โดราเอมอน… ในกล่องความทรงจำ
เสียงเพลง “ความทรงจำสีจาง” ลอยแผ่วผ่านความคิดของผมทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปในวันวาน และครั้งนี้ดูเหมือนเสียงเพลงแว่วในความคิดจะดังกว่าทุกครั้ง เมื่อผมยืนถือตั๋วหนัง Stand by me (เพื่อนกันตลอดไป) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ โดราเอมอนสามมิติฉลองครบรอบ 80 ปี อาจารย์ฟูจิโอะและอาจารย์ฟูจิโกะผู้แต่งเรื่องโดราเอมอน เมื่อหนังเริ่มฉายผมได้เห็นเจ้าแมวตัวสีฟ้าหน้าตาคุ้นเคยปรากฏตัวจากลิ้นชักหนังสือของโนบีตะ กล่องความทรงจำของผมก็เปิดอ้าออกจนกว้างขวาง ผมได้ยินเสียงโนบีตะในตัวของผมหัวเราะเสียงดังด้วยความดีใจ
ถ้าเราลองนั่งลงปิดตาของเราลงสักครู่ หยุดรับรู้เรื่องภายนอก และค่อยๆ แกะหีบห่อความทรงจำของเราออกทีละชั้น พวกเราแต่ละคนจะพบหีบสมบัติแห่งความทรงจำที่ซ้อนทับกันทีละชั้น ค้นลึกลงไปเรื่อยๆจนพบหีบที่ลงกลอนแน่นหนา แทบจะแกะออกมายากเต็มที ไม่ว่าเราจะมีอะไรบรรจุอยู่ในหีบก็ตาม นักจิตวิทยาต่างก็เชื่อว่าทุกสิ่งที่หล่อหลอมรวมมาเป็นเราในปัจจุบันนั้นเป็นเสมือนฐานของอาคาร รากแก้วของต้นไม้ยืนต้น ยิ่งลึกลงไปในวัยเด็กมากเท่าไร สิ่งเหล่านั้นก็ส่งผลและทรงอิทธิพลต่อชีวิตในปัจจุบันเรามากอย่างแทบคาดไม่ถึง ในพระธรรมสุภาษิตได้ยืนยันความจริงข้อนี้ไว้ในหลายๆ ตอนว่า ให้เราเอาจริงเอาจังกับการฝึกฝนเด็กตั้งแต่ยังเล็ก เพราะสิ่งเหล่านั้นจะก่อร่างสร้างพวกเขาให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตที่ถูกต้อง อาทิเช่น สุภาษิต 29:15 กล่าวว่า “ไม้เรียวและคำตักเตือนให้ปัญญา แต่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะนำความอับอายมาสู่มารดา” หรือใน สุภาษิต 22:6 ที่เรามักคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็ยังกล่าวว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะไม่พรากจากทางนั้น” สิ่งที่ถูกบรรจุหีบห่อในความทรงจำแต่ละช่วงของเด็ก จึงมีอิทธิพลอย่างมาก ถ้าเราบรรจุความรักของพ่อแม่ เด็กจะเติบโตมาอย่างคนที่มั่นใจในตัวเอง ภาคภูมิใจในตนเอง ถ้าปลูกวินัยลงไป เด็กก็จะเติบโตขึ้นเป็นผู้มีระเบียบ มีกาลเทศะ ในทางกลับกันหากกล่องความทรงจำนั้นมีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว เด็กรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย เขาก็จะเติบโตมาโดยอาศัยรากแก้วแห่งความกลัวและเกลียดชัง ซึ่งทุกท่านคงพอจะเดาออกได้ไม่ยากใช่ไหมครับว่า ผลที่ได้จากต้นไม้ลักษณะนี้จะมีหนามแหลมคมสักขนาดไหน
ในยุคที่ผมยังเป็นเด็กนั้น โดราเอมอน เป็นการ์ตูนที่ให้ความเพลิดเพลิน คติสอนใจ และความซาบซึ้ง สิ่งหนึ่งที่ผมได้ทันทีจากการชมภาพยนตร์โดราเอมอน (Stand by me) ก็คือ ความสุขในวัยเด็กที่ค่อยๆหลั่งไหลออกมาจากความทรงจำ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนที่โตมากับวรรณกรรมอย่าง “เพชรพระอุมา” จะเปี่ยมล้นด้วยความปิติทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับชื่อ รพินทร์ ไพรวัลย์ หรือ หม่อมราชวงค์ดาริน วราฤทธิ์ กล่องความสุขที่อยู่ชั้นในสุดของจิตใจเหล่านี้มีความสำคัญยิ่งกับการที่เด็กแต่ละคนจะเติบโตขึ้นมา ในปัจจุบันเรามีทางเลือกมากมายที่จะสามารถบรรจุลงไปในความทรงจำของลูกๆ และเด็กๆในความปกครองของเรา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เรากลับไม่ได้ใช้สิทธิในการเลือกนั้นอย่างรอบคอบเพียงพอ ลองคิดตามคำถามที่ผมจะถามผู้อ่านทุกท่านดูว่า ทุกวันนี้มีพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่สักกี่คนที่เป็นผู้เลือกสื่อทั้งการ์ตูน ภาพยนตร์ ตลอดจนบทเพลงที่จะสวมเข้าเป็นความทรงจำด้านดีให้กับเด็กๆ บ้าง จริงหรือไม่ที่เราหลายคนทิ้งลูกหลานให้โตมากับโทรทัศน์ที่ตัวเด็กเองเป็นคนถือรีโมท ซ้ำร้ายพ่อแม่บางคนเลือกดูละคร หรือรายการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กแม้แต่น้อย เพราะสนใจแต่ว่าตัวเองต้องการดูอะไร ยิ่งในยุคสมัยนี้ด้วยแล้วเด็กจำนวนมากถูกทิ้งให้โตกับสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต อย่างไร้คนเอาใจใส่ จนบางครั้งผมถึงกับสะดุ้งที่เห็นเด็กอนุบาลกำลังเล่นเกมส์ยิงหัวมนุษย์อย่างสนุกสนาน พวกเราแน่ใจแล้วหรือว่าเราต้องการให้สิ่งต่างๆเหล่านี้เข้าไปอยู่ในกล่องความทรงจำชั้นในสุดของเด็กๆ และกลายเป็นรากฐานของการก่อร่างสร้างตัวเป็นผู้ใหญ่ในภายภาคหน้า จำไว้ให้ดีว่าถ้าเราไม่ลงทุนเวลากับการเลือกสรรความทรงจำที่สวยงามให้พวกเขา พวกเรานั่นแหละจะต้องพบความจริงอันน่าเวทนา และน่าเสียใจในอนาคต
จากพระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 17 เรื่องราวของหนุ่มน้อยดาวิดที่ฆ่ายักษ์โกลิอัท เรื่องเหลือเชื่อแต่จริงนี้ถูกเล่าขานในด้านความยิ่งใหญ่และการน่าสรรเสริญของหนุ่มน้อยดาวิด แต่ความจริงอีกด้านที่เราพบจากการอ่านพระธรรมตอนนี้ก็คือ ในตอนแรกทุกคนในกองทัพอิสราเอลรวมทั้งกษัตริย์ ซาอูลต่างกลัวเจ้ายักษ์โกลิอัทนี้จนไม่มีใครกล้าออกไปสู้ แม้จะถูกท้าทายอย่างหยาบคาย ในครั้งแรกนั้นไม่มีใครสักคนที่เชื่อว่าดาวิดจะสามารถจัดการเจ้ายักษ์โกลิอัทได้ แล้วอะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้หนุ่มน้อยดาวิดสร้างชื่อของเขาด้วยการสังหารยักษ์ใหญ่ด้วยหินเพียงก้อนเดียว เรื่องนี้น่าจะเป็นหลักคิดที่สำคัญที่จะกลายเป็นแรงจูงใจให้เราลงทุนในการสร้างความทรงจำและประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กับเด็ก หรือลูกของเราได้ไม่น้อยเลย
เคล็ดลับประการแรกก็คือ “หินที่ฆ่ายักษ์ไม่ใช่หินก้อนแรกดาวิดฝึกขว้าง” ถ้าเราอ่านพระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 17 ทั้งบท เราจะพบว่ากษัตริย์ซาอูลไม่เชื่อน้ำยาว่าดาวิดหนุ่มน้อยจะสามารถฆ่าเจ้ายักษ์ตนนี้ จนซาอูลพูดสำทับเสียยกใหญ่ว่าเจ้ายักษ์มันเก่งกาจขนาดไหน ถ้าเป็นคนอื่นๆ คงกลัวจนหัวหด แต่ดาวิดตอบใน 1 ซามูเอล 17:34-36 ว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยเลี้ยงฝูงแกะของบิดา และเมื่อมีสิงโตหรือหมีมาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง ข้าพระบาทก็ตามไปฆ่ามัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระบาท ข้าพระบาทก็จับคางของมัน และทุบตีมันจนตาย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงโตและหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” ความจริงที่เราไม่ควรมองข้ามก็คือ หนุ่มน้อยดาวิดเคยใช้วิธีการขว้างก้อนหินด้วยสลิงนี้มาก่อนแล้ว ทั้งการฆ่าสิงโต และหมี ที่เข้ามาขโมยลูกแกะที่เขาเลี้ยงดู ความมั่นใจในสถานการณ์อันสำคัญย่อมเกิดจากการฝึกฝนอยู่เสมอ ดังนั้นพ่อแม่หลายคนที่มีเจตนาช่วยลูกทำการบ้านจนกลายเป็นการทำแทน เราอาจไม่ได้ตระหนักรู้เลยว่านี่เป็นการทำลายโอกาสทางอ้อมของเขาในการฝึกฝนตามพัฒนาการ หินก้อนแรกของหนุ่มน้อยดาวิดก็คงไม่ได้แม่นยำมาตั้งแต่ต้น แต่การฝึกฝนด้วยตนเองทำให้ก้อนหินนั้นไม่พลาดเป้าในเวลาที่สมควรมาถึง
เคล็ดลับประการที่สองก็คือ “ต้องมีชุดออกรบของตัวเอง” เมื่อมาถึงยามคับขัน หนุ่มน้อยดาวิดยังคงยืนกรานว่าตนเองจะออกไปสู้กับยักษ์ใหญ่ตนนั้นให้ได้ กษัตริย์ซาอูลจึงไม่ทัดทานอีก แต่อาจเป็นเพราะพระองค์คงกลัวว่าหนุ่มน้อย ดาวิดจะแพ้อย่างหมดรูป จึงทรงประทานชุดรบของพระองค์ให้ดาวิดใส่ในการรบครั้งสำคัญนี้ แล้วดาวิดทำอย่างไร หนุ่มน้อยดาวิดลองใส่ชุดรบพบว่ามันมีขนาดใหญ่และไม่เหมาะกับตัวเอง ทำให้เขาตอบมาในพระธรรม 1 ซามูเอล 17:39 ว่า “ข้าพระบาทไม่สามารถสวมเครื่องเหล่านี้ออกไป เพราะว่าข้าพระบาทไม่ชิน” หนุ่มน้อยดาวิดปลดชุดรบที่ไม่ใช่ของตัวเองออกไป แล้วเลือกชุดรบของตนเองคือไม้เท้า สลิงและถุงใส่หินของเขาซึ่งเหมาะมือกว่า และเขาก็ทำมันสำเร็จในที่สุด เรื่องที่เลวร้ายที่สุดประการหนึ่งที่ผมได้สังเกตเห็นพ่อแม่หลายคนกระทำต่อลูกอย่างไม่เจตนาก็คือ การพยายามปั้นให้ลูกเป็นในสิ่งที่พ่อแม่อยากให้เป็น มันคงจะจบลงด้วยดีหากความต้องการของพ่อแม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกๆ แต่ความจริงก็คือเด็กทุกคนคือการทรงสร้างอันอัศจรรย์จากพระเจ้า เราแต่ละคนเติบโตมาอย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ชุดออกรบของเราแตกต่างกัน ถ้าเราจำเป็นต้องออกไปฆ่ายักษ์ หรืออุปสรรคใดๆ ในชีวิต อย่างน้อยเราก็ควรมีโอกาสเลือกชุดออกรบของเราเอง พ่อแม่และผู้ใหญ่หลายคนมีเจตนาดีที่ต้องการฟูมฟักเด็กๆในทางที่ตนเห็นว่าเหมาะสม แต่นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เรานำเอาสติปัญญาอันจำกัดของเราไปจำกัดการทรงสร้างอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือการประคับประคองให้เขาเลือกในสิ่งที่เป็นตัวเขาเอง และเป็นทางที่ถูกต้องต่อมโนธรรม การแน่ใจในชุดออกรบของตัวเองคือการรู้จักตนเอง รู้จักความถนัดจัดจ้านของเราเอง เราจะรู้ก็โดยการแสวงหา ลองทำหลายสิ่งหลายอย่าง แน่นอนว่าจะมีบางสิ่งผิดพลาดและบางสิ่งทำได้ดี หากเราต้องการสร้างหนุ่มน้อยดาวิดของเรากลายเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต เราจำเป็นต้องมอบความทรงจำที่ดีในการแสวงหาตนเองให้กับพวกเขาด้วย
เคล็ดลับประการสุดท้ายก็คือ “ก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารห้าก้อน” หลายคนอาจจะมองข้ามเรื่องจำนวนก้อนหินที่หนุ่มน้อยดาวิดเตรียมไว้ เพราะเขาสามารถล้มโกลิอัทด้วยก้อนหินเพียงก้อนเดียว แต่เรื่องนี้อาจจะแตกต่างออกไปหาก โกลิอัทไม่ได้ล้มตั้งแต่ในครั้งแรก แต่ไม่มีปัญหาหนุ่มน้อยดาวิดยังคงเก็บโอกาสอีกสี่ครั้งในถุงใส่ก้อนหินของตัวเอง ผู้อ่านที่รักหนุ่มน้อยดาวิดแม้จะมีความมั่นใจในความสามารถของตนเอง แต่ก็ไม่เคยประมาทคู่ต่อสู้ของตนเองเลย ในพระธรรม 1 ซามูเอล 17:40 กล่าวว่า “… และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ แล้วเขาก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น” หนุ่มน้อยดาวิดเลือกก้อนหินเกลี้ยงเพราะมันจะแหวกอากาศได้ดีกว่า และไม่ลืมว่าจำนวนที่มากที่สุดที่ตนเองสามารถบรรจุลงไปในถุงหนังได้คือจำนวนห้าก้อน ผู้ที่ไม่ดูถูกคู่ต่อสู้ย่อมไม่พ่ายแพ้ให้กับความประมาทของตนเอง ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเช่นในปัจจุบัน การคดโกงทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะกลายเป็นค่านิยมพื้นฐานในหลายๆ ครอบครัว หลายครอบครัวทำให้ลูกของตนเองชนะจากอิทธิพลมืดของตัวเอง เด็กหลายคนสอบเข้าในสถาบันมีชื่อเสียงด้วยกลโกง หรือการติดสินบนอันน่ารังเกียจ เรากำลังสอนอะไรให้กับลูกหลานของเรา การทำเช่นนี้เป็นเหมือนการกางปีกแห่งความชั่วร้าย ที่ทำให้ลูกหลานอยู่ภายใต้ร่มเงาของความประมาท และดูถูกผู้อื่น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกบันทึกเป็นความทรงจำว่า “ไม่จำเป็นต้องพยายาม เพราะฉันมีคนหนุนหลัง” “โกงซะอย่าง รวยซะอย่างก็ชนะได้” ไม่เร็วก็ช้าร่มเงาแห่งอำนาจเหล่านั้นก็จะสูญสลายไปตามกาลเวลาทิ้งให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตนเองถ้าไม่ใช้กลโกง
โดราเอมอนเป็นเพียงภาพตัวแทนถึงความสุข และความทรงจำในวัยเด็ก ที่เราจะพบว่าแม้มีของวิเศษมากมายแต่สุดท้ายหนูน้อยโนบิตะจำเป็นต้องเติบโต และต่อสู้ด้วยกำลังจากตัวเอง เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะเติบโตขึ้นและดำเนินชีวิตของพวกเขาเอง ไม่ช้าเราก็ต้องปล่อยมือที่ห่วงใยและหัวใจที่ห่วงหา เด็กย่อมไม่สามารถเดินได้เองถ้าเรายังคงอุ้มและไม่ปล่อยให้เขาล้มบ้าง ใส่ใจกับทุกสิ่งที่เราจะบรรจุลงในความทรงจำของเขาในวันนี้ให้มาก อย่าปล่อยให้เขากลายเป็นต้นไม้ที่มีหนามแหลมคมในวันข้างหน้า แต่ขอให้เป็นต้นไม้ที่ออกผลชื่นใจแก่ทุกคนที่อยู่ใกล้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง