พระเจ้าประทานลูกอัจฉริยะให้กับฉัน 2/10

พระเจ้าประทานลูกอัจฉริยะให้กับฉัน

ดิฉันชื่อ นภาภร (ก้องกีรติ) โมลิศวงษ์ (ตุ้ม)ค่ะ จบการศึกษาปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รู้จัก เชื่อวางใจในพระเจ้าตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตจุฬาฯ จนปัจจุบัน สมรสแล้วกับ คุณคมสัน โมลิศวงษ์ และมีลูกชาย 1 คน คือ ด.ช.ประชาชาติ โมลิศวงษ์ หรือน้องเนชั่นอายุ 3 ขวบ ปัจจุบันเป็นสมาชิกและร่วมรับใช้พระเจ้า อยู่ที่คริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ (โดยอาจารย์พิษณุนาท ศรีทะวงศ์) รวมเป็นเวลาเกือบ 20 ปี แล้วค่ะ และครอบครัวของเราปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับงานด้านสื่อสารมวลชน

การทรงเรียกของพระเจ้า
ตอนเรียนอยู่ปี 3 เทอม 2 ที่จุฬาฯ ดิฉันได้ไปทำธุระที่ต่างจังหวัดและนอนพักอยู่ในห้องเล็กๆ คนเดียว และในคืนนั้นเองดิฉันก็เกิดอาการป่วยหนักมากจากอาหารเป็นพิษ ทั้งอาเจียนและท้องเสีย ถ่ายไป อาเจียนไป เป็นเวลานานถึง 5-6 ชม.มีแต่อาเจียนเต็มพื้นห้อง เวลานั้นรู้สึกเหมือนกำลังจะตายแล้วเพราะแน่นหน้าอกมาก หายใจไม่ออก มองอะไรไม่เห็น เจ็บปวดทรมานมาก นอนแผ่อยู่กับพื้นห้องน้ำ ไม่สามารถลุกขึ้นได้ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะโทรศัพท์ หรือเรียกให้ใครมาช่วยเหมือนคนกำลังจะหมดลมหายใจ ตกใจกลัว คิดว่าเราคงต้องตายแน่ๆ แล้ว อยู่ในห้องนี้ไม่มีใครช่วยเราได้เลย พยายามนึกถึงทุกความเชื่อ ทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีสางเทวดาต่างๆ ที่อยู่ในโลกนี้ ที่เรารู้จัก ทั้งขอ ทั้งสวดอ้อนวอน ขอให้ช่วยชีวิตเราให้รอดจากความตายด้วย แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และไม่ได้รับการแตะต้องสัมผัสใดๆ เลย เวลานั้นคิดว่าหมดหนทางใดๆ แล้วที่เราจะนึกหรือทำได้ และแล้วในวินาทีนั้นเอง ดิฉันก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมา จนรู้สึกเหมือนสัมผัสได้ทางหูว่า… “ลองอธิษฐานกับพระเยซูสิ เราได้ยินเจ้า เราเป็นผู้ที่ช่วยเจ้าได้ เราจะช่วยเจ้า” ทีแรกดิฉันคิดว่า นี่เราคิดมากหูฝาดไปเองหรือเปล่า แต่เสียงนั้นก็ยังดังขึ้นให้ได้ยินอีกหลายครั้ง แต่แม้ดิฉันอยู่ในอาการทรมานขนาดนั้น จิตใจดิฉันก็ยังรู้สึกต่อต้าน ดื้อดึงและไม่อยากจะเชื่อว่าพระเยซูจะมาช่วยชีวิตคนคนหนึ่งที่ไม่ศรัทธและ ต่อต้านพระองค์มาตลอดได้อย่างไร แต่ในความทรมานในเวลานั้นทำให้ในที่สุดดิฉันก็ได้ตัดสินใจอธิษฐานในจิตใจ ขอให้พระเยซูมาช่วยชีวิตดิฉันด้วยแต่แล้วการอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับดิฉัน ภายในเวลาไม่ถึงห้านาทีอาการทรมานทั้งหมดทั้งปวดถ่ายท้อง อาเจียนตลอดเวลา ทุรนทุราย หมดเรี่ยวแรง หายไปทั้งหมดสิ้นร่างกายดิฉันกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ดิฉันสามารถลุกขึ้นยืน อาบน้ำ เดินออกจากห้องน้ำมานอนที่เตียง ขณะนั้นดิฉันคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่มันเป็นเหมือนความฝันไป
ดิฉันเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในคืนวันอาทิตย์และเมื่อถึงวันจันทร์ก็มาเรียนที่มหาวิทยาลัยฯ เป็นปกติ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นดิฉันวนเวียนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเพียง เรื่องความบังเอิญหรือเป็นประสบการณ์การอัศจรรย์ที่พระเจ้ามาสัมผัสแตะต้อง รักษาเรา พอเลิกเรียนดิฉันมานั่งรอรถเมล์จะกลับบ้านก็ยังคงนั่งคิดกลับไปกลับมาอยู่ ที่ป้ายรถเมล์ ใจนึงก็คิดว่าไม่อยากมีภาระผูกพันไม่อยากเปลี่ยนวิถีชีวิตเลยแต่อีกใจก็คิด ว่าแล้วถ้าพระเยซูเป็นผู้มาช่วยเหลือเราจริงๆ แต่เราไม่ได้ตอบสนองสิ่งใด ก็เท่ากับว่าเราเป็นคนไม่รักษาคำพูดและเป็นคนเนรคุณ เมื่อตัดสินใจไม่ได้จึงได้หลับตาคิดอธิษฐานในใจอย่างเจาะจง เพื่อความมั่นใจอีกครั้งว่า… “ถ้าพระเจ้าพระเยซูมีจริงหนูไม่ได้คิดไปเองก็ขอให้พระองค์มายืนยันให้หนู เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้งนะคะว่าพระองค์ทรงรักหนูมาช่วยเหลือหนูและอยากต้อน รับหนูให้เข้ามารู้จักพระองค์จริงๆ และขอทรงนำทางด้วยว่าจะให้หนูทำอย่างไรต่อไป” และก็เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากค่ะ พออธิษฐานเสร็จไม่ทันไร ลืมตาขึ้นก็มีเพื่อนคนนึงในคณะ(ไม่ได้เป็นคริสเตียน) เดินออกมาจากประตูรั้วจุฬาฯ ตรงเข้ามาหาดิฉันที่ป้ายรถเมล์ มาถึงก็มาเล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้นว่า เขาได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับชมรมคริสเตียนมาและได้รู้จักเพื่อนคริสเตียนที่ชมรมหลายคน เขาประทับใจมากเพื่อนๆ คริสเตียนน่ารักมากนิสัยดีทุกคนเลยและสุดท้าย เขาได้กล่าวเชิญชวนดิฉันว่า… “ถ้าตุ้มว่างๆ ก็ลองไปที่ชมรมดูสิจะได้มีเพื่อนใหม่ๆ ที่ดีๆ เพื่อนๆ น่ารักมากจริงๆ นะเธอ” และยังได้บอกกำชับถึงห้องของชมรมคริสเตียนอีกว่าอยู่ที่ไหนคุยกันเสร็จแล้ว เขาก็ขึ้นรถเมล์ไปเลยปล่อยเรานั่งงงตัวสั่นอยู่คนเดียว ดิฉันจึงตัดสินใจที่จะไปชมรมคริสเตียนในตอนนั้นเลย แต่แล้วก็เกิดความไม่มั่นใจที่จะต้องเข้าไปในชมรมคริสเตียนคนเดียวโดยที่ไม่ รู้จักใครเลยจึงนึกถึงเพื่อนคนที่เป็นคริสเตียนอยู่ที่คณะเป็นคนเดียวที่คอย ประกาศเรื่องพระเจ้ากับเรามาตลอด แม้จะตระหนักถึงพระเจ้ามาตอบคำอธิษฐานในเวลานั้น แต่อีกใจก็ยังหยิ่งดื้อดึงไม่ยอมง่ายๆ จึงยังคิดอธิษฐานในจิตใจอีกครั้งกับพระเจ้าว่า “ขอโทษที่หนูจะรบกวนพระองค์อีกครั้ง ถ้าพระองค์มีจริง ขอช่วยตอบให้หนูมั่นใจอีกที เป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ… ถ้าพระเจ้าอยากให้หนูไปที่ชมรมคริสเตียน ไปรู้จักพระเจ้าจริงๆ ก็ขอให้ระหว่างทางจากประตูรั้วจุฬาฯ ไปถึงชมรมขอให้หนูได้เจอเพื่อนคนนี้ ที่ชื่อ แมน ให้เขาพาหนูเข้าไปในชมรมนะคะ” อธิษฐานแบบระบุชื่อเจาะจงเลยค่ะ ปรากฏว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงชมรมคริสเตียนอยู่แล้วก็ยังไม่เจอแมนเลย ด้วยความบาปอยากปฏิเสธอยู่แล้ว ทันใดนั้นมีเสียงเรียกมาทางข้างหลังว่า “อ้าว! ตุ้มมาทำอะไร” ดิฉันตกใจมาก เพราะรู้ว่าเสียงนี้คือใครหันไปก็เป็นเพื่อนที่ชื่อ แมน จริงๆ ดิฉันเข่าอ่อนยอมยกธงขาว พระเจ้ามีจริงๆ ความดื้อดึงของดิฉันขอยอมแพ้ในความรัก ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเลยในเวลานั้น จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 9 มกราคม 1995 วันที่ดิฉันได้บังเกิดใหม่อธิษฐานต้อนรับพระเจ้า ดิฉันได้เข้าไปในชมรมคริสเตียน วันนั้นมีการประชุมกลุ่มพอดี ทำให้มีคนอยู่เยอะ ทุกๆ คนได้ยินเรื่องราวของดิฉันก็ดีใจ พี่น้อง เพื่อนๆ คริสเตียนหลายคนก็มาช่วยกันเล่าพระกิตติคุณความรอดของพระเจ้าให้ฟังอีกครั้ง แล้วก็ช่วยอธิษฐานนำเรารับเชื่อ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ดิฉันก็ได้ไปร่วมประชุมนมัสการ สามัคคีธรรมผูกพันตัวกับพี่น้องคริสเตียน และร่วมรับใช้พระเจ้าด้านต่างๆ ที่คริสตจักรความหวัง รวมทั้งงานมูลนิธิ องค์กรต่างๆ เพื่อสังคมที่คริสตจักรของเราได้เข้าไปมีส่วนร่วม

พบรักกับชายหนุ่มผู้แสนดี
เมื่อดิฉันเรียนจบจากจุฬาฯ ก่อนที่จะเริ่มต้นทำงานอาชีพ ดิฉันก็คิดว่าอยากจะเรียนพระคัมภีร์อย่างเต็มหลักสูตรก่อนเพื่อเป็นการวางรากฐานให้กับชีวิตที่จะดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง ดิฉันจึงได้สมัครเข้าเรียนในสถาบันสอนพระคัมภีร์ของคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ เรียนแบบเต็มเวลาวันจันทร์-ศุกร์ รวมเวลาประมาณปีครึ่ง ที่ชั้นเรียนพระคัมภีร์นี้เองที่พระเจ้าทรงนำให้ดิฉันได้พบกับ คุณคมสัน(สามี) ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้เจอกันมาก่อน เนื่องจากที่คริสตจักรความหวังมีสมาชิกเป็นจำนวนมาก และมีสถานที่เป็นคริสตจักรนมัสการหลายแห่ง ซึ่งสมาชิกแต่ละคนก็จะไปเข้านมัสการที่สถานนมัสการใกล้บ้าน เรา 2 คนก็อยู่กันคนละที่มาโดยตลอด เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนก็คงมีเสป็คส่วนตัวเรื่องคุณสมบัติของคู่ครองไว้ไม่มากก็น้อย ตัวดิฉันเองคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ดิฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ สิ่งที่จำได้แม่นยำเกี่ยวกับคุณพ่อคือท่านเป็นคนบุคลิกดี รูปร่างสูงใหญ่ ดูอบอุ่นพึ่งพา ไว้วางใจได้เสมอ ดังนั้นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่ดิฉันอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ ก็คือดิฉันชอบคนที่ตัวใหญ่ บุคลิกดี ดูมั่นคง เข้มแข็ง แต่พอเจอคุณคมสันซึ่งเป็นชายไทยร่างเล็กกะทัดรัดก็เรียกว่าไม่เข้าตากรรมการเลยในตอนแรก แต่แล้วพระเจ้าก็ทรงมีแผนการและน้ำพระทัยอันดีเลิศสำหรับดิฉันพระองค์ทรงรู้จักดิฉันดี เสียยิ่งกว่าที่ดิฉันรู้จักตัวเองเสียอีก พระเจ้าทรงนำให้ดิฉันได้เข้าใจถึงความดี ความงดงามภายในจิตใจว่ามีค่ามีความสำคัญกว่าคุณสมบัติภายนอกมากนัก เขามีจิตวิญญาณที่ดี รักพระเจ้า ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ดูแลงานต่างๆ ในคริสตจักรอย่างสัตย์ซื่อตลอดระยะเวลาที่เขาได้รู้จักพระเจ้า ตั้งแต่เขาเป็นเด็กมัธยมต้นจนถึงปัจจุบันเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตอนที่คุณคมสันเป็นหัวหน้าห้องเขาเป็นเหมือนผู้รับใช้ของพี่น้องทุกคน ช่วยเหลือทุกๆ คน ทุกๆ เรื่อง เท่าที่เขาจะทำได้ ในห้องเรียนมีกันประมาณ 200 คน เขาก็จะคอยช่วยเหลือดูแลด้วยความสุภาพ จริงใจ จนเพื่อนๆ ทุกคนในห้อง ก็เกิดความประทับใจกันถ้วนหน้า ตอนเรียนจบหลักสูตร มีการ vote นักเรียนพระคัมภีร์ดีเด่นและจะมีการมอบรางวัล โดยให้ผู้เรียนทุกคนในห้องกับอาจารย์ผู้สอน และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดลงคะแนนให้ คุณคมสันก็ได้รับคะแนน vote เต็ม 100 % อีกเช่นเคย แต่ทั้งนี้ก็มีเสียงทักท้วงจากคนรอบตัวดิฉันกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากเขามองว่าคุณคมสันมีฐานะด้อยกว่าครอบครัวดิฉันมาก คงไม่สามารถดูแลดิฉันได้ รวมทั้งการศึกษาก็เรียนกศน. และเรียนมาทางสายอาชีพ ซึ่งดูแตกต่างจากดิฉัน ซึ่งจบรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่พระเจ้าก็ได้ให้ความมั่นใจกับดิฉันและยืนยันภายในจิตใจของดิฉันหลายต่อ หลายครั้งผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ว่าคุณคมสันเป็นคู่น้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับชีวิตของดิฉันและพระเจ้าก็ทรงนำพาเรา 2 คน ผ่านอุปสรรคปัญหาการไม่ยอมรับต่างๆ มาได้ในที่สุด

สุดท้ายดิฉันก็ได้ตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขา (โดยที่คุณแม่ของดิฉันก็มีเมตตาและความเข้าใจที่จะไม่เรียกสินสอดทองหมั้น เลย) หลังจากที่ได้คบหากันเป็นเวลา 3 ปี งานแต่งงานของเรามีคนมาร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างมากมายจริงๆ หลายๆ คนได้พูดกันว่า คู่นี้หากไม่ใช่การทรงนำของพระเจ้าและไม่มีพระเจ้าสถิตย์อยู่ด้วยก็คงไม่มี ทางที่จะมาลงเอยร่วมผูกพันชีวิตกันได้จนตอนนี้คุณคมสันก็เป็นสามีที่ดีและ เป็นคุณพ่อที่ดีมากๆ นอกจากรับผิดชอบทำงานหาเลี้ยงดูแลครอบครัว เขาก็ยังช่วยเหลือแบ่งเบาภาระงานบ้านต่างๆ เสมอ ตั้งแต่ที่ลูกเกิดมาเขาก็ช่วยดูแลลูกอย่างดีทำได้ทำเป็นทุกอย่างด้วยความ สนุกสนานเต็มใจ ความรัก การดูแลเอาใจใส่ของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลงเลย ตั้งแต่แต่งงานกันมาคุณคมสันก็จะบอกรักดิฉันทุกวันและให้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ดูแลลูก แสดงความรักกับลูกอย่างเต็มที่ ในทุกๆ วัน เขาจะเป็นคนที่โรแมนติกและเสมอต้นเสมอปลาย ดูแลเอาใจใส่ห่วงใยความรู้สึกเราตลอดเวลา ทำให้ดิฉันรู้สึกอบอุ่นใจ ไม่เคยสงสัยในความรักที่เขามีให้ ไม่เคยมีวี่แวว และไม่เคยต้องหวาดระแวงในเรื่องของการนอกใจเลยตรงกันข้าม เรากลับสัมผัสได้ว่าเขามีความรักมอบให้กับเราและลูกมากขึ้นทุกวันๆ 

เขาและเธอพร้อมที่จะมีลูก
เราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาถึง 4 ปี โดยตั้งใจที่จะไม่มีบุตร เพราะเรา 2 คนอยากที่จะเรียนรู้จักกันและยังสนุกสนานกับการรับใช้พระเจ้า การร่วมทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสังคมร่วมกัน บางครั้งต้องเดินทางไปที่ต่างๆ อยู่ตลอดเวลาทำให้เรารู้สึกเป็นอิสระคล่องตัวมากกว่าที่จะอยู่กันแค่ 2 คน จนถึงวันหนึ่งเราก็คุยกันอย่างจริงจังว่า เราจะมีลูกดีหรือไม่ เพราะเราก็อายุมากขึ้นทุกวันๆ แต่เราก็ยังห่วงในเรื่องที่จะได้รับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่ ไปไหนมาไหนได้คล่องตัวและเราก็ไม่แน่ใจว่า เรามีความพร้อมที่จะเป็นพ่อแม่คนหรือยัง แต่ในเวลานั้น เราทั้ง 2 คนก็ได้รับการสัมผัสในจิตใจจากพระเจ้าและพระองค์ก็ได้ให้ความเข้าใจว่าการมี ลูกเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า เราสามารถที่จะรับใช้พระเจ้าได้มากขึ้น จะทำให้เรามีความรักความเข้าใจในการอภิบาลดูแลคน ช่วยเหลือคนได้ทุกกลุ่มคนได้ลึกซึ้งและสมบูรณ์มากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อครอบครัว เราได้รับการทรงนำเช่นนี้ ตั้งแต่ตอนที่ดิฉันตั้งครรภ์ ดิฉันและสามี จึงได้คิดตั้งชื่อลูกในครรภ์ว่า เนชั่น และชื่อจริงว่า ประชาชาติ(เป็นความหมายเดียวกันไปเลย) เพื่อที่จะเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนในชีวิตของเขาเสมอให้เขาได้มีนิมิตความ ตั้งใจที่จะอยู่เพื่อคนอื่น ที่จะทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติสังคมโลกนี้ ไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เพื่อตัวเองเท่านั้นและเราก็ได้ร่วมใจกันอธิษฐานกับพระเจ้า เรื่องการมีลูก ตัวดิฉันเองตั้งแต่แต่งงานก็คุมกำเนิดไว้ถึง 4 ปี จากที่ฟังใครๆ ว่ามาและตามหลักการแพทย์ ก็บอกว่า คนที่คุมกำเนิดมานานๆ พอตัดสินใจที่จะมีลูก ก็ยากที่จะมีได้ง่ายๆ ต้องใช้เวลานานมาก อย่างน้อยก็เป็นปีกว่าจะตั้งครรภ์ได้ แต่เราทั้งคู่ก็อายุมากแล้ว (ตอนนั้นดิฉันอายุประมาณ 30 ปี) ดิฉันจึงได้ตัดสินใจอธิษฐานอย่างเจาะจงกับพระเจ้าว่า ถ้าเป็นการทรงนำจากพระองค์ เป็นแผนการให้เราได้มีลูกจริงๆ ก็ขอให้เห็นการอัศจรรย์ที่มายืนยันจากพระเจ้าอย่างชัดเจน ขอให้ดิฉันตั้งครรภ์ทันทีภายในเดือนนี้และพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานของดิฉันจริงๆ ภาย ในเดือนเดียว ดิฉันก็เริ่มตั้งครรภ์ และขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ดิฉันรู้ได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนแรกที่ตั้งครรภ์เพราะเป็นช่วงเวลา ที่ดิฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพอดี ตอนที่คุณหมอบอกว่า ดิฉันตั้งครรภ์ดิฉันตื่นเต้นตกใจมากไม่คิดเลยว่าพระเจ้าจะฟังและตอบคำ อธิษฐานของดิฉันจริงๆ แต่แล้วคุณหมอก็บอกข่าวร้ายตามมาว่า แต่เท่าที่อัลตร้าซาวน์ดูสภาพตัวอ่อนไม่ดีไม่แข็งแรงคงไม่สามารถเติบโตขึ้น เป็นการตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์ได้ ซึ่งคุณหมอก็ได้นัดทันทีให้มาขูดมดลูกในอาทิตย์หน้า ดิฉันร้องไห้เสียใจรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากไม่อยากให้ต้องเกิดเหตุการณ์แบบ นี้ขึ้นเลย

เมื่อกลับมาถึงบ้านเราทั้ง 2 คน จึงตั้งใจอธิษฐานอย่างเจาะจงอีกครั้ง เรา 2 คน ตั้งใจอธิษฐานทุกวันตลอดสัปดาห์แห่งการรอคอยที่ยาวนานและทรมานจิตใจที่สุด ก่อนที่จะถึงวันที่คุณหมอนัดไปขูดมดลูก แต่ตลอดระหว่างสัปดาห์นั้นดิฉันก็ปวดท้องมากคือเหมือนกับจะแท้งลูกอยู่ตลอด เวลาปวดถึงกับร้องไห้ด้วยความทรมานแต่ดิฉันก็ยังมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้า จะตอบคำอธิษฐานของดิฉันอย่างแน่นอนและพอใกล้ๆ ถึงวันที่คุณหมอนัด อาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ อาการปวดท้องทรมานต่างๆ ก็เริ่มลดน้อยลงและแล้ววันที่คุณหมอนัดก็มาถึง เมื่อไปถึงโรงพยาบาลคุณหมอก็ตรวจอัลตร้าซาวน์ก่อนที่จะทำการขูดมดลูกแต่ เมื่อคุณหมอดูผลอัลตร้าซาวน์กลับพบว่าตัวอ่อนในท้องกลับมีสภาพที่ดีสมบูรณ์ แข็งแรงดีแล้วและกำลังจะเจริญเติบโต ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ที่จะมีเฉพาะในสตรีที่ตั้งครรภ์ ก็เพิ่มปริมาณสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์แล้วอย่างสมบูรณ์ พูดเป็นภาษาชาวบ้านทั่วไปก็คือลูกติดดีแล้ว ไม่หลุด ไม่แท้งแล้ว ไม่ต้องขูดมดลูกแล้วเริ่มต้นฝากครรภ์ได้แล้ว ในวันนั้น ดิฉันน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจเป็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งที่พระ เจ้าทรงรับฟังคำอธิษฐานของเราจริงๆ พระองค์ทรงกระทำได้ทุกสิ่งในสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้แล้วจากที่คิดว่าจะ ต้องเสียชีวิตลูกไปแล้วแต่พระองค์ทรงรักษามอบชีวิตของเขากลับคืนมาได้ในขณะ ที่คุณหมอบอกว่าต้องขูดมดลูกออกอย่างแน่นอนเรา 2 คนจึงรู้สึกสัมผัสได้ในวินาทีนั้นเลยว่าเขาจะเกิดมาเป็นคนที่พิเศษจริงๆ พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของเราอย่างเจาะจงทุกประการดังที่พระองค์ได้ทรงนำใน จิตใจของดิฉัน

เป็นของขวัญจากพระเจ้า และเป็นสิทธิพิเศษสำหรับครอบครัวเรา ที่ให้ลูกของเราเกิดมาเป็นเด็กที่ใครๆ เรียกว่า “อัจฉริยะ”
ดิฉันจึงได้กลับมาอธิษฐานกับพระเจ้าขอให้ลูกของดิฉันได้เกิดมาเป็นเด็ก ที่มีความสามารถพิเศษโดดเด่นตั้งแต่ยังเล็ก เหตุผลอีกประการหนึ่งเพราะดิฉันก็มีความเชื่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้วว่าหากเรา ตั้งใจที่จะสอนดูแล สร้างลูกด้วยความรักเอาใจใส่อย่างแท้จริงตั้งแต่ที่อยู่ในครรภ์จนถึงวัย 3 ขวบปีแรกของชีวิตนั้นจะมีผลอย่างมากต่อสติปัญญาความเฉลียวฉลาดของเด็ก ตามผลการวิจัยที่มีมาแล้วทั่วโลก แต่อาจจะยังไม่ค่อยมีใครเชื่อสนใจหรือลงมือปฏิบัติ ทำให้เห็นผลเกิดขึ้นอย่างจริงจังบวกกับความเชื่อในความรักความยิ่งใหญ่ของ พระเจ้าและรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของชีวิตมนุษย์ทุกคนเป็นเจ้าของลมหายใจ เป็นเจ้าของสติปัญญาของเราทำให้ดิฉันยิ่งมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าเมื่อตัวเรา บวกกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะสามารถสร้างเด็กคนนี้ให้เกิดมาอย่างโดดเด่นและมี คุณค่าต่อโลกนี้ได้ และมีคำอธิษฐานหนึ่งที่ดิฉันได้อธิษฐานอย่างเจาะจงว่า… “ขอให้ลูกคนนี้เกิดมาเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าสูงสุด ตอนที่เขาอายุ 2 ขวบ ขอให้เขาสามารถเขียน อ่าน มีความเข้าใจได้ทั้ง 2 ภาษา ทั้งไทยและอังกฤษอย่างอัศจรรย์” เมื่อเนชั่นคลอดออกมาตั้งแต่เล็กเขาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการรวดเร็วกว่าเด็กคน อื่นอย่างเห็นได้ชัดทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา ในทางร่างกายตั้งแต่ 3-4 เดือน เขาก็สามารถพัฒนาใช้กล้ามเนื้อมือ แขน ขา ได้อย่างดี และรวดเร็ว สามารถชี้หยิบจับของเล็กๆ ได้ สามารถถือขวดนมเองได้มีความตื่นตัวที่จะขยับร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทั้งสายตาของเขาก็จะไม่อยู่นิ่งจะมีการตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวอยู่เสมอส่ง เสียงอ้อแอ้เหมือนพยายามจะพูดสื่อสารอยู่ตลอดเวลา มีความเข้าใจและจดจำ คำศัพท์ สิ่งของต่างๆ ได้มากและแล้วพระเจ้าก็ได้ทรงนำในจิตใจให้ดิฉันลาออกจากงานมาเป็นคุณแม่เต็ม เวลาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านถึงแม้ที่ทำงานจะพยายามโทรมาตามเรียกให้กลับไปทำ งาน อยู่หลายครั้ง ดิฉันใช้เวลาอยู่กับเขาทำสิ่งต่างๆ กับเขาตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน ดิฉันกับสามีเลี้ยงลูกด้วยตัวเองทำเองทุกอย่างไม่มีพี่เลี้ยงเลยพูดคุยกับ ลูกไปก็สอนสิ่งต่างๆ ไปด้วยพยายามสอดแทรกสิ่งต่างๆ ให้กับเขาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ให้เขาได้หัวเราะ สนุกสนาน ในด้านสติปัญญาดิฉันสอนความรู้ ความคิดต่างๆ ตั้งแต่ที่เขาเกิดมาเป็นเด็กทารกนอนแบเบาะเลยค่ะทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตัวเลข เรื่องราวต่างๆรอบตัว เล่าให้เขาฟังรวมทั้งคุณธรรม ความดีต่างๆ ที่เราอยากปลูกฝังเขา ดิฉันก็จะสอดแทรกในการพูดคุยกับเขาอยู่เสมอ ผ่านวิธีการต่างๆ ทั้งร้องเพลง เล่านิทาน เล่นตลกๆ กับคุณพ่อ ให้เขาดู เขาก็จะเป็นเด็กที่อารมณ์ดี หัวเราะ ยิ้มแย้มอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เราสอนสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ ให้กับเขาเขาก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ตื่นเต้น ดีใจ การตอบสนองของเขาหลายๆ อย่าง ที่ทำให้เราสัมผัสได้ว่า เขาน่าจะเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เราสอน จนเมื่อเขาพูดได้เป็นคำที่มีความหมายชัดเจนครั้งแรกตอนอายุประมาณ 1 ขวบ 2-3 เดือน หลังจากที่พูดคำว่า ปาป๊า มาม้า แล้ว เขาก็นับเลข 1-10ออกมาให้เราฟัง รวมทั้งชี้ตัวเลขที่อยู่ในหนังสือประกอบตามไป เนชั่นสามารถที่จะเรียนรู้จดจำสะสมคำศัพท์ต่างๆ ตั้งแต่เป็นทารกค่ะ ช่วงที่ลูกอายุ 3-4 เดือน ถ้าเราถามสิ่งของต่างๆ รอบตัวและที่อยู่ในบ้านว่าอะไรคืออะไรอยู่ตรงไหน ขาก็จะเอานิ้วชี้ไปที่สิ่งนั้นได้อย่างถูกต้องทุกครั้ง
เขาสามารถเรียนรู้ เข้าใจ และจดจำสามารถจัดเรียงและแยกแยะตัวอักษร A-Z และ ก-ฮ และตัวเลข 1-20 ได้ทั้งหมดตั้งแต่อายุประมาณ 1 ขวบ 4 เดือน และเมื่อ 1 ขวบครึ่ง ก็เริ่มพูดคุยรู้เรื่องแบบผู้ใหญ่โต้ตอบกับผู้อื่นเป็นประโยคยาวๆ ได้ สามารถตั้งคำถามตอบคำถามกับผู้อื่นในความสามารถทางคณิตศาสตร์ เขาเริ่มที่คิดคำนวณ บวก ลบ ได้ ตั้งแต่อายุ 1 ขวบครึ่งและต่อมาก็สามารถคิดแบบตัวเลขหลายหลักได้และคูณ หารได้ ในเวลาต่อมาตอนเนชั่นอายุประมาณ 2 ขวบ 3-4 เดือน เนชั่นก็ไปเห็นสูตรคูณ 12 แม่ในหนังสือเข้า เขาเกิดความสนใจอย่างมากและมาสอบถามดิฉัน เมื่อดิฉันได้สอนอธิบายว่าคืออะไรมีประโยชน์อย่างไรเขาก็รีบนำสูตรคูณไปนั่ง ท่องด้วยตนเอง ผ่านไปแค่ 2-3 วัน เขาก็สามารถท่องสูตรคูณ 12 แม่ได้และเขาก็สามารถคิดเลข คูณ หาร ได้เร็วขึ้น จากสูตรคูณและเพิ่มจำนวนหลักตัวเลขมากขึ้นๆ และสามารถหารแบบเหลือเศษได้ ในด้านร่างกายเนชั่นก็มีพัฒนาการที่เร็วกว่าเด็กปกติทั่วไป ทั้งการใช้กล้ามเนื้อมือ แขน ขา ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เขาก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเองตลอด ตอน 1 ขวบ 8 เดือน เนชั่นก็สามารถจับดินสอ ปากกา เขียนตัวเลข เดินได้ตั้งแต่ตอนอายุ 9-10 เดือน พอครบ 1 ขวบ ก็สามารถเริ่มวิ่งได้ เขาก็จะเป็นเด็กที่มีสมาธิสูงด้วย ถ้าเขาอยากเรียนรู้ สนใจในสิ่งใด เขาก็สามารถที่จะนั่งอ่านหนังสือหรือทำแบบฝึกหัดได้เป็นเวลานานๆ 2-3 ชั่วโมง ตอนที่เนชั่นอายุครบ 2 ขวบ ตอนนั้นดิฉันพาลูกไปเยี่ยมอาม่า อยู่ดีๆ เนชั่นก็เดินไปหยิบหนังสือนิทานมาเล่มหนึ่งมายืนอ่านให้ทุกคนในบ้านฟัง ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างคล่องแคล่วไม่สะดุดเลยไม่ต้องสะกดเป็นคำๆ ด้วย เวลานั้น ทุกคนในบ้าน ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ ทั้งประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นและสิ่งที่ได้ยินเลย ว่าเด็กอายุ 2 ขวบจะอ่านหนังสือได้แล้ว เราต่างพากันพูดคุยในครอบครัวว่า นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของดิฉันอย่างเจาะจงชัดเจน พระองค์ทรงพระเมตตาต่อครอบครัวเรามากจริงๆ พระพรเรื่องน้องเนชั่นที่เกิดขึ้นนี้เป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของเราอย่าง มากค่ะ ในการที่จะเดินติดตามรับใช้พระเจ้า ถือเป็นสิทธิพิเศษเป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับเราจริงๆ และนับเป็นพันธกิจและภาระหน้าที่หนึ่งที่เราต้องรับผิดชอบในการสอน สร้างสรรค์ ดูแลชีวิตของลูก อย่างเต็มที่เท่าที่เราจะสามารถ

น้องเนชั่นกับบทบาทดารารับเชิญ
เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง น้องเนชั่นก็ได้ไปออกรายการทีวี เป็นรายการที่มีคนดูมากมายค่อนประเทศ นั่นก็คือรายการข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ของช่อง 3 ซึ่งเป็นช่วงการสัมภาษณ์ของคุณวิศาล ดิลกวณิช ในประเด็นที่ว่า ได้มีการค้นพบเด็กอัจฉริยะอายุ 2 ขวบ ที่สามารถอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้และคิดเลข บวก ลบ คูณ หารได้ (จัดว่าน่าจะเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดในโลกคนหนึ่ง ที่สามารถอ่านหนังสือได้)
ซึ่งในรายการวันนั้น ได้มี ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กอัจฉริยะโดยตรงประจำศูนย์ส่งเสริม อัจฉริยภาพของมหาวิทยาลัยมศว.ประสานมิตรได้มาร่วมออกรายการด้วย และ ดร.อุษณีย์ ท่านได้กล่าวยืนยันกับทางรายการว่า น้องเนชั่นเป็นเด็กอัจฉริยะ ที่หากมีการส่งเสริมสนับสนุนน้องเนชั่นต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ถูกต้อง ถูกทาง น้องเนชั่นก็สามารถที่จะเรียนจบปริญญาเอกได้ ภายในอายุ 11 ปีเช่นกัน (เหมือนเด็กอัจฉริยะของโลก ที่มีข่าวดังไปก่อนหน้านี้) หลังจากออกรายการไป
ชาวบ้านร้านตลาด ผู้คนละแวกบ้านรวมถึงบางครั้ง ในช่วงแรกๆ ที่ออกรายการใหม่ๆ เวลาเราพาน้องไปในที่ต่างๆ คนก็จะจำได้ก็จะพากันเข้ามาพูดคุย ทักทาย แสดงความยินดี มาถามไถ่ถึงวิธีการเลี้ยงน้องรวมทั้งพากันมาทดสอบความสามารถของน้องกันมากมาย ซึ่งครอบครัวเราก็ได้ใช้โอกาสนี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวความรักความรอดของพระเจ้าการช่วยเหลืออวยพรของพระองค์การอัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา เพื่อนเก่าหลายๆ คนที่ไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้วก็ยังโทรมาสอบถามพูดคุย หลังจากนั้นก็ยังมีสื่อมวลชนติดต่อมาให้ไปออกรายการทีวีอีกหลายรายการ รวมทั้งสัมภาษณ์ลงนิตยสารต่างๆ อีกหลายเล่มถึงความสามารถพิเศษของน้องและวิธีการสอน การดูแลลูกของครอบครัวเรา นอกจากเทคนิคในการสอนน้องในเรื่องต่างๆ แล้วครอบครัวของเราก็ยังมีโอกาสได้แบ่งปันอุดมการณ์แง่คิดดีๆ รวมทั้งเรื่องราวความรัก หลักการสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ออกไปสู่สังคมอีก

ข้อพระวจนะที่หนุนใจในการดำเนินชีวิต
ในพระธรรมอิสยาห์ 60 ทั้งบทที่บอกว่า “จงลุกขึ้นฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว…” พระคัมภีร์บทนี้ทั้งบท เหมือนเป็นอุดมคติเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของครอบครัวของเราเลยว่า เราจะมีชีวิตอยู่กันไม่ใช่เพียงแค่นี้ เราอยากที่จะลุกขึ้นฉายแสงและเป็นพรกับผู้อื่น ทำสิ่งดีต่างๆ กับคนมากมาย เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าครอบครัวเราอยากจะก้าวออกไปสู่สังคมในวงกว้างได้ รับการยอมรับและมีอิทธิพลที่ดีต่อสังคมในการที่จะประกาศเรื่องราวของพระเจ้า ออกไป ด้วยการมีชีวิตและคำพยานที่มีน้ำหนัก หนักแน่น มั่นคงรองรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ถวายพระเกียรติพระองค์ได้และในส่วนของหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบอยู่งาน ทางด้านสื่อสารมวลชน คุณคมสันและดิฉันก็ทำงานอยู่ในวงการนี้ทั้งคู่ ดิฉันเองเคยคลุกคลีผ่านงานทางด้านนี้มาแล้วหลายด้านทั้งงานเขียนบท เป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ ฯลฯ ส่วนคุณพ่อก็จะถนัดงานด้านดนตรี ด้านเสียง ทางด้านสื่อวิทยุ ทั้งการเป็นนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง ฯลฯ ที่เราทั้ง 2 คนเลือกที่จะทำงานด้านสื่อสารมวลชนมาโดยตลอด นอกจากเพราะความรักความถนัดแล้วก็เป็นเพราะเป็นศุภนิมิตอันแรงกล้าของครอบ ครัวเราที่สักวันหนึ่งเราก็คิดฝันกันว่าอยากจะทำรายการทีวีที่ได้รับความ นิยมในสังคมมีอิทธิพลต่อจิตใจคนดูเพื่อให้ผู้คนได้ยินและรู้จักเรื่องราวของ พระเจ้าผ่านทางรายการ ให้มากที่สุด

ในพระธรรมโรม 8:28-31 ที่บอกว่า “แล้วเราก็จะมีชัยชนะในทุกสิ่ง สิ่งนี้ใครจะว่าอะไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครจะขัดขวางเราได้” ข้อพระคัมภีร์นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ดิฉันมีความเชื่ออยู่เสมอ มีกำลังใจที่จะมุ่งมั่นไปให้ถึงความสำเร็จ ตั้งใจที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่ออาณาจักรพระเจ้าแม้บ่อยครั้งจะมีอุปสรรคปัญหาเข้ามาขัดขวางแต่ดิฉันก็ รู้ว่าในที่สุดเราก็จะต้องชนะเราก็จะต้องสำเร็จหากชีวิตเรามีพระเจ้าและสิ่ง ที่เราทำนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระองค์

ฝากความปรารถนาดีถึงคริสตชน
สำหรับคริสเตียนถ้าคิดที่จะมีลูก ควรจะตั้งต้นด้วยความตั้งใจ ตั้งเป้าหมายให้มีคุณค่าอย่างชัดเจนคือบางคนอาจจะตั้งเป้าแค่ว่าถ้ามีลูกสัก คนขอให้ลูกรอดขึ้นสวรรค์และขอให้เชื่อพระเจ้าก็พอแล้ว แต่ดิฉันคิดว่าตามหลักการคำสอนของพระเจ้าแล้วอยากให้ทุกคนมีความเชื่อที่ เพิ่มขึ้น ก้าวออกไปอีกขั้นหนึ่งว่าไม่ใช่แค่ให้ลูกเราเชื่อพระเจ้าเท่านั้นแต่ต้องให้ เป็นคริสเตียนที่จะมีชีวิตที่ส่งผลดีต่ออาณาจักรของพระเจ้าได้ ให้เขาไปได้ดี ไปได้ไกลรับใช้พระเจ้าให้เกิดผล ซึ่งดิฉันเชื่อมั่นว่า ด้วยความรักความผูกพันของคนเป็นพ่อแม่ย่อมแปรเปลี่ยนเป็นพลังในคำอธิษฐานที่ ยิ่งใหญ่ที่จะส่งผลดีต่อลูกของเราที่จะเกิดมาอย่างแน่นอนเราควรคาดหวังให้ ลูกของเราได้ทำคุณประโยชน์สิ่งดีๆ ให้กับโลก สำคัญที่สุดคือ การปลูกฝังค่านิยม แนวคิดดีๆ ให้กับลูกของเรา เช่นในเรื่องการมีใจอาสา มีจิตสาธารณะ คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อนเรื่องของตัวเอง มีใจรัก ห่วงใย ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม โดยเฉพาะเราซึ่งเป็นคริสเตียนยิ่งจำเป็นต้องปลูกฝังหลักการดีๆ เหล่านี้ตามที่พระเจ้าได้สอนเรามาให้กับลูกมากๆ เพื่อที่เขาจะได้เติบโตขึ้นเป็นคนที่สามารถอยู่เพื่อคนอื่นได้ อยู่เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าได้ ไม่ใช่อยู่เพื่อตัวเองไปวันๆ
ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับน้องเนชั่น พระพรอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมอบให้กับครอบครัวเรา และครอบครัวเราจะขอเชื่อวางใจในพระเจ้าและติดตามรับใช้พระเจ้าทั้งครอบครัวตลอดไปค่ะ

  • คุณนภาภร โมลิศวงษ์