อมา
“จงสร้างเรือที่พร้อมจะรับมือกับพายุ” การศึกษาเล่าเรียนเป็นสิ่งที่ดี และมีคุณค่าที่จะมอบแก่ลูกหลานของเรา แต่การให้บทเรียนชีวิต การสอนให้เขารู้จักรับผิดชอบ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญกับตัวเขายิ่งกว่า พระธรรมตอนนี้ในข้อที่ 27 บันทึกไว้ว่า “เมื่อความกลัวมากระทบพวกเจ้าอย่างพายุร้าย และความหายนะของพวกเจ้ามาถึงอย่างพายุหมุน เมื่อความทุกข์และความระทมใจมาเหนือพวกเจ้า” พระคัมภีร์ข้อนี้ชี้ให้เราเห็นชัดเจนว่า ไม่ว่าเราจะเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตามเราทุกคนมีโอกาสที่จะเจอมรสุมในชีวิตได้พอๆ กัน ถ้าเปรียบการสร้างเด็กคนหนึ่งเหมือนการสร้างเรือ การศึกษาอาจทำให้เราได้เรือที่มีสีสันสวยงาม ดูโอ่อ่า น่าเกรงขาม แต่สุดท้ายแม้แต่เรือใหญ่ก็สามารถอับปางได้ ถ้ามันไม่เคยถูกฝึกให้เผชิญหน้ากับพายุ ในพระธรรมข้อที่ 23 ได้กล่าวว่า “จงหันมาสนใจคำตักเตือนของข้า นี่แน่ะ ข้าจะเทความคิดของข้าให้เจ้าทั้งหลาย ข้าจะให้ถ้อยคำของข้าแจ้งแก่พวกเจ้า” พระเจ้ามีพระสัญญาว่าในเวลาวิกฤติของชีวิต พระวจนะที่เราให้ลูกหลานของเราสะสมไว้ในใจของเขา จะกลายเป็นร่มเงาแห่งพระเมตตาของพระเจ้าที่ปกปักษ์รักษาให้เขารอดพ้นวิกฤติการณ์เหล่านั้นมาได้ ในทางกลับกันคนที่มีความรู้มากมายอาจเลือกทำลายชีวิตของตัวเอง เพียงเพราะเขาตกใจกับพายุใหญ่ของชีวิต ดังพระวจนะในข้อที่ 28-29 ว่า “แล้วพวกเขาจะร้องเรียกข้า แต่ข้าจะไม่ตอบ พวกเขาจะแสวงหาข้า แต่จะไม่พบข้า เพราะว่าพวกเขาเกลียดความรู้ และไม่เลือกเอาความยำเกรงพระยาห์เวห์” ดังนั้นขอให้เราฝึกฝนลูกของเราเป็นเรือที่มั่นคงพร้อมเผชิญหน้ากับพายุในวันข้างหน้า ดีกว่าให้เขาโอ่อ่าด้วยลักษณะภายนอกที่ถูกเชิดชูไว้เกินความจริง
บทเรียนประการสุดท้าย
“ในความรัก (ของพระเจ้า) ไม่มีความกลัว” ในสมัยยังเด็กนั้นผมเคยฝึกขี่จักรยานครั้งแรก ฝึกมาหลายวันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเก่งสักที จนกระทั่งวันที่ห้าผมล้มลงพร้อมจักรยาน ทั้งเจ็บแผล ทั้งอาย แต่เมื่อผมตัดสินใจที่จะลุกขึ้นทำแผลแล้วกลับมาฝึกขี่ต่อไป วันนั้นเองที่ผมขี่จักรยานได้ดียิ่งกว่าวันไหนๆ และสามารถควบคุมมันได้อย่างใจนึก พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 33 กล่าวว่า “แต่ผู้ที่ฟังข้า จะอยู่อย่างปลอดภัย และอยู่อย่างสงบสุข ไม่กลัวสิ่งร้ายใดๆ” ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากความทุกข์ หรือปราศจากปัญหา คริสเตียนที่มีความเชื่อดีก็อาจป่วยได้ หรือขัดสนได้ในบางคราวของชีวิตเหมือนกัน แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงยืนยันและมีพระสัญญาต่อผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ทุกคนก็คือ เราจะไม่กลัวสิ่งร้ายใดๆ เราจะสงบใจ เพราะเราปลอดภัยอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ ปัญหาจะเกิดขึ้นกับเราแน่นอน มันอาจจะทำให้เราล้มลง มันอาจจะฝากบาดแผลและการล้มลุกคลุกคลานในชีวิตให้กับเราบ้าง แต่มันจะไม่มีวันขโมยความมั่นใจที่เรามีต่อพระเจ้าได้เลย พระเจ้าอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ของชีวิต หากเราเรียนรู้และอยู่กับพระองค์ในทุกๆ วัน พ่อแม่และผู้ปกครองที่รักทุกท่านครับ ความจริงก็คือเราไม่สามรารถจูงมือลูกหลานของเราไปตลอดชีวิตของเขาได้ แต่เราสามารถแนะนำเขาให้รู้จักองค์พระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์เองที่จะเป็นผู้จูงมือเขาผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตได้ แบบเดียวกับที่พวกเราผ่านมาเช่นกัน
ขอพระเจ้าทรงเมตตา พระคำของพระองค์ว่าปัญญาร้องเสียงดังอยู่ที่ถนน อย่าให้เสียงนั้นกลายเป็นเสียงที่เราไม่ได้ยิน หรือเพิกเฉยเลย พระเจ้าตักเตือนเราในข้อที่ 32 ว่า “เพราะการที่คนรู้น้อยหันเหจากทางที่ถูกต้องก็นำความพินาศมาสู่ตนเอง และการที่คนโง่หลงเพลิดเพลินก็ทำลายตนเอง” เราต้องการเลือกให้ลูกหลานของเรานำความพินาศมาสู่ตัวเขาเองจริงๆ หรือ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้วันที่เรายังสามารถมีอิทธิพลกับเขา มอบสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้กับเขา ให้เขาเป็นเรือใหญ่ที่พร้อมจะรับมือกับพายุร้ายในชีวิตวันข้างหน้า และสอนเขาให้มั่นคงในความเชื่อ เพราะความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จะขับไล่ความกลัวในจิตใจของเขาได้ ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้ลูกหลานของเราพบความสุขและความสำเร็จที่แท้จริง พระเจ้าอวยพรครับ
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ User6529390 – Freepik.com