กับช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมได้สัมผัสกับพระเจ้า 3/11

กับช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมได้สัมผัสกับพระเจ้า

ชีวิตลูกผู้ชายคน หนึ่งที่เดินอยู่ในทางแห่งความบาป มีชีวิตที่มีความสุขอยู่กับการได้เสพบุหรี่ ดื่มสุรา เคล้านารี และความสุขเหล่านั้นก็พลันหายไปเมื่อเกิดวิกฤติกับชีวิตของเค้า ด้วยวัยเพียง 20 ต้นๆ เค้าเผชิญกับโรคมะเร็งระยะที่ 3 เค้ารู้ดีว่าโรคนี้คร่าชีวิตผู้คนมากมายมาแล้ว ในช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วยและต้องเผชิญชีวิตด้วยความยากลำบาก พระเจ้าได้ทรงเรียกเค้าให้ยอมจำนนกับพระองค์ และเปลี่ยนชีวิตเค้าใหม่ให้เป็นชีวิตที่ดำเนินอยู่ในทางของพระองค์เค้าก้าว ผ่านชีวิตที่เจ็บปวดเจียนตายมาได้โดยพระเจ้า และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ภายใต้การทรงนำของพระองค์ ขอแนะนำให้พบกับ ร.ต.อ.สรรัชฏก์ ศรีปุณยาภิคุปต์

ผมชื่อ ร.ต.อ.สรรัชฎก์ ศรีปุณยาภิคุปต์ หรือเรียกชื่อเล่นว่า “เต้” ปัจจุบันผมอายุ 26 ปี จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม มีอาชีพรับราชการตำรวจ ผมได้สมรสกับ คุณภัทรพร เสรีประเสริฐ หรือชื่อเล่นว่า “ฟาร่า”??

เมื่อประมาณปี พ.ศ.2543 ขณะนั้นผมอายุประมาณ 15 ปีเศษๆ ครอบครัวของผมมีความสะดวกสบายในชีวิตพอสมควร ไม่เดือดร้อนทางด้านการเงินเลยแต่มีปัญหาทางบ้านพอสมควร ผมเติบโตมาในสภาพของครอบครัวที่ในยามค่ำคืนมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง พ่อไม่มีเหตุผลกับแม่ ด่าว่า และทำร้ายแม่บ้าง เป็นจุดพลิกผันจุดหนึ่งที่ทำให้ผมไม่อยากอยู่บ้าน อยากอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่บ้าน ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในหลายๆ เหตุผลของผมในการตัดสินใจไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร และด้วยความที่ต้องการหนีปัญหาไม่อยากจะอยู่บ้าน ประกอบกับค่านิยมที่ผิดๆ ของสังคมในวงการของเด็กวัยรุ่นที่มองการดื่มสุรา และสูบบุหรี่ เป็นเรื่องที่สนุกสนาน และมีความเท่ห์ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ทำให้ชีวิตของผมเข้าสู่สังคมการดื่มสุราอย่างจริงจัง วันศุกร์หรือวันเสาร์ ได้รับการปล่อยให้กลับบ้านเมื่อใด เริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์ที่ร้านหมูกระทะกับเบียร์ แล้วจากนั้นพออิ่มท้องก็ไปท่องราตรีย่านอาร์ซีเอ ที่กำลังโด่งดังในขณะนั้น เมาสุรากับกลุ่มเพื่อนฝูงเดินโซเซกลับบ้านแล้วมีความสุข การดื่มสุรากลายเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติอันโอชะ อาทิตย์ไหนไม่ได้ดื่มสุราสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเหมือนชีวิตขาดรสชาติไป บางครั้งเมาทั้งคืนวันศุกร์และคืนวันเสาร์ เมื่อแม่พูดเรื่องกินเหล้าเมา ก็พูดย้อนแม่ว่า “เมาแต่มีสติไม่อาละวาทหรอกครับ”??ผมจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2549 และไปปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองยะลา ท่ามกลางสถานการณ์ที่บุคคลภายนอกดูว่าอันตรายแต่ก็มีความปลอดภัยเมื่ออยู่ใน ขอบรั้วสถานีตำรวจ ทำให้ยังสามารถดื่มสุราได้ตามเดิม มื้อเย็นไหนไม่มีหน้าที่เข้าเวรเมื่อไหร่ต้องมีกับแกล้มนิดหน่อย จากการชักชวนของเพื่อนฝูงบ้าง รุ่นพี่ชวนบ้าง ลูกน้องชวนดื่มบ้าง เมื่อมีสุรา ก็ย่อมมีเรื่องนารีตามมาเสมอ ผมก็เป็นคนที่หลงระเริงด้วยคนหนึ่ง คืนไหนขอเบอร์โทรศัพท์สาวๆ ในผับได้เป็นเรื่องที่โก้และเท่ห์ในกลุ่มเพื่อนฝูงมากๆ??

ประมาณต้นปี พ.ศ.2550 ผมเริ่มสำนึก และด้วยความไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวัง อยากจะเป็นข้าราชการตำรวจที่มียศพลตำรวจเอก เป็นเกียรติให้กับครอบครัวและวงศ์ตระกูล ให้พ่อและแม่ได้เห็นและปลื้มใจเหมือนในภาพถ่ายในวันที่พ่อและแม่มาร่วมแสดง ความยินดีกับผมในวันที่ผมจบการศึกษาและติดยศร้อยตำรวจตรี ผมจึงเริ่มปฏิเสธสังคมการดื่มสุรา และหันมาทำงานอย่างจริงจังแต่ก็ยังหนีการดื่มสุราไม่พ้น ยังคงดื่มบ้าง เหลือดื่มหนักๆ เมาเดินโซเซ แค่เดือนละไม่เกิน 2 ครั้ง แต่บุหรี่ก็ยังสูบอยู่เหมือนเดิม??

พบหญิงสาวที่เชื่อพระเจ้า
จนกระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2550 ผมได้เจอสาวงามคนหนึ่ง คือ น.ส.ภัทรพร เสรีประเสริฐ ชื่อเล่นว่า “ฟาร่า” (ปัจจุบันเป็นภรรยาของผม) เมื่อได้พบเธอ นับจากวันนั้นมาผมได้พยายามที่จะเลิกสูบบุหรี่ แต่ก็ยังไม่สามารถเลิกได้เพราะใจไม่เข้มแข็งพอยังแอบสูบอยู่บ้างนิดหน่อย ผมพยายามจีบฟาร่าอยู่นานประมาณ 4 เดือน ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะสนใจผม จนกระทั่งผมสืบได้ว่าต้องเป็นคริสเตียนเท่านั้นจึงจะสามารถมาเป็นแฟนกับเธอ ได้ ตั้งแต่นั้นมาประมาณปลายเดือนตุลาคม 2550 ผมได้เริ่มศึกษาการเป็นคริสเตียนด้วยตนเองทางอินเตอร์เน็ตจนกระทั่งได้ รู้จักกับพระเยซูคริสต์เจ้า??
ผมได้อ่านจากบทความที่ผมค้นหาในอินเตอร์เน็ตของ คุณวีรศักดิ์ วรฤทธิ์สกุล เขียนว่า “ถ้า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง และพระองค์ทรงรักเราถึงขนาดตายไถ่บาปแทนเราได้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องไปรับหนี้กรรมบาปในนรก เราก็ไม่ควรที่จะกลับเข้าไปในความบาปอีก ดังนั้นการกลับใจใหม่หมายถึงความตั้งใจที่จะไม่กลับไปสู่ชีวิตเก่าๆ ที่เราเคยทำตามอำเภอใจของเรา แต่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระคริ สธรรมคัมภีร์เป็นการตั้งใจที่จะถวายชีวิตของเรา เพื่อพระองค์อย่างแท้จริง” ผมก็ค้นหาในอินเตอร์เน็ตเจอเว็ปไซต์มานาประจำวัน เริ่มอ่านมาเรื่อยๆ รู้สึกว่าอ่านมานาแล้วได้ข้อคิดประจำวันข้อความมีคติเตือนใจในการใช้ชีวิต ให้กับเราด้วย เมื่อผมไปโบสถ์ผมได้เห็นความรักของพระเจ้าจากชีวิตของพี่น้องในคริสต จักรยะลา ที่พวกเขาได้ให้การต้อนรับผมอย่างอบอุ่น พี่น้องที่ยะลาหลายคนต่างเข้ามาพูดคุยกับผมเหมือนกับญาติพี่น้อง บางคนดีกว่าญาติพี่น้องเสียอีกและนอกจากนั้นผมยังได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จากพี่น้องที่ยะลาทั้งฝ่าย
วิญญาณและฝ่ายร่างกาย ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าชีวิตในคริสตจักรนั้นมีความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง ทุกคนเป็นญาติพี่น้องกันในพระคริสต์แตกต่างจากวัดที่ผมไปกับคุณแม่มาก ต่างคนต่างไปแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พระที่เราเคารพนับถือเป็นใครก็ไม่รู้??
จากนั้นมาผมก็พยายามจะแอบถามฟาร่าเกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูคริสต์เจ้าอยู่ บ่อยๆ เมื่อมีโอกาส เมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม พ.ศ.2550 ฟาร่าจึงให้ใบปลิว ที่มีหัวข้อว่า “พระเยซูคือใคร?” กับผมมา มีเนื้อความหลักๆ ว่าพระเยซูยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ และวันที่สามพระองค์ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย อุโมงค์ฝังพระศพของพระองค์มีแต่ความว่างเปล่าเมื่อผมอ่านจบแล้วผมจึงมีความ เชื่อขึ้นมาในทันทีทันใดนั้น และผมจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่ละทิ้งรูปเคารพทั้งหมดที่ผมมีอยู่ และเชื่อพระเยซูนับตั้งแต่บัดนั้นมา และเมื่อวันคริสตมาสมาถึงผมได้บอกกับฟาร่าว่าผมเป็นคริสเตียนแล้วแต่ผมก็ยัง ใช้ชีวิตตามเนื้อหนังและความบาปอยู่มากพอสมควร ยังแอบดื่มสุราเวลามีงานเลี้ยงอยู่บ้าง และยังแอบสูบบุหรี่เป็นครั้งคราวเวลาสนุกสนานกับเพื่อนฝูง และยังแอบทำในสิ่งไม่ดีอีกหลายอย่าง ผมยังไม่สามารถทำใจของผมให้รักพระเจ้าได้อย่างสุดดวงใจของผม แต่ในทุกครั้งที่ผมดื่มสุราเท้าเดินโซเซไม่เป็นท่าในคืนไหน เมื่อกลับบ้านมาเฝ้าเดี่ยวอ่านพระคัมภีร์แล้วก็จะเจอบทความว่า “พระองค์ทรงเกลียดชังการเมาเหล้า” คืนที่เมาไวน์เดินโซเซกลับมาบ้านเฝ้าเดี่ยวก็จะเจอคำว่า “อย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน จงหลีกหนีให้ห่างจากการเลี้ยงเหล้าองุ่นกันอย่างเมามาย” บางครั้งบางคืนมางานเลี้ยงสังสรรค์ที่กรุงเทพฯ สนุกสนานเมาเต็มที่ตื่นเช้ามาไปโบสถ์เจออาจารย์เทศนาเต็มๆ เกี่ยวกับการเมาเหล้า พระเจ้าเตือนผมแบบนี้อยู่นับสิบครั้ง และฟาร่าก็บอกผมเสมอๆ ทุกครั้งที่พระเจ้าเตือนผมเรื่องการดื่มเหล้า ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบแล้วตอบฟาร่าไปว่า “นิดหน่อยเอง แก้วสองแก้วเพื่อเข้าสังคม”??

เมื่อชีวิตพบกับวิกฤตเป็นโรคมะเร็งระยะที่ 3 
จนกระทั่งประมาณกลางเดือนกันยายน พ.ศ.2552 ผมมีอาการผิดปกติ ขณะวิ่งออกกกำลังกายรู้สึกได้ว่าลูกอัณฑะข้างขวาของผมนั้นมันหนักผิดปกติ เมื่อจับดูก็รู้สึกอย่างเห็นได้ชัดว่ามันแข็งและโตกว่าลูกอัณฑะข้างซ้าย ตอนแรกก็นึกว่าอักเสบหรือเป็นไส้เลื่อนไม่ได้คิดอะไรมากเดี๋ยวก็หายเป็นปกติ ผ่านมาสองสัปดาห์เข้าเดือนตุลาคม พ.ศ.2552 ยังไม่หายเป็นปกติจึงไปหาหมอที่ ร.พ.ศูนย์ยะลา ขอบคุณที่พระเจ้าประทานแพทย์ที่ดีให้กับผม แพทย์บอกว่าน่าจะผิดปกติ ถ้าจะให้ชัดเจนต้องทำอัลตร้าซาวด์ดูจึงจะรู้ว่าเป็นอะไร ไม่ใช่แค่อักเสบแน่ๆ และขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมลัดคิวได้ ไม่เช่นนั้นโรงพยาบาลรัฐบาลก็ต้องรอคิวอย่างน้อยต้องสองสามอาทิตย์ แต่พระเจ้าก็ให้ผมได้ตรวจในบ่ายนั้นเลย สามวันต่อมาหมออ่านผลการตรวจปรากฏว่ามีก้อนเนื้ออยู่อย่างชัดเจน หมอจึงสั่งเจาะเลือดตรวจหาค่ามะเร็งเพื่อวิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อ ร้าย ขณะนั้นขอบคุณพระเจ้าที่เริ่มให้ความเชื่อมั่นคงกับผม ให้ผมมีความเชื่อและไม่กังวล หรือความกลัวใดๆ เลย ผมคิดเพียงว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ต่อมาอีกสองอาทิตย์จึงรู้ผลเลือดว่าผมเป็นมะเร็งอย่างแน่นอน หมอจึงสั่งให้ผมเข้าเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ขอบคุณพระเจ้าอีกที่ให้ผม ลัดคิวได้ตามเดิม คราวนี้ไวกว่าเดิมอีก ทำเสร็จหมออ่านผลให้เลยวันรุ่งขึ้นมารับผลการตรวจได้เลย ชัดเจนแจ่มแจ้งหมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งที่ลูกอัณฑะและลามมาที่ต่อมน้ำเหลืองมี ก้อนเนื้อในต่อมน้ำเหลืองด้วยก้อนที่โตที่สุดขนาด 4.9 ซม. หมอแนะนำให้ไปที่ร.พ.สงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ เนื่องจาก ร.พ.ยะลาไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผ่าตัดได้??
ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่จัดเตรียมทุกอย่างให้ผม ให้ผมได้พบคนรู้จักที่ ร.พ.และเข้ามารักษาใน ร.พ.พระมงกุฎเกล้า พระองค์ได้จัดเตรียมหมอที่เก่งไว้รองรับผม ผมมาหาหมอที่พระมงกุฎในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2552 ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่ให้หมอตัดสินใจผ่าตัดให้ผมอย่างรวดเร็ว หมอนัดผมผ่าตัดเอาลูกอัณฑะที่เป็นมะเร็งออกในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 (ตามปกติธรรมดาแล้วห้องผ่าตัดต้องจองอย่างน้อย 1 เดือนขั้นต่ำ) และนัดผ่าตัดใหญ่เลาะต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องทั้งหมดที่มีเชื้มะเร็งออกใน วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552??

ยอมจำนนกับพระเจ้าอีกครั้ง
พี่น้องที่จังหวัดยะลาส่งหนังสือ “สุขภาพดีวิถีเลิศ” มาให้และบอกว่าผมต้องยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และต้องสารภาพบาปทั้งหมดต่อพระองค์ขอให้พระองค์ยกโทษบาปทั้งสิ้นของผมที่ได้ ทำไป และขอให้พระองค์ตัดรากขมขื่นที่ผมมีมาตลอดชีวิต ผมเคยต่อว่าพ่อและแม่เสมอๆ ไม่สนใจพ่อและแม่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ และทำไม่ดีต่อพ่อและแม่หลายอย่าง คืนนั้นผมสารภาพบาปทั้งหมดต่อพระเจ้า ผมยอมจำนนต่อพระองค์อย่างสิ้นเชิง และขอเริ่มต้นชีวิตใหม่กับพระองค์??
ผมเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ถึง 2 ครั้ง แต่ละครั้งมันเจ็บปวด และทรมานมาก ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เป็นการเจ็บปวดที่มากที่ สุดที่เคยเจอมาในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมยังจำได้ว่า ผมเจ็บกับแผลผ่าตัดอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ได้ ขอบคุณพระเจ้าที่มอบเวลาแห่งการเจ็บปวด และทุกข์ทรมานให้กับผมเพื่อย้ำเตือนให้ผมได้รู้ว่าถ้าผมกลับไปกินเหล้าเมา มายอีก ผมก็จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้หรือมากกว่านี้อีก ในทุกๆ วันผมมีความมั่นใจเสมอตามพระคำของพระองค์ที่ว่า “พระองค์ ทรงรู้ถึงขีดความสามารถของลูกของพระองค์ว่าแต่จะคนนั้นจะมีความอดทนได้มาก น้อยเพียงใด” และ “พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ไม่เคยสายและทันเวลาเสมอ”

กำลังใจจากพระวจนะของพระเจ้า 
ผมมีความเชื่อเสมอว่า พระเจ้าให้ผมจะต้องหายดี แข็งแรง และมีชีวิตที่ยืนยาวเพื่อเป็นพระพรให้กับคนอื่นๆ พระคำของพระเจ้าเป็นกำลังใจให้กับผมเสมอมา ในพระธรรมตอนต่างๆ ??        สุภาษิต 9:10-12 “ความยำเกรงพระยาห์เวห์ เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และการรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้ เพราะโดยปัญญาวันคืนของเจ้าจะทวีขึ้นและปีเดือนแห่งชีวิตของเจ้าจะเพิ่มพูน ถ้าเจ้ามีปัญญา เจ้าก็มีปัญญาเพื่อตนเองถ้าเจ้าเยาะเย้ย เจ้าก็ทนแต่ลำพัง” ขอบคุณพระเจ้ามากที่หนุนใจผมผ่านทางมานาประจำวันว่าชีวิตของผมจะไม่สั้นเพราะมะเร็ง ถ้าผมยำเกรงพระเจ้า และไม่ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ??
เอเฟซัส 6:10-18 “สุด ท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะ สามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้ เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ใน วันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้ เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้ายจงเอาความรอดเป็น หมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า” ผม ออกจากโรงพยาบาลวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2552 ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมเป็นข้าราชการตำรวจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา พยาบาลเป็นจำนวนเงินหลายแสนบาท??
วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553 ไป ร.พ. กรุงเทพ เพื่อจะเอาน้ำเชื้ออสุจิไปฝากเอาไว้ตามคำแนะนำของหมอก่อนที่จะเข้ารับการ รักษาด้วยเคมีบำบัด หมอทำทุกวิถีทางแล้วไม่พบเชื้ออสุจิเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่ผมวางใจในพระเจ้าอยู่แล้วยังไงก็ไม่กลัวอะไร ผมรู้ว่าทุกอย่างที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นพระองค์รู้ว่าเป็นสิ่งที่เหมาะ สมกับลูกทุกคนของพระองค์ พระองค์จึงทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นได้ฟาร่าได้อ่านในมานาประจำวันที่บอกว่า “อย่ากลัวการฝากอนาคตที่ไม่รู้ ไว้กับพระองค์ผู้ทรงทราบทุกสิ่ง” พออ่านแล้วฟาร่าไม่กังวลอะไรเลยที่ว่าเมื่อแต่งงานกับผมแล้วไม่รู้ว่าเมื่อ ไหร่จะมีลูกได้ เพราะเรามั่นใจในพระองค์ ขอบคุณพระองค์อีกครั้งที่ทรงยืนยันพระวจนะคำให้กับผมอีกว่าพระองค์จะทรงมอบ สิ่งดีทุกสิ่งให้กับผม และไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ผมขาดจากความรักของพระเจ้าได้??

ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 
ผมมีอาชีพตำรวจทุกวันของชีวิตก็ต้องเสี่ยงกับอันตรายรอบด้าน ไม่รู้ว่าวันไหนที่ออกจากบ้านจะได้กลับมาบ้านอีกหรือเปล่า ตอนที่ทำงานอยู่ในจังหวัดยะลาผมก็มีพระวจนะพระเจ้าหนุนใจผมเสมอ ในพระธรรมสดุดี 23:4 “แม้ข้าพระองค์จะ เดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ คฑาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์” 
สดุดี 31:14-15 “ข้า แต่พระยาห์เวห์ แต่ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ข้าพระองค์ทูลว่า“พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ วันเวลาของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูและพ้นจากผู้ข่มเหงข้าพระองค์” 

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณทุกคน
ขอบพระคุณพระเจ้ามากๆ ที่ให้สติปัญญากับหมอทุกท่านในการรักษาผมให้การรักษาทุกขั้นตอนผ่านไปด้วย พระคุณพระองค์ และขอบคุณทุกคำอธิษฐานของพี่น้องคริสตชนที่จังหวัดยะลา ที่อธิษฐานเผื่อผมโดยตลอดในทุกๆ วันที่ผมป่วย และขอบคุณพระเจ้าที่สุดที่ประทานฟาร่าคู่พระพรอันแสนดีให้มาดูแลผมมานอนเฝ้า ผม อ่านมานาและพระคัมภีร์ให้ผมฟัง และอยู่เคียงข้างผมที่โดยตลอดเวลา ถ้าไม่มีพระเจ้าผมคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ได้ และปัจจุบันนี้ผมพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ผมรักพระเจ้า และผมจะให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของผมตลอดไป

ปัจจุบันนี้ผมเลิกบุหรี่ เหล้า สิ่งเสเพลทุกอย่างในชีวิต อย่างเด็ดขาดถาวรและตลอดไปแล้ว ถ้าผมไม่ได้รับความรัก และการให้อภัยของพระเจ้า ที่ทรงอภัยความบาปอย่างมากมายให้ผมแล้ว ผมคงไม่มีชีวิตที่มีความสุขเหมือนที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

  • ร.ต.อ.สรรัชฏก์ ศรีปุณยาภิคุปต์