แสงสว่างในมุมมืด
ผมชื่อทวีศักดิ์ จันทร์แจ่ม (ตํอง) เป็นคนจังหวัดมุกดาหาร ผมมีพี่น้อง 3 คน ผมเรียนจบชั้นประถมฯ 6
หลังจากเรียนจบก็ได้หนีเข้ามาที่กรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ แล้วผมก็โดนหลอก เขาเอาผมมาขายตามสำนักงานจัดหางานเถื่อนแถวๆ หัวลำโพง และถูกส่งไปทำงานหลายที่ไม่เป็นหลักแหล่ง โดนหลอกเรื่อยไป และสุดท้ายก็ได้งานที่คิดว่าดีที่สุดในตอนนั้น และเป็นงานที่ผมชอบมากคือเป็นพนักงานส่งเอกสารเงินเดือนประมาณ 4,500 บาท จุดนี้แหละที่ชีวิตเริ่มหักเห หลังจากทำงานได้ไม่นาน ผมก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น เป็นที่รู้จัก และมีเพื่อนที่คบหาสนิทและรักกันมาก เพื่อนเหล่านั้นก็มีทั้งดีและไม่ดี ช่วงนี้เอง ที่ผมได้รู้จักกับยาบ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อนที่รักมากนี่เองที่ชักชวนให้เสพ แต่ชักชวนยังไงผมก็ไม่ยอมเสพเพราะครอบครัวดั้งเดิมของผมรวมทั้งพ่อของผมไม่สูบแม้กระทั่งบุหรี่ แต่การชักชวนนี้ก็ทำให้ผมมีความคิดอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในสมองว่า “ถ้าผมจะขายมันล่ะ ? ผมก็คงจะมีเงินเยอะ” ความคิดนี้เองที่ทำให้ผมเริ่มเดินทางเส้นนี้ ผมได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะขายยาเสพย์ติดโดยไม่รีรออะไรเลย ผมรู้นะว่ามันผิด แต่ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากเงินเท่านั้น เงินเป็นทุกสิ่งสำหรับผม และผมพูดเสมอว่าเงินคือพระเจ้า และผมก็ทำสำเร็จ
วันหนึ่งๆ ผมขายยาได้เงินประมาณ 40,000 – 50,000 บาท ผมมีความสุขมากที่สุด อยากได้อะไรก็ได้ แถมยังมีเพื่อนๆ เป็นจำนวนมากที่เป็นลูกน้องของผม ผมทำอย่างนี้ได้ประมาณ 2 ปี ชื่อของผมก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นติดบัญชีดำของโรงพักแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเงินล้านสำหรับผมจิ๊บจ๊อยมาก เดือนเดียวผมก็ทำเงินล้านได้แล้ว และไม่เคยคิดว่าจะโดนจับ แล้ววันสุดท้ายของผมก็มาถึง ผมขายยาแล้วก็โดนจับ สิ้นอิสรภาพ ศาลได้ตัดสินจำคุกผมเป็นเวลาถึง 10 ปี นี่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผม เข้าคุกวันแรก ผมก็ยังยิ้มได้เพราะคิดเสมอว่ายังไงเพื่อนก็ต้องมาเยี่ยม แต่ผมคิดผิดถนัด อาทิตย์แรกผ่านไปไม่มีใครมาเยี่ยมผมเลย ลูกผู้ชายที่คิดว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่นเริ่มมีน้ำตาไหลอาบสองแก้มอย่างไม่อายใคร ผมถูกจำคุกที่บางเขนได้ 8 เดือนก็โดนย้ายไปที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษปทุมธานี เมื่อย้ายไปที่นั่น ผมคิดตลอดเวลาว่าจะต้องหาทางหนีให้ได้ไม่วันใดก็วันหนึ่งเพราะกำแพงต่ำมากๆ คิดอย่างนี้ทุกวันจนเวลาผ่านไปได้ 2 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ทรมานเหลือเกิน
การกินการอยู่ของที่นั่นทรมานแบบสุดๆ ญาติก็ไปเยี่ยม 3 – 4 เดือนครั้ง แต่ผมก็เรียนรู้การอยู่รอดนะครับ ทุกวันเมื่อขึ้นเรือนนอน ผมจะไปบีบนวดเพื่อนๆ ที่เขามีสตางค์เพื่อแลกกับมาม่าบ้าง สบู่บ้าง ส่วนที่นอนก็นอนได้ไม่เกินคนละ 1 ฟุต 3 นิ้ว บางครั้งถ้ามีคนใหม่ย้ายเข้ามา ก็ถึงขั้นต้องตะแคงนอนและสลับฟันปลา ตอนนั้น ผมถึงขั้นแทบเสียสติ บ่อยครั้งที่ได้อาบน้ำโดยใช้น้ำวันละ 1 ขวดเป็บซี่ขนาด 1 ลิตร มาตรฐานของเรือนจำรับนักโทษได้ 1,800คน แต่ปีที่ผมอยู่มีนักโทษ 4,600 คน ผมบอกตรงๆ ผมขอบคุณพระเจ้าที่ผมได้รู้จักกับองค์พระผู้ช่วยให้รอดผ่านทางพันธกิจเรือน จำคริสเตียนในประเทศไทย ผมจึงได้รับชีวิตใหม่ ทีแรกผมไม่รู้หรอกว่าคนกลุ่มนี้เขามาทำอะไรกัน แต่ได้ยินว่าเขาเข้ามาสอนคุณธรรมจริยธรรมกับนักโทษและเห็นเขาพูดเรื่องพระ เจ้าด้วย ผมเองก็ไม่ได้สนใจหรอกคิดเสมอว่าคนกลุ่มนี้ก็คงเข้ามาเผยแพร่ศาสนาของพวก ฝรั่งนั่นเแหละ ตอนแรกผมเริ่มเข้ากลุ่มเรียนภาษาอังกฤษที่คนกลุ่มนี้สอนก่อน ต่อมาก็เข้าร่วมฝึกร้องเพลงประสานเสียงในกลุ่มผู้ต้องขังซึ่งเป็นครั้งแรก ของกรมราชทัณฑ์ที่อนุญาตให้มีกิจกรรมนี้จนถึงออกแสดงคอนเสิร์ตในที่ต่างๆ ในตอนนั้น เหตุผลเดียวที่ผมสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านั้น ก็คือเพื่อรับของแจก เช่น ข้าวขาวผัดกระเพราเท่านั้น ผมไม่เคยสนใจอย่างอื่นเลย ใจของผมต่อต้านตลอดเวลา เขามาสอนวันไหนผมก็เข้ามาแจมด้วยทุกครั้งเพื่อรอรับของแจก เพราะชีวิตตอนนั้นแย่มากแทบจะบ้า ความทุกข์ความเครียดเต็มอยู่ในสมองผมไม่มีทางออกเอาเสียเลย ติดคุกนี่สับสนนะ คนดีเป็นบ้าก็เยอะ แต่ผมขอบคุณพระเจ้าจริงๆ
วันนั้นผมจำได้ อาจารย์สุนทร สุนทรธาราวงศ์ พูดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พระองค์สามารถช่วยคนที่เป็นทุกข์ได้ คนที่ไม่รู้จะไปพึ่งพาใคร คนที่ไม่มีทางออก พระเจ้าองค์นี้ช่วยท่านได้ แต่ผมก็ค้านนะ อยู่ที่นี่มาสองปีกว่าแล้ว ไม่มีใครมาช่วยผมเลย ผมคุยกับอาจารย์สุนทรและบอกว่าไม่จริงหรอก เป็นไปไม่ได้ อาจารย์บอกผมว่าให้ผมถ่อมใจลงและสารภาพความผิดบาปที่ผมมีต่อพระเจ้า แล้วพระองค์จะโปรดยกโทษความบาปผิดให้ผม ท้าให้ผมลองเชื่อพระเยซูคริสต์ ถ้าพระองค์ช่วยผมไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาเชื่อพระเจ้าองค์นี้ ด่าพระเยซูได้เลย คำพูดของท่านโดนใจผมอย่างมาก ผมเหมือนคนที่ไม่มีทางออก เก็บมาคิดหลายวันพอสมควร สุดท้ายผมก็ลองดู จริงๆ แล้วผมเป็นคนนำนักโทษสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน คืนนั้นผมจำได้ว่าผมไม่ได้นำนักโทษสวดมนต์เช่นเคย แต่ผมมาอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ผมอธิษฐานว่าถ้าพระองค์มีจริงช่วยผมซิ ผมเป็นคนที่มีปัญหาเยอะที่สุด มันอยู่ในใจของผม ผมช่วยตัวเองไม่ได้ ผมสารภาพทุกอย่างกับพระเจ้าจนหมดไส้หมดพุง เมื่อพูดออกไปแล้ว ผมเริ่มสัมผัสได้ว่ามีใครคนหนึ่งรับเอาปัญหาของผมออกไปจากตัวของผม แล้วผมมีความรู้สึกว่าตัวเบามากโล่งทั้งตัว และผมก็ร้องไห้แบบไม่อายใครเลย ผมรู้ว่าพระเจ้ามีจริงในตอนนี้เอง แล้วผมก็เริ่มที่จะอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ เรียนรู้การอธิษฐาน
ต่อมาผมก็เข้าพิธีรับบัพติศมา (ประกาศตนเป็นคริสเตียนอย่างเป็นทางการ) พร้อมกับเพื่อนๆ ผู้ต้องขังอีก 50 คน ในเรือนจำนั้นเองโดยอาจารย์สุนทร สุนทรธาราวงศ์ เป็นผู้ประกอบพิธี ต่อมา ผมก็บอกกับพระเจ้าว่าถ้าผมพ้นโทษก่อนกำหนด ผมจะอุทิศชีวิตของผมให้กับพระองค์ วันนั้นเป็นวันที่ผมชิ่งไม่ยอมไปเข้ากลุ่มฝึกร้องเพลงประสานเสียง ผมรู้สึกว่ามีเสียงในหูของผมบอกว่าผมจะพ้นโทษแล้ว ผมยังได้บอกกับเพื่อนนักโทษด้วยกันว่าผมรู้สึกว่าจะได้ออกไปแล้ว เพื่อนผมว่าผมบ้าเพราะมันเป็นไปได้ โทษของผม 10 ปี แต่ติดมาเพียง 4 ปี 9 เดือนยังไม่ถึงครึ่งโทษเลย แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ชื่อของผมถูกเรียกออกมาทางเสียงตามสายในคุกเพื่อทำการปล่อยตัว แต่ผมไม่เชื่อหูตัวเอง มันเป็นไปได้ยังไง ผมก็เลยเฉยๆ คิดว่าเขาเรียกผิดตัว เจ้าหน้าที่เรียกผมถึง 3 ครั้งผมก็ไม่ได้ออกไป จนเจ้าหน้าที่โมโหเข้ามาตามและบอกผมว่า “มึงจะกลับบ้านหรือเปล่า เดี๋ยวกูขังต่อหรอก” พอผมได้ยินอย่างนั้นผมก็วิ่งเลย แล้วในเช้าวันที่ 18 ตุลาคม 2545 ผมก็ถูกปล่อยตัวพร้อมกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในคณะนักร้องประสานเสียงกว่า 20 คน ผมดีใจมากออกมานั่งร้องไห้อยู่หน้าคุก แล้วผมก็จับแท็กซี่กลับบ้านไปหาแม่ที่บางนา แต่แม่และคนที่บ้านคิดว่าผมแหกคุกออกมา จึงไม่ยอมให้เข้าบ้าน ผมจึงต้องไปที่สำนักงานพันธกิจเรือนจำคริสเตียนในประเทศไทยและได้พักอยู่ที่นั่นในคืนแรก และเมื่อสามารถทำให้ทางบ้านผมเข้าใจแล้วว่าผมได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด ทางบ้านจึงยอมให้เข้าบ้าน
ทุกวันนี้ ผมทำงานที่พันธกิจเรือนจำคริสเตียนในประเทศไทย ร่วมรับใช้ในการเข้าไปเยี่ยมเยียนผู้ต้องขังในเรือนจำต่างๆ สอนหนังสือเขา หนุนใจเขา พันธกิจนี้ไม่ได้พบเฉพาะผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดี ในทางตรงข้าม เราท้าทายที่จะได้สัมผัสกับผู้ต้องขังที่ยากต่อการควบคุมเพราะเราเชื่อว่า สิ่งที่เราป้อนให้กับเขานั้นคือสิ่งที่จะเติมเต็มในสิ่งที่เขาต้องการอย่าง แท้จริงและจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตของเขาโดยไม่ต้องบังคับ ผมเองเคยลิ้มรสชีวิตที่ทุกข์ยากในคุกมาแล้ว เมื่อกลับไปเห็นผู้ที่ยังถูกจำคุกอยู่ ผมรู้สึกสงสารพวกเขามาก โดยเฉพาะผู้ต้องขังหญิง ผมได้แต่หวังว่าเขาจะยอมต้อนรับคำสอนและคำปลอบประโลมใจจากพระเจ้าซึ่งจะพูด กับเขาผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ เพื่อเขาจะได้รับการปลดปล่อยด้านจิตวิญญาณในยามที่เขาไม่มีอิสรภาพด้านร่าง กาย นอกจากนั้น ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์ทรงเลือกและเรียกผมให้ผมได้มีโอกาส เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์คณะแบ๊บติสต์สวนพลูปี 3 ทำให้ผมมีความมั่นใจยิ่งขึ้นที่จะต่อสู้กับความบาปและกล้าที่จะประกาศ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ให้คนอื่นได้รับความรอดเหมือนที่ผมได้รับมาแล้วโดยความศรัทธาที่ผมมีต่อ พระองค์ ในระหว่างนี้ผมก็มีโอกาสสำแดงชีวิตใหม่ของผมกับพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนๆ และชาวบ้านที่บ้านเดิมของผม โดยเฉพาะกับพ่อซึ่งผมได้มีโอกาสดูแลระหว่างที่ท่านเจ็บป่วยอยู่ และก่อนเสียชีวิต พ่อได้ยอมรับการอธิษฐานจากคริสเตียนที่ไปเยี่ยมเยียน ผมตั้งใจว่าสักวันหนึ่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จะเกิดผลที่บ้านเดิมของ ผมและจะมีคริสตจักรเกิดขึ้นเพื่อนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ผู้ที่อยู่ในความมืดจะได้รับแสงสว่างเพื่อก้าว ออกมาสู่ชีวิตใหม่
สำหรับคริสตชนทุกท่าน ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรให้ท่านเขัมแข็งในความเชื่อและทำงานรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าให้เกิดผลต่อไป อาเมน …พราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์ (ฮีบรูบทที่ 11 ข้อ 6) …พวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ (มัทธิวบทที่ 5 ข้อ16) อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อทุกคน … (กาลาเทียบทที่.6 ข้อ 9-10)
สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบพระคุณสำหรับคำพยานของคุณต๋อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้อ่านและคนทั่วไป ขอพระเจ้าอวยพรให้ชีวิตของคุณต๋องเป็นแสงสว่างในที่มืดแก่คนจำนวนมากต่อไป
- คุณทวีศักดิ์ จันทร์แจ่ม (ต๋อง)
- ภาพ Jcomp – Freepik.com