แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าฯ เชื่อ 4/10

แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าฯ เชื่อ

ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน พื้นฐานความเชื่อโดยส่วนตัวเป็นแบบเชื่อว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตอนข้าพเจ้าอายุประมาณ 9 ขวบกว่า ข้าพเจ้าได้สูญเสียคุณแม่กะทันหัน (เนื่องจากท่านหัวใจวายเฉียบพลัน)ทำให้ข้าพเจ้าและครอบครัวมีความเศร้าโศก อย่างมาก เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ชีวิตก็เป็นปกติทั่วไป จนกระทั่งได้มาพบคุณหมอพรสรรพ์ ปุญญาภิบาลซึ่งเป็นคริสเตียน ในช่วงที่คบกันประมาณ 4 ปีคุณหมอก็ชวนไปคริสตจักรบ้างเท่าที่มีโอกาส คุยกันเกี่ยวกับเรื่องศาสนา เรื่องความเชื่อบ้างแต่ไม่ได้จริงจัง ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าก็เฉยๆ ไม่ได้แอนตี้แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ และคิดว่าต่างฝ่ายต่างนับถือคนละศาสนาก็ได้ ข้าพเจ้าไม่รู้สึกขัดแย้ง คิดแต่ว่าขอให้นิสัยดีก็แล้วกัน

จุดเปลี่ยนของชีวิต
เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าเดินไปที่จอดรถก็เดินสวนกับพี่อ้วน (ทพญ.ไฉไล บุษกรเรืองรัตน์) และอาจารย์ไก่ (อ.พิพัตรา ธนังกูรวิโรจน์ ตอนนั้นเป็นอาจารย์ที่คริสตจักรไมตรีจิตหลังสวน) เราจึงทักทายกัน เนื่องจากตอนนั้นข้าพเจ้าทำธุรกิจส่วนตัว เปิดศูนย์การสอนสำหรับเด็ก และพี่อ้วนได้พาลูกมาเรียนที่ศูนย์ฯ พี่อ้วนชวนข้าพเจ้าให้ไปร่วมกลุ่มเซลสามัคคีธรรมที่บ้านของพี่อ้วนในเย็นวันนั้น แต่ข้าพเจ้าปฏิเสธ โดยรับปาก(ด้วยความเกรงใจ)ว่าจะไปในคราวหน้า เมื่อถึงวันที่มีเซลอีกครั้งนี้ข้าพเจ้าก็ไปร่วม พอไปถึง บรรยากาศของกลุ่มทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจ มีการร้องเพลงและเป็นพยาน ปกติข้าพเจ้าเป็นคนชอบร้องเพลงแต่ไม่ค่อยกล้า ในกลุ่มเซลนั้นข้าพเจ้าเห็นแต่ละคนมีความสุขและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้ากันแบบไม่อาย ค่ำคืนนั้นเราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของข้าพเจ้าที่อยากรู้จักพระเจ้า ทั้งๆ ที่ก่อนไปบ้านพี่อ้วนข้าพเจ้ามีความตั้งใจว่าจะไปร่วมเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปี 1997ข้าพเจ้าได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ด้วยเหตุผลที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความรักข้าพเจ้าอยากสัมผัสความรักความอบอุ่นที่มาจากพระเจ้า ช่วงเวลานั้นข้าพเจ้าอยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะอ่านพระวจนะที่บันทึกในพระคัมภีร์และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

พระเจ้าทรงฟังคำทูลของครั้งแรก
ข้าพเจ้าเริ่มต้นความเชื่อด้วยการประกาศหยุดการสอนที่ศูนย์ในวันอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าอยากให้วันอาทิตย์เป็นวันสะบาโต ข้าพเจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจอะไรมากนักเกี่ยวกับพระวจนะ แต่จิตใจของข้าพเจ้าอยากทำตามที่พระเจ้าบอกอย่างไม่มีเหตุผล และการทำงานในวันอาทิตย์ตอนนั้นเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพักสงบกับพระเจ้า ที่คริสตจักรเพราะข้าพเจ้ามีนิสัยห่วงงาน กังวลว่าถ้าข้าพเจ้าไม่อยู่ที่ศูนย์การสอนอาจจะมีปัญหาที่เจ้าหน้าที่จัดการ ไม่ได้

ศูนย์การสอนสำหรับเด็กนั้น โดยปกติแล้วจะมีรายได้เฉพาะเสาร์กับอาทิตย์ เดือนหนึ่งๆ จะมีรายได้หลักประมาณ 8 วันเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าประกาศหยุดกิจการในวันอาทิตย์ ก็มีเสียงสะท้อนจากผู้คนรอบข้าง(ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า)ว่าธุรกิจนี้คงไปไม่ รอด แต่ข้าพเจ้าเชื่อตามที่พระเจ้าสั่งพระเจ้าให้ข้าพเจ้าสัมผัสว่าพระองค์ทรง พระชนม์อยู่ ฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้าและตอบคำอธิษฐานด้วย ในช่วงที่ศูนย์การสอนปิดทำการวันอาทิตย์ จากเดิมที่ศูนย์ฯ ไม่เคยมีเด็กมาเรียนระหว่างสัปดาห์ พระเจ้าก็เมตตาให้มีเด็กมาเรียนทุกวัน แม้รายได้จะหายไปบางส่วน แต่พระเจ้าก็ชดเชยให้ ถึงจะไม่ครบตามจำนวน แต่ศูนย์การสอนสามารถดำเนินต่อไปได้จนถึงปัจจุบัน

เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้… ยามเจ็บป่วย
หลังจากนั้นไม่นานข้าพเจ้าก็แต่งงานกับคุณหมอพรสรรพ์ เรามีลูกด้วยกัน 2 คน ชีวิตสมรสดำเนินไปตามปกติ โดยที่ข้าพเจ้าพยายามเรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้นด้วยการอ่านพระคัมภีร์ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ยังคงไม่เข้าใจ (ไม่ใช่ทางสติปัญญาแต่เป็นความรู้สึกร่วม ข้าพเจ้ายังไม่มีความรู้สึกร่วมกับพระเจ้า) ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน ข้าพเจ้าอยากเจ็บปวดร่วมกับพระองค์ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำได้เพราะข้าพเจ้ายังไม่ได้เป็นของพระองค์จริงๆ ยังไม่ติดสนิทกับพระองค์อย่างแท้จริง จนกระทั่ง…กลางเดือนกันยายน ปี 2003 ข้าพเจ้าคลำเจอก้อนแข็งๆ เล็กๆ (ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว) บริเวณเต้านมข้างซ้ายและอีก 2 ก้อนบริเวณใกล้เคียงกันความรู้สึกตอนนั้นกลัวมาก ข้าพเจ้ากลัวจะเป็นมะเร็งเต้านมเหมือนพี่สาว (ซึ่งเป็นเมื่อ 2 ปีก่อนและผ่านขั้นตอนการรักษาแล้ว และขณะป่วยก็ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด)ข้าพเจ้าจึงแกล้ง ทำเป็นลืมๆ ไม่อยากใส่ใจ ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ ในที่สุดสามีก็พาข้าพเจ้าไปตรวจเต้านมที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่ง หนึ่ง ผลเอกซเรย์และอัลตราซาวด์ออกมาว่า ไม่สงสัยเป็นเนื้อร้าย แต่สามีก็ไม่สบายใจ จึงชวนข้าพเจ้าไปตรวจกับคุณหมออีกท่านต่างโรงพยาบาล เพื่อขอความคิดเห็นซึ่งเรียกว่า Second Opinion ผลปรากฏว่าคุณหมอเชื่อแบบเดียวกับความเห็นแรกคือไม่สงสัยเป็นเนื้อร้ายแต่ก็ แนะนำให้ข้าพเจ้าไปพบคุณหมออีกท่านหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญด้านการอ่านฟิล์ม เอกซเรย์ เราก็ไปปรึกษาและคุณหมอก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับคุณหมอสองท่านแรก โดยให้ข้าพเจ้ามาตรวจใหม่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ตลอดเวลา 6 เดือนนั้นข้าพเจ้าไม่ค่อยสบายใจนัก ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าจะรู้ตัวลึกๆ ในจิตใจว่าข้าพเจ้าจะป่วยเป็นมะเร็งเต้านม บางครั้งข้าพเจ้ารู้สึกชาตามแขน บางครั้งแขนก็อ่อนแรง ทำให้มีปัญหาเรื่องการขับรถ และแล้ว…ก็ครบกำหนด 6 เดือนข้าพเจ้าไปตรวจเต้านมตามที่นัดไว้ เริ่มจากการตรวจด้วยเครื่องไมโมแกรมและต่อด้วยการอัลตราซาวด์ ขณะที่คุณหมอตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์นั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นสีหน้าของคุณหมอเคร่งเครียดพร้อมกับถามคำถามข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าทราบทันทีว่าข้าพเจ้ามีก้อนมะเร็งที่เต้านม ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าร้องบอกพระเจ้าในใจอย่างไม่หยุดว่า “พระเจ้าช่วยลูกด้วยช่วยลูกด้วย ลูกกลัวเหลือเกิน” ข้าพเจ้าพูดในใจตลอดกระบวนการตรวจ คุณหมอเจาะเอาชิ้นเนื้อไปตรวจและจะรู้ผลในอีก 3 วันข้างหน้า ตลอด 3 วันนั้นข้าพเจ้าเศร้ามาก ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าคงเป็นมะเร็งเต้านมอย่างแน่นอน เมื่อถึงกำหนดผลการตรวจออกมาว่า ข้าพเจ้าเป็นมะเร็งเต้านมตามที่ข้าพเจ้าคาดไว้จริงๆ

ต้องพึ่งพาและไว้วางใจพระเจ้า
หัวใจของข้าพเจ้าเป็นทุกข์เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พอเห็นหน้าสามีเราก็พากันร้องไห้ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าสามีจะรักข้าพเจ้ามาก ขนาดนี้คอยให้กำลังใจข้าพเจ้า ให้มีความอดทนและต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป พระเจ้าจะรักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เชื่อตามนั้น แต่ในใจลึกๆ ข้าพเจ้าก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าข้าพเจ้าคงอายุสั้นแน่ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่ใจมาก ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์เพื่อดับความโศกเศร้าอธิษฐานอ้อนวอนขอพระเจ้าเมตตา รักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าและสามีร่วมกันอธิษฐานขอพระเจ้าทรงนำในการรักษา เริ่มจากการเลือกคุณหมอที่จะมารักษา ซึ่งในขณะนั้นก็มีคุณหมอ 2 ท่านที่เราเลือกไม่ถูกว่าคุณหมอคนไหนจะเหมาะสมกับข้าพเจ้าเมื่อเราติดต่อไป ปรากฏว่าคุณหมอทั้งสองประชุมอยู่ที่เมืองนอก คุณหมอท่านหนึ่งจะกลับมาเมืองไทยอีก 1 เดือนข้างหน้าซึ่งเราไม่สามารถรอได้เพราะข้าพเจ้าได้เจาะชิ้นเนื้อไปแล้ว และไม่ควรรอนานเกิน 1 เดือน ส่วนคุณหมออีกท่านหนึ่งจะกลับมาเมืองไทยอีก 2 อาทิตย์ เราจึงรอคุณหมอท่านนี้และคิดว่าพระเจ้าเลือกคุณหมอท่านนี้ให้กับเราแล้วสามี ก็ได้คุยกับคุณหมอทางโทรศัพท์เพื่อนัดหมายกัน ในช่วง 2 สัปดาห์นี้พระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์แล้วเหมือนพระเจ้าประทานสติปัญญาให้ข้าพเจ้าเข้าใจใน สิ่งที่พระองค์ทรงบอกข้าพเจ้าได้คำตอบชีวิตจากหลายบทหลายตอนในพระคัมภีร์ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกร่วมกับพระองค์ได้แล้ว และแล้ววันนัดก็มาถึง คุณหมอได้วางแผนเรื่องการผ่าตัดโดยข้าพเจ้าได้เลือกการผ่าตัดแบบผ่าเอาแต่ ก้อนเนื้อมะเร็งออก ต่อด้วยการฉีดยาคีโมร์และฉายแสง 30 แสง ประมาณ 1 ทุ่มของวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2003 เป็นวันที่ข้าพเจ้าเข้ารับเผื่อข้าพเจ้าด้วยกันที่โรงพยาบาลเป็นภาพที่ ข้าพเจ้าไม่เคยลืมเลย ขณะที่อยู่ในห้องผ่าตัดนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก ในใจร้องบอกกับพระเจ้าว่า “ลูกขอฝากชีวิตของลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าสุดแล้วแต่พระองค์” หลายชั่วโมงผ่านไปโดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้ตัว แต่สามีของข้าพเจ้าบอกว่า ใจเขาเป็นทุกข์มาก ก่อนเข้าห้องผ่าตัดคุณหมอบอกว่าจะใช้เวลาในห้องผ่าตัดประมาณ 3 ช.ม. รวมเวลาเตรียมคนไข้ด้วย แต่ในกรณีของข้าพเจ้าใช้เวลาทั้งหมด 5 ช.ม. เมื่อข้าพเจ้าฟื้น สามีบอกข่าวดีกับข้าพเจ้าว่า “ไม่มีเซลมะเร็งกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง” เราทั้งคู่ขอบคุณพระเจ้า ในช่วงคีโมร์ข้าพเจ้าก็ทุกข์ทรมานเหมือนคนไข้ทุกราย แต่จิตใจของข้าพเจ้ากลับได้รับการเสริมกำลังจากพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญชีวิตมากมาย หลายอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในพระคัมภีร์ พระเจ้าก็นำข้าพเจ้าให้เข้าใจ และที่สำคัญพระเจ้าได้ปรับปรุงและแก้ไขจิตวิญญาณของข้าพเจ้าให้ขาวมากขึ้น เหมือนบทเพลง “โปรดเปลี่ยนแปลงข้าใหม่ ให้สัตย์ซื่อจริงใจ โปรดเปลี่ยนแปลงข้าใหม่ ให้ข้าเหมือนพระองค์” และในแต่ละวัน ข้าพเจ้าสัมผัสถึงการทรงสถิตของพระเจ้ากับข้าพเจ้าตลอดเวลาข้าพเจ้าไม่ อาจอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้า

โรคร้ายมาเยือนครั้งที่ 2
ต้นเดือนมกราคม 2009 ข้าพเจ้าไปพบคุณหมอที่รักษาข้าพเจ้าตามนัด (ปีละ 2 ครั้ง) และวันที่ 2 มีนาคม ช่วง 6 โมงเย็น ข้าพเจ้ามีนัดตรวจเต้านมด้วยไมโมแกรม ซึ่งเป็นปีที่ 5 ของการตรวจ(นับตั้งแต่วันผ่าตัด) ซึ่งข้าพเจ้าไปตรวจด้วยความตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะมีข้อมูลทางการแพทย์บาง แห่งบอกว่าถ้าเราเป็นมะเร็งมาแล้ว 5 ปี ในช่วง 5 ปีนี้ถ้าเซลมะเร็งไม่ได้กลับมาใหม่หรือกระจายไปอวัยวะอื่นแสดงว่าเรามีโอกาส หายจากโรค เมื่อถึงคิวตรวจของข้าพเจ้า คุณหมอเริ่มตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ เริ่มต้นที่เต้านมข้างซ้ายที่เคยเป็นมะเร็งก่อนแล้วตามด้วยเต้านมข้างขวา ข้าพเจ้าสังเกตสีหน้าของคุณหมอดูเคร่งเครียด ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นก็ได้แต่ร้องเรียกพระเจ้าขออย่า ให้เป็นอย่างที่คิดเลย แล้วข้าพเจ้าก็ถามคุณหมอว่า “ผิดปกติหรือคะ” คุณหมอบอกว่า “พบก้อนเนื้อผิดปกติ 2 ก้อน ดูในเครื่อง ลักษณะเหมือนเนื้อร้ายแต่ยังเล็กอยู่และคิดว่ารักษาเที่ยวนี้คงไม่ยุ่งยาก เหมือนครั้งที่แล้ว” (หมายความว่าครั้งนี้ก้อนเนื้อมะเร็งคงจะเล็กและคงไม่ต้องคีโมร์)ระหว่างรอ รับฟิล์มและผลตรวจ ข้าพเจ้าโทรหาสามี พี่สาว พี่อ้วนและพี่น้องที่โบสถ์ให้ช่วยอธิษฐานเผื่อ เมื่อได้รับฟิล์มและผลตรวจ ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าพเจ้าจะเป็นมะเร็งรอบที่ 2 ข้าพเจ้ายอมรับว่าเสียใจและมีคำถามอยู่ในใจ กลับมาถึงบ้านด้วยน้ำตา ลูกคนโตถามว่า “หม่าม้า โอเคมั้ย” ข้าพเจ้าบอกทั้งน้ำตาว่า “หม่าม้าเป็นมะเร็งอีกรอบ” ลูกชายคนโตดูเหมือนว่าจะไม่พอใจ เขารีบพูดว่า “ไหนหม่าม้าบอกว่าพระเจ้ารักษาหม่าม้าหายแล้วไง ทำไมเป็นอีกล่ะ” ข้าพเจ้าต้องอธิบายให้ฟังว่า “พระเจ้ารักษาหม่าม้าหายจริงๆ เต้านมข้างซ้ายปกติไม่มีเซลมะเร็ง พระเจ้ารักษาหม่าม้าหายแล้ว แต่นี่หม่าม้าเป็นอีกข้างหนึ่ง” ลูกชายจึงหนุนใจข้าพเจ้าทันทีว่า “ถ้าอย่างนั้นหม่าม้าก็ไม่ต้องกลัว เพราะพระเจ้าก็จะรักษาหม่าม้าหายเหมือนข้างซ้าย หม่าม้าก็ไม่ต้องกลัวนะ” ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าทันทีข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าต้องมีความเชื่อแบบ เด็กๆ เหมือนในพระคัมภีร์ที่ว่า แต่พระเยซูทรงเรียกให้เขาเอาเด็กๆ มา แล้วตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลยเพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา” ลูกา 18:16

ทางด้านข้าพเจ้ากับสามี เราได้แต่มองหน้ากันแล้วร้องไห้ ต่างคนหนุนใจกันว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นและเราต้องมีความเชื่อว่าพระ เจ้าจะรักษา เรารู้ว่าครอบครัวของเราจะพบกับความทุกข์ยากอีกครั้งชีวิตจะไม่เหมือนเดิม คนรอบข้างจะต้องได้รับผลกระทบแต่เราก็ตั้งสติและอธิษฐานด้วยกัน ขอพระเจ้าช่วยครอบครัวของเราเสริมกำลังให้เราทั้งคู่ด้วย ตลอดค่ำคืนนั้นดูเหมือนว่ามันยาวนานมากสำหรับข้าพเจ้า
เช้าวันรุ่งขึ้น (3 มีนาคม) ข้าพเจ้ารีบติดต่อคุณหมอศัลยกรรมที่รักษาและดูแลข้าพเจ้าตลอด 5 ปี พบว่าคุณหมออยู่เมืองนอกและจะกลับมาอีก 2 อาทิตย์ ดูเหมือนว่าพระเจ้าเจาะจงให้ข้าพเจ้ารอคอย…ระหว่าง 2 อาทิตย์ที่รอคุณหมอกลับมาเมืองไทยเพื่อวางแผนการรักษา ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาแต่ละวันกับพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน พักสงบเพื่อฟังเสียงของพระเจ้าและสรรเสริญพระเจ้าด้วยบทเพลงพระธรรมสดุดี 42:11

จิตใจของข้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่?
ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ภายใน
จงหวังในพระเจ้า เพราะข้าจะยกย่องพระองค์อีก
ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระเจ้าของข้า

เนื่องจากสามีของข้าพเจ้าเป็นคุณหมอและเป็นห่วงข้าพเจ้ามาก สามีจึงทำหน้าที่หาข้อมูลต่างๆ จากอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับแนวทางการรักษาเพื่อเวลาไปคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้จะได้ง่ายและไปในแนวทางที่ต้องการ

ยอมจำนนอย่างแท้จริง
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดีข้าพเจ้าจึงนำเรื่องนี้ปรึกษาพระ เจ้า ข้าพเจ้าได้เรียนรู้กระบวนการยอมต่อพระเจ้า ในช่วงระหว่าง 2 สัปดาห์นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าประทานใจที่นิ่งสงบและเพิ่มเติมความเชื่อให้กับ ข้าพเจ้าอย่างมากทุกๆ วันข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยความเชื่อว่าพระเจ้ากำลังรักษาข้าพเจ้า ก้อนเนื้อมะเร็งกำลังหดตัวและเล็กลงเรื่อยๆ จนข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคุณหมอผ่าก้อนเนื้อไปพิสูจน์ว่าเป็นมะเร็ง หรือไม่ จะพบว่าก้อนเนื้อนั้นหายไปแล้ว ไม่มีเนื้อร้าย จนคุณหมอต้องสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร แล้วข้าพเจ้าจะเป็นผู้บอกคุณหมอถึงเรื่องการรักษานี้มาจากพระเจ้าเอง ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ มันกลายเป็นความเชื่อที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงนี้พี่น้องในครอบครัวของพระเจ้าอธิษฐานเผื่อข้าพเจ้าตลอด และโทรศัพท์มาหนุนใจข้าพเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เห็นภาพของการเป็นอวัยวะในร่างกายเดียวกัน ขอขอบคุณพี่น้องทุกคนในความรักและความห่วงใยที่มาจากพระเจ้าและวันที่คุณหมอนัดก็มาถึง คุณหมอวางแผนการรักษาไว้ว่าจะต้องเจาะชิ้นเนื้อออกมาตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ถ้าเป็นก้อนเนื้อมะเร็งคุณหมอคงต้องผ่าเต้านมทั้งเต้าเพราะพบก้อนเนื้อมะเร็ง 2 ก้อน
คุณหมอได้ให้ทางเลือกสำหรับผู้ป่วยในกรณีต้องผ่าเต้านมทั้งเต้าด้วยการเสริม เต้านมด้วยอวัยวะเทียมและให้ข้าพเจ้าลองไปคิดและตัดสินใจอีกครั้ง ข้าพเจ้ากลับมาอธิษฐานต่อพระเจ้าถึงการรักษาและทางเลือก แม้ว่าข้าพเจ้าได้เลือกที่จะผ่าเต้านมทั้ง 2 เต้าแล้วก็ตาม แต่มีทางเลือกให้ข้าพเจ้าอีกคือจะใส่อวัยวะเทียมหรือไม่ แล้วข้าพเจ้าก็เข้าใจเองว่าพระเจ้าคงเมตตาและสงสารข้าพเจ้า (แบบใจดี) ให้โอกาสกับข้าพเจ้าอีกครั้งไม่ต้องสูญเสียเต้านม ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะใส่อวัยวะเต้านมเทียม แต่ข้าพเจ้ายังคงเชื่อเช่นเดิมว่า ก้อนเนื้อ มะเร็งนั้นจะหดตัวจนกลายเป็นเนื้อปกติ แต่เมื่อผลตรวจชิ้นเนื้อออกมาปรากฏว่าชิ้นเนื้อเป็นมะเร็ง ขั้นต่อไปคือกำหนดวันผ่าตัด ถึงตรงนี้ข้าพเจ้ายอมกับพระเจ้าอีกครั้งว่าข้าพเจ้ายอมแล้วถ้าพระเจ้าอนุญาต สิ่งนี้ให้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า…มันเป็นขั้นตอนของการยอมกับพระเจ้าจริงๆ

พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดแผนการรักษา…
เมื่อถึงกำหนดวันผ่าตัด พวกเราทุกคนอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้าให้การผ่าตัดผ่านไปอย่างไม่มีปัญหา สำหรับข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าสถิตอยู่กับคุณหมอ ประทานสติปัญญาให้ท่าน และการผ่าตัดเป็นของพระเจ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ไม่พบเซลมะเร็งไปต่อมน้ำเหลือง เราต่างขอบคุณพระเจ้า ระหว่างที่รอฟังผลตรวจชิ้นเนื้อที่โรงพยาบาล เต้านมเทียมของข้าพเจ้าเริ่มมีปัญหา เนื้อเต้านมตาย ข้าพเจ้าก็อธิษฐานขอพระเจ้าด้วยความหวังอย่างไม่ย่อท้อเวลาผ่านไป 2 อาทิตย์ดูเหมือนทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นแต่ยังไม่ปกติ เนื่องจากเนื้อเต้านมที่ตายกำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ จนข้าพเจ้าลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นที่ข้าพเจ้ารอคอยคืออะไร เพราะข้าพเจ้ามั่นใจในความเชื่ออย่างมากว่าข้าพเจ้าคงเป็นมะเร็งระยะเริ่ม แรกเท่านั้นและไม่ต้องคีโมร์ด้วยในวันที่ผลตรวจชิ้นเนื้อออกจากห้อง แล็บ(ห้องทดลอง) ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมาก จำได้ว่าวันนั้นเป็นตอนเย็นประมาณ 5 โมงของวันเสาร์ที่ 12 เมษายน 2009 และรอบโรงพยาบาลมีพวกม็อบเสื้อแดง ข้าพเจ้า สามีและพี่สาวของข้าพเจ้า เราทั้งสามเป็นผู้เชื่อ เราอธิษฐานขอพระเจ้าเมตตาข้าพเจ้าขอที่จะไม่คีโมร์ ข้าพเจ้าขอแบบนั้น เรารอคุณหมอจนกระทั่งใกล้ 1 ทุ่มและคิดว่าคุณหมอคงไม่มาแล้ว (ในใจของข้าพเจ้าเริ่มไม่สงบ อยากรู้ว่าข้าพเจ้าต้องทำคีโมร์หรือไม่ ด้วยความที่สามีเป็นหมอเขาก็พอจะอ่านผลจากห้องแล็บได้ เหมือนว่าเกณฑ์ของชิ้นเนื้อเข้าข่ายต้องคีโมร์จึงจะปลอดภัยแต่ทั้งนี้ทั้ง นั้นต้องขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของคุณหมอที่รักษา) สามีจึงกลับบ้านด้วยใจที่กังวลมากจากนั้นประมาณ 10 นาที พี่สาวเรียกข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่ระเบียงห้อง(ในขณะนั้นข้าพเจ้าอธิษฐานด้วย จิตใจที่กระวนกระวายและได้โทรไปหาพี่ที่คริสตจักรให้อธิษฐานเผื่อ) บอกว่าคุณหมอมาเยี่ยม สักครู่สามีก็ตามมา ข้าพเจ้าก็งงว่าสามีมาได้อย่างไรเพราะสามีกลับไปแล้วประมาณ 10 นาที สามีเล่าให้ฟังภายหลังว่าขณะที่จะกลับบ้าน บังเอิญรถถูกล็อกล้อเพราะจอดรถขวางทางและลืมปลดเกียร์ว่าง จึงต้องไปติดต่อเรื่องรถถูกล็อกล้อ พอดีคุณหมอที่รักษาข้าพเจ้าขับรถสวนมา คุณหมอบอกว่าจะมาเยี่ยมข้าพเจ้า (ทั้งข้าพเจ้า สามีและพี่สาวเชื่อว่าพระเจ้าได้จัดเตรียมเหตุการณ์เหล่านี้ไว้แน่นอนไม่ใช่ ความบังเอิญที่สามีต้องจอดรถในตำแหน่งนั้นและลืมปลดเกียร์เพราะปกติสามีจะ เป็นคนที่รอบคอบมาก ขอย้ำว่ามากๆ พระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานของเราทุกคน เพราะสามีไม่ต้องการกลับบ้านไปด้วยความกังวลและอยากพบคุณหมอด้วยอยากรู้ว่า คุณหมอมีความคิดเห็นอย่างไร จะให้ยาคีโมร์หรือไม่ ส่วนทางด้านคุณหมอ อะไรที่ทำให้คุณหมอมาพบคนไข้ในช่วงเวลาเกือบ 1 ทุ่มและเป็นวันหยุดของคุณหมอ ในความเชื่อของข้าพเจ้าก็มีแต่พระเจ้าเท่านั้น ซึ่งตอนแรกเราหมดหวังในทางมนุษย์แต่ในทางพระเจ้าเป็นไปได้) ข้าพเจ้าดีใจ ที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน (สดุดี 107:19)

เมื่อมีความทุกข์ลำบาก เขาทั้งหลายได้ร้องทูลพระยาห์เวห์
แล้วพระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ใจ

สรุปว่าพระเจ้ารักษาข้าพเจ้าด้วยการคีโมร์และแผนการรักษาครั้งนี้ยาวนานมาก ข้าพเจ้าต้องรับยาคีโมร์เป็นเวลา 1 ปีเต็ม ได้รับยา 30 เข็ม 18 สัปดาห์แรก จะได้รับ 3 ตัวยา และอีก 22 สัปดาห์จะได้รับยา 1 ตัวยา คุณหมอย้ำกับข้าพเจ้าว่า “หัวล้านนะ” แม้ว่าข้าพเจ้าเชื่อฟังพระเจ้าแต่อดไม่ได้จริงๆ ที่ต้องเศร้า เสียใจ ทุกข์มาก คืนนั้นข้าพเจ้าแอบเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก แต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ใกล้ๆ พระองค์ทรงเสียใจเช่นกันและไม่อยากให้ข้าพเจ้าเผชิญเหตุการณ์อย่างนี้ แต่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องเป็น แบบนี้และนี่เป็นสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นกับ ข้าพเจ้าในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นลูกของพระเจ้า (สดุดี 103:13-14)

บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด
พระยาห์เวห์ทรงสงสารคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น
เพราะพระองค์เองทรงรู้จักโครงร่างของเรา
พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี

คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่ค่อยหลับ พูดคุยกับพระเจ้าทั้งคืน วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็ออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับนัดวันผ่าเต้านมเทียมข้างที่ มีปัญหา…ท้ายสุดการผ่าตัดก็ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย

ได้รับยาคีโมร์อีกครั้งภายใต้การดูแลอย่างดีจากพระเจ้า
ขณะอยู่บ้านเพื่อเตรียมตัวสำหรับการรับยาคีโมร์ ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน อ่านวรรณกรรมคริสเตียน (สดุดี 55:17)

ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า และเวลาเที่ยง
ข้าพเจ้าร้องทุกข์และคร่ำครวญและพระองค์ทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอพระเจ้าในการรักษาครั้งนี้ให้พระองค์ประทานสติปัญญาแก่คุณหมอที่ รักษาข้าพเจ้า ตั้งแต่เรื่องตัวยา ขนาดของการให้ยาแต่ละครั้ง และขอ(พิเศษ)ให้ข้าพเจ้าไม่เหมือนผู้ป่วย ให้มีจิตใจที่ไม่ขมขื่น ให้มีสันติสุขในทางพระเจ้าและทุกอย่างก็เป็นจริงตามที่ข้าพเจ้าขอ
ในขั้นตอนการให้ยาคีโมร์นั้น ข้าพเจ้าทรมานทางกายอย่างมาก ทั้งอ่อนเพลียเจ็บตามเนื้อตัว เจ็บกระดูก ปวดท้อง (ลำไส้) ปวดและแสบกระเพาะแถมท้องเสียทำให้ยิ่งไม่มีแรงเดิน แต่ข้าพเจ้าก็ได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าบอกพระเจ้าว่า “ขอพระเจ้าประทานเรี่ยวแรงให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด” ขณะพูดข้าพเจ้านึกถึงแซมสันตอนที่อธิษฐานขอพละกำลังจากพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าขอเป็นครั้งสุดท้ายหรือแค่ครั้งเดียวเหมือนแซม สัน แต่ขอด้วยความเชื่อแบบแซมสัน และพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐาน ข้าพเจ้ารู้สึกสดชื่นและมีเรี่ยวแรงสามารถลุกขึ้นมาทานอาหารได้ พอสามีกลับมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าก็เป็นพยานให้เขาฟัง เราทั้งสองขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก (สดุดี 103:1-5)

พระเจ้าทรงเป็นกำลังและบทเพลง
ข้าพเจ้ามักใช้บทเพลงของคริสเตียนในการเยียวยา ระงับความเจ็บปวดทรมาน เป็นบทเพลงแห่งความเชื่อ ความหวัง พระสัญญา พระลักษณะของพระเจ้าพระเยซู ความรัก และข้าพเจ้าก็ได้รับพลังจากพระเจ้าจริงๆ พอพ้นจากอาการทรมานข้าพเจ้าก็ได้รับการฟื้นกำลังจากพระเจ้า เตรียมพร้อมสำหรับการรับยารอบต่อไป เมื่อข้าพเจ้าสำรวจตนเองก็พบว่า ข้าพเจ้าป่วยก็จริงแต่ข้าพเจ้าก็ยังมีความชื่นชมยินดี จิตใจของข้าพเจ้าไม่ได้ป่วยเลย

ภาชนะใบใหม่
ข้าพเจ้าบอกกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตของลูก ช่วยสอนในสิ่งสารพัดให้ลูกด้วยและลูกเชื่อว่าพระเจ้าอยากให้ลูกอยู่ในโลกนี้ แบบลูกของพระเจ้าโดยใช้สิทธิ(ทางพระเจ้า)ในการเป็นลูกของพระเจ้าอย่างเต็ม ที่ เพราะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พระเจ้าได้เลือกข้าพเจ้าให้รู้จักกับพระองค์” และข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและพระองค์ทรงปั้น ข้าพเจ้าใหม่ พระองค์กำลังตกแต่งภาชนะใบนี้ให้งดงามทั้งภายในและภายนอก
และในที่สุดข้าพเจ้าก็ผ่านพ้นการให้ยาคีโมร์ข้าพเจ้ารับยาเข็มสุดท้ายเมื่อ วันที่ 10 พฤษภาคม 2010 วันนั้นข้าพเจ้าบอกกับพระเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว” ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าและเมื่อใคร่ครวญในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งดีๆ ที่เข้ามาในช่วงของการเจ็บป่วยผ่านพ้นไปอย่างไร้ความหมายแต่จะร่วมมือกับ พระองค์ในทุกแผนงานที่พระองค์ทรงมีในตัวข้าพเจ้า
สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบคุณคุณอรุณพร ปุญญาภิบาล ที่กรุณาถ่ายทอดคำพยานลงในคริสตสายสัมพันธ์เล่มนี้ ขอพระคุณความรัก และการอวยพรจากพระเจ้าอยู่เหนือท่านและครอบครัวเสมอไป

  • คุณอรุณพร ปุญญาภิบาล