ฝันไกลถ้าไม่เข้าใจก็ไปไม่ถึง 3/09

ฝันไกลถ้าไม่เข้าใจก็ไปไม่ถึง

ระยะนี้ผมมีโอกาสได้ศึกษางานวิทยานิพนธ์อยู่บ่อยๆ บ้างก็มีเพื่อนที่เรียนปริญญาโทมาขอให้ช่วยอ่านงานที่เขาจะส่งอาจารย์ หรือบางทีก็เป็นผมเองที่สนใจในหัวข้อวิจัยนั้นๆจนอดหยิบขึ้นมาอ่านไม่ได้ หากท่านผู้อ่านเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสสัมผัสงานเหล่านี้คงจะเห็นด้วยกับผมว่ามีเรื่องหนึ่งที่คนสนใจศึกษาในเด็กวัยรุ่นกันมาก เรื่องนั้นก็คือ “แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์”  

แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (วิกิพีเดีย,2009) หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้บุคคลพยายามที่จะประกอบพฤติกรรมที่จะประสบสัมฤทธิ์ผลตามมาตรฐานความเป็นเลิศที่ตนตั้งไว้ ในการศึกษาวิจัยมักจะวัดผลเรื่องแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์นี้จากผลการเรียน หรือผลจากการตอบแบบสอบถามทางจิตวิทยา

ผมขอใช้ภาษาง่ายๆ อธิบายแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ว่า “แรงแห่งความใฝ่ฝัน” ดังนั้นวัยรุ่นที่มีแรงใจนี้มากย่อมพยายามและอดทนเพื่อไปสู่เป้าหมาย จึงดูเหมือนว่าเราควรสนับสนุนให้เด็กวัยรุ่นมีสิ่งนี้กันมากๆ แต่นั่นก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว ซึ่งภาพสะท้อนจากสังคมไทยที่ชัดเจนก็คือวัยรุ่นหลายคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่หิวกระหายความสำเร็จ แต่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมมากมาย นั่นเพราะเขาไม่ได้รับการสอนถึงสิ่งที่พึงระวังเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง ซึ่งผมจะขอหยิบยกเอาพระธรรมสุภาษิตบทที่ 22 ที่ได้ให้คำเตือนที่มีค่าและนำไปใช้ได้จริงดังนี้

ประการแรก ที่เราต้องตระหนักก็คือ “เป้าหมายที่ดีที่สุดคืออะไร” เป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนและมีคุณค่ามากพอย่อมสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตให้เต็มไปด้วยพลัง แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าอะไรคือเป้าหมายที่ดีที่สุด พระธรรมสุภาษิต 22:1 พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งควรเลือกยิ่งกว่าความมั่งคั่งมากมาย และซึ่งเป็นที่โปรด-ปราน ก็ดีกว่ามีเงินหรือทอง” การกำหนดเป้าหมายที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะนั่นหมายถึงการกำหนดทิศทางทั้งหมดในชีวิตของเราด้วย คงเป็นเรื่องไม่สนุกแน่เมื่อนักปีนเขาสามารถปีนมาถึงยอดเขาได้ แต่กลับมารู้ทีหลังว่าพวกเขาปีนเขาผิดลูก
ผมเคยพูดเล่นกับเพื่อนๆ ว่า “เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างในโลกหรอก แต่ก็ซื้อได้หลายอย่างนะครับ” นั่นสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องทรัพย์สินเงินทองมีความสำคัญกับพวกเรามากขึ้นทุกวัน จนมันเริ่มกลบรัศมีสิ่งที่เราควรจะสนใจกันจริงๆ ผมมีโอกาสได้ฟังคำเทศนาของน้องคนหนี่งซึ่งเตือนใจผมมาก เขาพูดถึงพระธรรมวิวรณ์ซึ่งบรรยายลักษณะของสวรรค์ เช่น ถนนเป็นทองคำ และยังมีเพชรนิลจินดามากมาย เขาถามเราว่าถ้าเราเก็บเศษอิฐเศษปูนที่ทำถนนมาไว้ที่บ้านมากๆ มันน่าตลกหรือไม่ ดังนั้นเราจะเก็บทรัพย์สมบัติในโลกนี้ไปมากเกินพอเพื่ออะไร เพราะอีกหน่อยมันก็คือเศษถนนของแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งมีมากจนไม่ได้ดูมีค่าอะไรเลย ผมเห็นด้วยกับคำเตือนใจนี้ และอยากแบ่งปันว่าอีกว่าเรื่องที่เด็กวัยรุ่นจะให้ความสำคัญกับอะไรในวันหน้า ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตของผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างเขาในวันนี้ให้ความสำคัญกับอะไร สิ่งนั้นจะถูกซึมซับในชีวิตและกลายเป็นเป้าหมายในอนาคตของวัยรุ่นคนนั้น

ประการที่สอง “วิธีที่ดีที่สุดคืออะไร” ถ้าทุกคนมีแต่เป้าหมายเราก็อาจจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราไปถึงความสำเร็จ โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของคนรอบข้าง และไม่ใส่ใจมโนธรรมเบื้องลึกในจิตใจของเรา พระธรรมสุภาษิต 22:5 ได้กล่าวว่า “หนามและบ่วงอยู่ในทางของคนตลบตะแลง บุคคลที่ระแวดระวังตนเองจะอยู่ไกลเสียจากสิ่งเหล่านี้  เพื่อนๆ ของผมชอบไปภูกระดึงกันมาก แต่พอได้ยินว่าจะมีการสร้างรถรางขึ้นไปก็เกิดความรู้สึกต่อต้าน นั่นเพราะพวกเขาเห็นว่าอรรถรสของการเดินทางนั้นมีความสำคัญพอๆ กับการไปถึงเป้าหมาย แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องของรสนิยมในวิธีการไปถึงจุดหมายเท่านั้น แต่สำหรับพระธรรมข้อนี้ได้ชี้ให้เราเห็นว่า วิธีการที่ผิดไม่สามารถนำไปสู่เป้าหมายที่ถูกได้ ปลายทางของความชั่วร้ายก็คือความชั่วร้ายนั่นเอง มีน้องๆ หลายคนเคยถามผมว่า “พี่วิท แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าวิธีการเราผิดหรือไม่” สำหรับตัวผมแล้วทุกครั้งที่จะทำผิด เหมือนผมจะได้ยินเสียงเตือนในความคิดทุกครั้ง และผมเชื่อว่าทุกคนก็คงเคยได้ยิน เพราะทุกครั้งที่เราสงสัยว่ามันถูกหรือผิด นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนว่ามันมีโอกาสจะผิด เราจึงควรทบทวนหรือปรึกษาคนที่ไว้ใจได้อีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจ เหมือนกับที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “ยาพิษมักเคลือบด้วยน้ำผึ้ง” หนามและบ่วงจะอยู่ไกลจากชีวิตของเรา เมื่อเรารู้จักระมัดระวังตนเอง

ประการสุดท้าย “การฝึกฝนตนเองที่ดีที่สุดคืออะไร” มีคนจำนวนมากที่เคยมีเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมและมีวิธีการไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้อง แต่ก่อนจะสำเร็จพวกเขากลับถูกดึงความสนใจให้หันเหออกจากเป้าหมาย หรือละเลยวิธีการที่ดีงาม ดังคำเตือนของพระธรรมสุภาษิต 22:14 ที่ว่า “ปากของหญิงชั่วเป็นหลุมลึก บุคคลซึ่งพระเจ้าทรงพระพิโรธจะตกลงในที่นั้น” แต่อะไรที่จะทำให้เราเข้าใจและรอดพ้นจากคำชักชวนของความชั่วร้ายได้ พระธรรมสุภาษิต 22:6,15 กล่าวว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น” และ “ความโง่มักอยู่ในใจของเด็ก แต่ไม้เรียวที่ตีสอนก็ขับมันให้ห่างไป” พระธรรมตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงคำโบราณที่ว่า “หวานเป็นลมขมเป็นยา” การตีสอนของผู้ใหญ่แม้จะดูโหดร้าย แต่ก็ช่วยฝึกฝนเราให้เข้มแข็ง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริงเราจึงสามารถผ่านปัญหานั้นไปได้ด้วยความมีชัย

คำว่า “เด็ก” ในพระธรรมตอนนี้นอกจากจะหมายความว่าอายุน้อยแล้ว ยังอาจหมายถึงผู้ที่ยังขาดประสบการณ์  บทเรียนของไม้เรียวจากพระธรรมตอนนี้จึงหมายถึงการพึ่งพาผู้ใหญ่ที่นอกจากมีประสบการณ์แล้ว ยังต้องเข้าใจถึงการเดินทางไปสู่เป้าหมายด้วยวิธีการที่ถูกต้องอีกด้วย เหมือนกับคำที่ผมเคยได้ยินว่า “เราไม่จำเป็นต้องลองบุหรี่ เราก็รู้ว่าบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดี” มีหลายสิ่งหลายอย่างถ้าเราต้องทดลองด้วยตัวเอง เราคงต้องทุกข์ระทมและขมขื่นอย่างมาก แต่มีผู้ใหญ่หลายคนที่ท่านเคยเห็น หรือแม้เคยมีประสบการณ์กับเรื่องนั้นๆ มาแล้ว ท่านสามารถสอนเราได้ แต่การสอนหลายครั้งก็อาจต้องแลกมาด้วยน้ำตาและหยาดเหงื่อ
ผู้อ่านที่รักทุกท่านครับ อนาคตเป็นของเด็กๆ ดังนั้นทุกครั้งที่ผมเห็นแววตาแห่งความมุ่งมั่นของเด็กๆ ผมก็เห็นอนาคตอันสดใสในวันข้างหน้าด้วย เด็กๆ จำเป็นต้องมีความฝันที่ถูกต้องเพื่อไปสู่ความสำเร็จ เหมือนที่คนบอกว่า “ฝันให้ไกลถึงขอบจักรวาล แม้ไปไม่ถึงก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว” หน้าที่ของผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็คือเป็นสปริงบอร์ด ให้เด็กทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราสามารถไปได้ไกล และไปได้ไกลกว่าพวกเรา ขอพระเจ้าอวยพรครับ

  • อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ Freepik.com