ไปให้ไกล กว่าเดิม 1/10

ไปให้ไกล กว่าเดิม

ตอนที่ผมอายุสักห้าหกขวบ ผมไม่กล้าที่จะเดินออกจากบ้านโดยไม่มีพ่อแม่ เพราะกลัวว่าหมาสีดำตัวโตของบ้านใกล้ๆ กันจะกัดเอา หลังจากอายุครบ 11 ปี ผมออกไปเล่นแถวบ้านโดยไม่กังวลอะไรอีก แม้ว่าจะเห็นหมาตัวเดิมผมก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าเดิม จนวันหนึ่งผมถูกหมาตัวนี้กัดเข้าเต็มเหนี่ยวที่ขาซ้าย ผมในวัยเด็กสู้กับหมาตัวนี้สุดแรงเกิด สุดท้ายมันก็ยอมปล่อยคมเขี้ยวของมัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะมันแก่หรือหนังผมเหนียวมันจึงกัดผมไม่เข้า ทิ้งไว้เพียงรอยบุ๋มลึกๆ แต่ในใจของผมร้องไชโยเสียงดังพร้อมกับบอกกับตัวเองว่า “หมาไม่เห็นจะน่ากลัวเลย” ความที่ผมไม่กลัวหมาตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ผมกล้าจะไปเล่นไกลๆ กว่าเด็กคนอื่น (แต่พ่อแม่ผมคงไม่ค่อยชอบนักหรอก) สุดท้ายหมากับผมก็กลายเป็นเหมือนเพื่อนกัน แม้จะมีผู้ใหญ่เอาหมาตัวโตมาขู่เด็กๆ อย่างผม ผมก็ไม่รู้สึกกลัวสักนิด

ผมมีโอกาสทำงานด้านการให้คำปรึกษามากว่า 10 ปี และมีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับนักเรียนจำนวนมาก เมื่อทุกคนเล่าปัญหาของเขาให้ผมฟัง ผมมักจะนึกถึงข้อพระคัมภีร์ สุภาษิต บทที่ 17 ข้อ 22 ว่า “ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง” นั่นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากความเชื่อภายในจิตใจ วัยรุ่นหลายคนต้องเผชิญกับปัญหาการแยกทางกันของพ่อแม่ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีปัญหา หลายคนเคยต้องอยู่อย่างลำบาก และไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่กลายเป็นโจรผู้ร้าย ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่าปัญหาก็คือปัญหา เราจะแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะจมกับปัญหาไปเรื่อยๆ หรือเลือกจะหลุดจากวังวนของปัญหา ผมในวัยเด็กคงไม่สามารถออกจากบ้านได้ ถ้าผมเอาแต่คิดว่าหมาดำตัวนั้นจะฆ่าเด็กอย่างผม และแม้สุดท้ายจะโดนหมากัดเข้าจริงๆ มันก็ไม่สามารถฆ่าผมได้ อย่างมากก็แค่เจ็บ

ผมยกเอาพระคัมภีร์สั้นๆ ตอนนี้เพื่อฝากข้อคิดที่ผมเชื่อว่าสามารถทำให้เราเป็นคนที่มีชีวิตที่ไปได้ไกลกว่าเดิม

ประการแรก “จงดูแลจิตใจ เพราะมันกำหนดทุกสิ่ง” ในพระธรรมสุภาษิตบทที่ 4 ข้อ 23 ได้ย้ำในเรื่องนี้ว่า “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” คนที่โชคร้ายที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่เกิดมายากจน หรือเป็นเด็กกำพร้า แต่คนที่โชคร้ายที่สุดในโลกคือคนที่คิดว่าตัวเองเกิดมาโชคร้าย กว่าคนอื่น เป็นเรื่องจริงที่ผมพบว่าบางคนเกิดมาอย่างเพียบพร้อมในสายตาของคนรอบข้าง แต่กลับไม่รู้สึกอิ่มใจในสิ่งนั้น แต่กลับมองหาว่าตนเองมีอะไรที่ด้อยกว่าคนอื่น พร้อมกับบ่นกับตัวเองว่า “ฉันช่างน่าสงสารเสียจริง” มันน่าแปลกที่ว่าเมื่อเราพยายามมองหาสิ่งที่เราเชื่อว่าเรามี เราก็จะพบสิ่งนั้นจริงๆ เช่น ถ้าสมชายคิดว่าตนเองเป็นคนที่ไม่สามารถพูดต่อหน้าคนอื่นได้ สมชายก็จะไม่หาโอกาสพูดในที่สาธารณะชน จนในที่สุดสมชายก็ไม่สามารถพูดต่อหน้าคนอื่นได้จริงๆ นีล ที แอนเดอร์สัน กล่าวว่า “คุณไม่สามารถใช้ชีวิตเกินกว่าสิ่งที่คุณเชื่อ” (ชัยชนะเหนือความมืด) หากเรามีความเชื่อในทางบวก เราย่อมพยายามขวนขวายที่จะทำให้ได้จนในที่สุดเราก็จะพบว่าเราสามารถเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ ดังที่ไบรอัน เทรซี่พูดไว้ว่า “คุณยิ่งชัดเจนในสิ่งที่ต้องการ และสิ่งที่ต้องทำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายขึ้นมากเท่านั้นที่คุณจะเอาชนะนิสัยชอบผัดวันประกันพรุ่ง”(กินกบตัวนั้นซะ) ผมจึงอยากให้กำลังและขอให้ทุกท่านรอบคอบกับความคิด เพราะทุกสิ่งที่คิดจะมีผลกับชีวิตจริงของเราเสมอ

ประการที่สอง “ยาที่ดีคือใจที่ร่าเริง” แม้ว่าเราจะมีความมานะบากบั่น และต่อสู้ในชีวิตมากสักเท่าใด ก็ย่อมมีวันที่เรารู้สึกหมดแรง ในเวลานั้นเราต้องการยาที่จะช่วยรักษาอาการหมดแรงในชีวิตของเรา พระคัมภีร์ตอนนี้บอกกับเราว่ายาที่ได้ผลก็คือ “ใจร่าเริง” ฟังดูเหมือนว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่หลายครั้งเราคงต้องยอมรับความจริงว่าการทำใจให้ร่าเริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ยิ่งรายการโทรทัศน์สมัยนี้มักจะให้สูตรสำเร็จเวลาที่เราท้อแท้ได้เลียนแบบ เช่น คนอกหักชอบเดินตากฝน และนั่งอยู่ในมุมมืดคนเดียว หรือคนที่คิดไม่ตกเรื่องการเงินต้องไปนั่งทอดอาลัยอยู่บนดาดฟ้าตึก ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่น่าจะมีจุดจบที่ดีสักเท่าไหร่ แต่เราก็เลียนแบบพฤติกรรมจากสื่อเหล่านี้ในชีวิตของเราจนเคยชิน ผมอยากเสนอแนะกับผู้อ่านทุกคนว่าแท้ที่จริงแล้วเรามีสิ่งที่สามารถสร้างความร่าเริงแก่จิตใจเราอยู่อย่างมากมาย แต่เรามักจะมองข้ามมันไป ชีวิตในเมืองใหญ่ทำให้เราลืมความสวยงามของธรรมชาติ จนเราแทบลืมไปแล้วว่าเราไปเที่ยวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือบางคนอาจลืมไปแล้วว่าเวลาที่เราให้โอกาสกับคนที่ด้อยโอกาส ใจของเรามีความสุขและร่าเริงขนาดไหน ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ผมไปเยี่ยมบ้านพักคนชราที่บางละมุง แม้ผมจะต้องเหน็ดเหนื่อยกับการนำเกมและเดินทางตลอดทั้งวัน แต่จิตใจของผมมีความสุขมาก หวังว่าในวันหยุดครั้งต่อไปทุกท่านจะจัดเวลาไว้สำหรับการค้นหาจิตใจที่ร่าเริงของท่านด้วยนะครับ

ประการสุดท้าย “ใจที่สิ้นหวังทำให้เราป่วย” ผมเคยฟังเรื่องเล่าจากคุณพ่อว่ามีชายคนหนึ่งเป็นคนแข็งแรงมาก วันหนึ่งหลังจากเขาต่อสู้กับคนร้ายที่ใช้มีดเป็นอาวุธ เขาพลาดถูกแทงบริเวณใกล้ๆ กับหน้าอก เขาวิ่งจากตลาดสามย่าน (ตลาดเก่า) ตรงข้ามคณะบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปที่โรงพยาบาลจุฬา อาการของเขาดูแข็งแรงไม่เหมือนคนถูกแทงเลย แต่พอบุรุษพยาบาลเข้ามาเห็นแผลของเขาแล้วร้องอย่างตกใจว่า “นี่มันเลือดที่ไหลจากหัวใจ คุณถูกแทงทะลุหัวใจแล้วนะ” เขาก็ล้มลงตายตรงนั้นทันที ผมเชื่อจริงๆ ว่าจิตใจเป็นเรื่องที่เราต้องรักษาให้มั่นคง เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นมันก็พร้อมจะสั่นคลอนได้อย่างง่ายดาย ผมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอุปทานหมู่ที่เกิดขึ้นในงานกีฬาของโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีนักเรียนห้าคนที่ล้มป่วยเพราะอาหารเป็นพิษอย่างแรง เบื้องต้นโรงเรียนเชื่อว่าเพราะพวกเขาทานลูกชิ้นจากร้านลูกชิ้นทอด จึงได้ประกาศเตือนนักเรียนที่ซื้อลูกชิ้นที่ร้านดังกล่าว ปรากฏว่ามีนักเรียนราว 200 คนที่รู้สึกว่าตนอาหารเป็นพิษจนห้องพยาบาลรับมือไม่ไหว ในที่สุดโรงพยาบาลที่นักเรียน 5 คนแรกไปรักษาแจ้งกลับมายังโรงเรียนว่าเด็กทั้งห้าป่วยเพราะไปทานขนมจีนระหว่างทางก่อนมาโรงเรียน หลังจากประกาศความจริงออกไปนักเรียนทั้ง 200 คนในห้องพยาบาลก็ค่อยๆ หาย จนไม่มีใครเหลือในห้องพยาบาลสักคนเดียว เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าใจของเราหวั่นไหวได้ง่ายต่อข่าวร้าย เพราะมันสร้างอาการป่วยที่ร้ายกาจเรียกว่า “ยอมแพ้และท้อถอย” คนที่เรียนแพทย์คงทราบดีว่าการทำให้กระดูกแห้งจนไม่มีความชื้นอยู่เลย เป็นเรื่องน่ากลัวขนาดไหน แม้แต่คนที่เพิ่งเสียชีวิตกระดูกก็ยังไม่แห้งขนาดนั้น ดังนั้นพระคัมภีร์ตอนนี้ได้เตือนใจเราอย่างมากว่าอย่าปล่อยให้ใจของท่านจมอยู่กับความท้อแท้สิ้นหวัง เพราะมันไม่เพียงกัดกินชีวิตและเนื้อหนัง แต่กัดกินท่านแม้กระทั่งจิตวิญญาณไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ไม่เคลื่อนไปข้างหน้า แต่ในมนุษย์นั้นจิตใจที่อ่อนแรงสามารถทำให้เราตายทั้งเป็นได้ ขอเพียงผู้อ่านทุกท่านระวังและรักษาใจของท่านไว้เสมอ หมั่นทานยาแห่งความร่าเริง และไม่เข้าหาความท้อใจ ทุกวันนี้ผมยังพยายามเอาชนะหมาสีดำตัวต่อไปในชีวิตอยู่เสมอ หมาสีดำของผมทุกวันนี้คือการเอาชนะความกลัว ความกังวล ความเชื่อผิดๆ ว่าตนเองด้อยค่าหรือความเชื่อที่ว่า ฉันนี่น่าสงสารจริงๆ สิ่งที่ผมพบกับตัวเองก็คือ หมาดำสามารถกัดเราได้ก็จริง แต่มันก็แค่ทำให้เรา เจ็บเท่านั้น แต่ความกลัวจนไม่กล้าออกไปไหนต่างหากที่สามารถ ทำให้เราตายได้จริงๆ ขอพระเจ้าอวยพรชีวิตท่านให้ไปได้ไกลกว่าเดิมทุกท่านครับ

  • อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ Wirestock – Freepik.com