ยิ่งทุ่มเท พระเจ้ายิ่งได้รับเกียรติ 1/14

ยิ่งทุ่มเท พระเจ้ายิ่งได้รับเกียรติ

แพทย์หญิงอุษณีย์พร ศรีมินิพันธ์ เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2503 ปัจจุบันอายุ 54 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยรับราชการเป็นกุมารแพทย์ ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานกุมารเวชกรรม ที่โรงพยาบาลจังหวัดพะเยา เป็นเวลา 18 ปี คู่สมรสคือ นายแพทย์สมบุญ ศรีมินิพันธ์ ซึ่งจากไปอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ด้วยโรคถุงน้ำดี มีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ นายสรรเสริญ และ นางสาวอธิษฐาน ศรีมินิพันธ์ ทั้งสองกำลังศึกษาอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 4 และ ปี 3 ตามลำดับ และเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่ ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอมมิค

เชื่อพระเจ้าได้อย่างไร
ช่วงที่ดิฉันเรียนที่โรงเรียนพระหฤทัยและอยู่หอพัก มีโอกาสไปโบสถ์ จำได้ว่าชอบเสียงเพลงในตอนนั้นมาก แต่ไม่เข้าใจอะไรมากนัก กระทั่งต่อมาได้อ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ รู้สึกสนใจคำว่าพระเจ้า อยากรู้ว่าพระเจ้ามีจริงไหม ในหนังสือนี้มีการยกข้อพระคัมภีร์คำเทศนาบนภูเขาในพระธรรมมัทธิวบทที่ 5 มาเขียน เมื่ออ่านแล้วรู้สึกประทับใจ อยากอ่านต่อ เพราะถูกยกมาแค่บางส่วน แต่ดิฉันไม่มีพระคัมภีร์ ตอนนั้นก็ชอบอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งสากลโลก พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่ไม่รู้พระเจ้าองค์ไหน แต่ทุกครั้งที่อธิษฐานก็ได้รับคำตอบและได้รับการอวยพรจากพระเจ้าโดยที่ไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร จนกระทั่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เป็นตัวแทนของนักศึกษา เข้ารับรางวัลพุทธมามกะดีเด่นจากพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ตอนรับรางวัลรู้สึกละอายใจว่าเราไม่ใช่คนดี แม้ว่าการประพฤติภายนอกจะเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป แต่ภายในใจเราก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคนอื่นๆ อยากสนุก มีโกรธ มีเกลียดชัง เห็นแก่ตัว แต่เราแสดงออกเป็นคนดีมากเหมือนเสแสร้ง ความจริงแล้วอยากมีความสุขจากข้างใน เป็นคนดีจากข้างใน เวลานั้นดิฉันมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคริสเตียน ชีวิตของเขามีความสุขมากเหมือนล้นออกมาจากข้างใน จึงตามเขาไปที่โบสถ์ ก็ได้เห็นว่าทุกคนมีประสบการณ์กับพระคริสต์โดยที่เขาพูดออกมาได้เต็มปากว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ซึ่งตอนนั้นดิฉันรู้สึกงงมากว่าเขาเชื่อได้อย่างไร แต่ก็รู้ว่าเขาไม่ได้โกหก และถ้าเชื่อได้อย่างเขา ชีวิตคงจะมีความสุข แต่เรายังไม่รู้จะเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร จนดิฉันได้ไปเรียนกับครูสอนภาษาจีนที่เป็นคริสเตียน อายุ 60 ปีเศษ ท่านหนีระบอบคอมมิวนิสต์มาอยู่ประเทศไทยเพื่อคอยปรนนิบัติพ่อซึ่งเป็นนายพลของเจียงไคเช็ค ส่วนสามีและลูกอยู่ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จนกระทั่งพ่อเสียชีวิต ท่านอยู่คนเดียวอยากจะกลับไปหาลูกและ สามีแต่ก็กลับไปไม่ได้ เพราะไม่มีใบอนุญาต ในสมัยนั้นประเทศไทยยังไม่เปิด แต่ครูก็ยังมีความสุขมาก มีชีวิตชีวา ในขณะที่ไม่เหลือใครเลย ดิฉันจึงอยากจะรู้จักพระเจ้า จึงไปโบสถ์ได้สักประมาณหนึ่งปี อยากจะรับเชื่อแต่ก็ไม่มีใครช่วยอธิบายให้เข้าใจว่าจะรับเชื่อได้อย่างไร จะเริ่มต้นเป็นคริสเตียนได้อย่างไร พอเพื่อนเห็นว่าดิฉันไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ ก็ถามว่าดิฉันเป็นคริสเตียนแล้วหรือ เพราะเห็นพกพระคัมภีร์เล่มเล็กๆ จึงบอกเพื่อนว่าอยากเป็นคริสเตียน แต่ยังเป็นไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เชื่อเหมือนคนอื่น จนกระทั่งน้องคนหนึ่งที่พักอยู่หอพักห้องตรงกันข้าม ได้นัดพี่เขยมาเพื่อจะอธิบายเรื่องกฎฝ่ายวิญญาณจิต 4 ประการ ให้ดิฉันฟัง เมื่อฟังแล้ว ดิฉันก็เข้าใจทุกข้อที่เขาพูด และเชื่อตามนั้น เขาเชิญชวนให้ดิฉันรับเชื่อ ดิฉันก็รับเชื่อแต่เชื่อเพียง 30% เพราะไม่รู้ว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม ตอนนั้นเรียนจบแพทย์พอดีและต้องไปเป็นแพทย์ฝึกงานที่จังหวัดอุบลราชธานี ดิฉันจึงอธิษฐานว่าเมื่อไปที่นั่นขอพระเจ้าช่วยให้ดิฉันเติบโตขึ้นในทางพระเจ้า ขณะที่อยู่ที่นั่น ดิฉันพักอยู่กับศิษยาภิบาลผู้หญิงท่านหนึ่ง ท่านช่วยดูแลดิฉันดีมาก ท่านมีประสบการณ์กับพระเจ้ามากทีเดียว และสิ่งนี้เองทำให้ดิฉันเชื่อพระเจ้าโดย 100% และรับบัพติศมาในที่สุด

สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังกลับใจใหม่
อพบพระเจ้าดิฉันเริ่มเข้าใจและรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปมาก ต้องการการยกโทษจากพระเจ้า ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ที่มาจากพระเจ้า เพื่อจะมีชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า จากเดิมที่ชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่มีสาระ ใช้เวลาหมดไปกับการเดินซื้อของ แต่เมื่อมีพระเจ้าดิฉันกลายเป็นคนที่กระตือรือร้น อยากทำสิ่งที่ดี มีเป้าหมาย อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างมีชัยชนะ ไม่กระวนกระวายใจ รักคนอื่นๆ ได้ง่ายมาก จากที่เป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือ กลายมาเป็นชอบอ่านพระคัมภีร์เพราะพระคัมภีร์ทำให้มีพลัง ทุกๆ วันของชีวิตมีแต่ความตื่นเต้น อัศจรรย์ มีความหวัง มีความสุขสดใส มั่นใจในตัวเอง และประกาศกับทุกคนเลยว่าพระเจ้าดี

ประสบการณ์กับพระเจ้า
ตลอดเวลาที่ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ดิฉันได้รับประสบการณ์ตื่นเต้นมากในหลายๆ เรื่อง

เรื่องแรก คือตอนที่ดิฉันแต่งงานได้ 2 ปี และยังไม่มีลูก ดิฉันก็อธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ตอบคำอธิษฐานในตอนแรก แต่ให้ดิฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่งเป็นหนังสือของ ดร.โช ยองกี ซึ่งเขียนไว้ว่าเราต้องอธิษฐานขอแบบเจาะจงว่าเราต้องการอะไร พระเจ้าจึงจะตอบคำอธิษฐานนั้น ดิฉันก็เริ่มอธิษฐานใหม่ หลังจากที่ขอเจาะจงเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น พระเจ้าตรัสว่า ไม่ต้องขอแล้ว แต่ให้ขอบคุณแทน ดิฉันก็บอกสามีว่าพระเจ้าบอกแบบนี้ หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ดิฉันก็ไปรับการตรวจและพบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ในที่สุดดิฉันก็ได้ลูกซึ่งเกิดมามีลักษณะทุกอย่างตามที่ดิฉันขอจากพระเจ้า

เรื่องที่สอง คือตอนที่ลูกสาวเกิดมามีผนังลิ้นหัวใจรั่วเขาจะหายใจเร็วถี่ และเวลาร้องไห้ ตัวของเขาจะคล้ำมาก ตอนที่รู้ว่าเขาเป็นก็ตกใจมากเพราะรู้ดีว่าโรคหัวใจในเด็กจะทำให้เด็กพิการ พ่อแม่จะต้องทุกข์ใจไม่น้อย ดิฉันรับไม่ได้ กังวลใจและคิดไปในทางลบต่างๆ รู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ แต่สามีก็พูดในทางบวกว่าโรคนี้เกิดขึ้นเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ เราจึงเชิญอาจารย์สมศักดิ์ ชูสงฆ์ มาอธิษฐาน อาจารย์ก็บอกว่าผมอธิษฐานกับพระเจ้าที่บ้านแล้ว ไม่มีอะไร ไม่ต้องกลัว หมออย่าไปคิดแบบวิทยาศาสตร์ เพราะวิธีการของพระเจ้าเหนือกว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก็รู้สึกดีใจที่อาจารย์พูดอย่างนี้และประกอบกับดิฉันได้รับหนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อว่า หายโรคเพราะความเชื่อ มาด้วย หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ดิฉันมีความเชื่อมากเลยว่าพระเจ้าจะรักษา ดิฉันก็อธิษฐาน ต่อมาไม่ถึงเดือน ดิฉันพาลูกสาวไปรับการรักษาโดยวิธีใช้เครื่องมือ 2D Echo ที่โรงพยาบาลสวนดอก ปรากฏว่าจากผลการตรวจ คุณหมอไม่ได้ยินเสียงหัวใจรั่ว หัวใจปิดแล้ว ร่างกายแข็งแรงดี เขาเป็นเด็กที่ชอบเล่นกีฬา ว่ายน้ำ วิ่งมาราธอน พอเขาอายุ 11 ปี ดิฉันก็พาเขาไปรับการตรวจหัวใจด้วยเครื่องมือใหม่คือ 3 dimension colorful ปรากฏว่าพระเจ้าสร้างเนื้อเยื่อมาปิดรู หมอหัวใจก็บอกว่า ทำไมโชคดีจังเลย ปกติรูรั่วแบบนี้จะเริ่มปิดได้ดีตอนที่เด็กอายุประมาณ 4-5 ขวบ และใช้เวลานาน 4-5 ปีจึงจะปิดหมด แต่ลูกสาวใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน รูรั่วที่หัวใจก็ปิดหมดแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องลูกของเพื่อนดิฉัน ตอนที่ลูกของเขาอายุได้สี่เดือนอยู่ในช่วงกำลังน่ารัก ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่วันหนึ่งอยู่ๆ เขาก็มีไข้ และกระหม่อมบวม เพื่อนก็พามาหาดิฉันเพื่อให้ตรวจรักษาเพราะเขารู้ว่าดิฉันจะรักษาลูกของเขาอย่างเป็นมาตรฐานที่สุดและที่สำคัญก็คือเขารู้ว่าดิฉันมีพระเจ้า แสดงว่าเขามีศรัทธาพระเจ้าในชีวิตเรา แม้ว่าดิฉันจะเคยประกาศเรื่องของพระเจ้าให้เขาฟังหลายครั้งและให้พระคัมภีร์และหนังสือหลายเล่มที่เป็นวรรณกรรมคริสเตียนแก่เขา เขาอ่านทุกเล่มแต่ก็ยังไม่ยอมรับเชื่อ เมื่อเขาพาลูกมาให้ดิฉันตรวจ ดิฉันก็ตรวจดูและพบว่าเด็กเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดรุนแรงมาก แม้จะฉีดยาแรงชนิดที่แรงสุดเด็กก็ยังมีไข้สูง ชักและซึมเซา พอประมาณสักสามสี่วัน ก็เจาะน้ำสันหลังซ้ำ ก็ยังพบเชื้ออยู่ และดื้อยา แต่เนื่องจากยาที่จะใช้รักษาเป็นยาที่ราคาสูงและสงวนไว้สำหรับกรณีจำเป็นจริงๆ ดิฉันจึงต้องขับรถจากจังหวัดพะเยาไปเชียงใหม่เพื่อรับยานี้ ดิฉันจึงฉวยโอกาสนี้ชวนเขาอธิษฐานเพราะว่าลูกของเขามีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าครึ่ง เพราะติดเชื้อในสมอง น้ำสันหลัง ปอดและเลือด และเป็นเชื้อที่ดื้อยาด้วย ดิฉันบอกเขาว่าเราทำสุดกำลังของมนุษย์และเราขอพระเจ้าให้ช่วยส่วนที่เกินกว่านั้น เขาก็ยินดีให้อธิษฐาน พอเสร็จประมาณเที่ยงคืน ลูกเขาอยู่ในห้องไอซียู เขาก็บอกว่าจะขออุ้มลูกไว้อย่างนี้ ถ้าลูกจะจากไปในคืนนี้ก็ขอให้จากไปในอ้อมแขนของเขา หลังจากอธิษฐานกับเขาเสร็จแล้วดิฉันก็กลับบ้าน ไปคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ขอพระเจ้าช่วยด้วย เพราะข้าพระองค์ทำสุดกำลังแล้ว ขอพระเจ้ามีน้ำพระทัยที่ดีเพราะคนนี้กำลังแสวงหาพระเจ้า อธิษฐานไปประมาณ 15 นาที ก็เหมือนเข้าภวังค์และพระเจ้าให้เห็นภาพว่าเด็กคนนี้โตแล้ว และกำลังวิ่งเล่นอยู่หลังบ้านของดิฉัน ดิฉันดีใจมากจึงลุกจากที่อธิษฐานเพราะรู้ว่าพระเจ้าจะรักษาเขา หลังจากนั้นอาการของเด็กก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันจึงบอกให้เขารู้ว่าพระเจ้าสำแดงอย่างนี้ เขาก็เชื่อ หลังจากนั้นทั้งครอบครัวนี้แม่และลูกอีกสามคนก็ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์

นอกจากนี้ดิฉันเคยมีประสบการณ์ขับผี ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลที่เป็นร่างทรงแล้วถูกผีเข้า เด็กนักเรียนเล่นผีถ้วยแก้ว แล้วถูกผีเข้า ดิฉันก็ขับออกด้วยพระนามของพระเยซู คนที่อยู่ในเหตุการณ์บอกว่าผีแบบนี้ แถวบ้านต้องใช้ชายฉกรรจ์ 5-6 คนจึงจะข่มลงได้ แต่โดยฤทธิ์อำนาจ พระนามและพระโลหิตของพระเยซู ดิฉันจึงได้เห็นการอัศจรรย์นี้

การที่เรามีประสบการณ์มากกับพระเจ้าจะยิ่งทำให้เราวางใจพระเจ้ามาก คุ้นกับเสียงของพระเจ้ามาก เมื่อพระองค์ตรัสสั่งให้ไปไหน เราก็รู้แน่ว่าพระเจ้าจะเปิดทางให้ไป แม้จะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าจะทำให้เกิดขึ้น เราจะไม่สงสัยเลย และพูดออกมาด้วยความเชื่อได้เลยว่าจะเกิดขึ้นแน่

เริ่มงานรับใช้
เมื่อดิฉันได้เข้ามาเริ่มงานที่โรงพยาบาลแมคคอมมิค พระเจ้าได้นำให้ดิฉันรู้ว่าจะต้องมาฟื้นฟูเรื่องฝ่ายวิญญาณให้กับที่นี่มาก ดิฉันสังเกตว่าในช่วงแรกๆ นั้น มีคนมาร่วมนมัสการสิบกว่าคน บรรยากาศฝ่ายวิญญาณเงียบเหงามาก ดิฉันจึงเริ่มด้วยการตั้งกลุ่มเซลช่วงเย็นวันพุธ และมีกลุ่มอธิษฐานเย็นวันศุกร์ ก็เริ่มมีคนมาร่วมพันธกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ทุกๆ เช้ามีคนเข้าร่วมห้าสิบกว่าคน จากคริสเตียนทั้งหมดประมาณ 200 กว่าคน เราช่วยกันประกาศภายในโรงพยาบาลและนำคนรับเชื่อ มีบุคคลากรภายในรับเชื่อแล้ว 8 คน เป็นแพทย์ 1 คน เภสัชกร 2 คน ผู้ช่วยเภสัชกร 1 คน การเงิน 1 คน หัวหน้าพยาบาลฝ่ายต่างประเทศ 1 คน หัวหน้าคอมพิวเตอร์ 1 คน รองหัวหน้าคอมพิวเตอร์ 1 คน และยังมีพยาบาลอีกหลายคนที่กำลังจะมาให้นำรับเชื่อ พระเจ้ากำลังเปิดประตูในการประกาศ และจะอวยพรที่นี่อีกมากมาย

ในขณะเดียวกัน ดิฉันได้เริ่มงานรับใช้พระเจ้าที่คริสตจักร โดยเปิดห้องแห่งความรอดเพื่อนำคนที่มาเยี่ยมคริสตจักรให้กลับใจรับเชื่อพระเจ้า เพราะสมัยที่ดิฉันเคยไปโบสถ์และอยากจะเชื่อพระเจ้า แต่ไม่มีใครนำให้เชื่อเลย ดิฉันจึงคิดถึงคนที่สนใจ ที่กำลังเข้ามาในโบสถ์ ถ้าเขาอยากเชื่อ แต่ไม่มีใครนำเขาให้เชื่อ จะเชื่อได้อย่างไร จึงทำห้องนี้ขึ้นมา ทันทีที่เปิดห้องแห่งความรอด ก็มีคนเข้ามาและรับเชื่อ และคืนวันนั้นพระเจ้าก็ตรัสว่า การฟื้นฟูใหญ่ในประเทศไทยกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ดิฉันจึงส่งข้อความไปถึงศิษยาภิบาลว่า พร้อมหรือยัง พระเจ้าตรัสว่า การฟื้นฟูใหญ่จะเกิดขึ้น เราพร้อมที่จะดูแลคนที่มาเชื่อมากมายไหม ศิษยาภิบาลบอกว่ายังไม่พร้อม แต่กำลังคิดถึงเรื่องกลุ่มเซลล์อยู่ หลังจากวันนั้นมา ทุกอาทิตย์ที่เราเปิดห้องแห่งความรอดก็มีคนมารับเชื่อเยอะมากทุกอาทิตย์เลย บางอาทิตย์ 3-5 คนก็มี ไม่มีเว้น จนถึงตอนนี้ 100 กว่าคน ทุกคนที่รับเชื่อเราก็จัดระบบติดตามผลพี่เลี้ยง คนก็เติบโต หลายคนก็รับบัพ-ติศมาและนำคนมาเชื่อเพิ่ม คริสตจักรถูกเปลี่ยนโฉมกลายเป็นคริสตจักรที่มีผู้เชื่อใหม่ทุกอาทิตย์ ผู้เชื่อใหม่เข้มแข็งมาก เติบโต มีชีวิตชีวา เป็นเหมือนกลุ่มที่มาซ้อนกับกลุ่มเก่าที่เคยอยู่อย่างเรียบๆ ทำให้กลุ่มเก่าก็เริ่มขยับตัวมาอาสาสมัครมากขึ้น มาช่วยเป็นพี่เลี้ยง และก็ผสมผสานกันไป กลายเป็นบรรยากาศที่คึกคักมาก ทุกคนเรียนรู้ว่าต้องรับใช้ ซึ่งแต่ก่อนนี้เหมือนมาแล้วก็กลับ และเนื่องจากคริสตจักรที่หนึ่งถูกเลือกให้เป็นศูนย์กลางในการประกาศสำหรับเทศกาลชีวิตบริบูรณ์ด้วย ตอนนี้เราจึงฝึกทักษะในการประกาศและเป็นพี่เลี้ยง เราก็ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างปีละ 120 คนที่จะทำได้ ก็มีการส่งอนุชนเข้ามาเรียนโดยการใช้หนังสือหลักสัจธรรมสี่สู่ชีวิตนิรันดร์ จนถึงตอนนี้เราก็เห็นว่าพระเจ้าอวยพรให้เห็นคนที่มารับเชื่อเป็นพลตำรวจตรีก็มี แพทย์ อาจารย์สอนมหาวิทยาลัยหลายคนมาก นิติกรจากเทศบาลที่มาโดยการชักชวนของลูกชาย จะเห็นว่าเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาท มีความรู้ มีการศึกษา มีชาวบ้านบ้าง บางคนโบกรถสองแถวขอให้พามาโบสถ์เพราะอยากจะรู้จักพระเจ้าก็มี

เคล็ดลับในการบริหารงาน
เคล็ดลับของดิฉันก็คือ การตระหนักในการทรงเรียกของพระเจ้าและการทำหน้าที่เป็นปุโรหิต เพราะสิ่งนี้ทำให้เรามีความเชื่อและความกล้าหาญในการทำงาน ที่สำคัญคือทำให้เราต้องอธิษฐานเผื่อบุคลากรทุกคนให้เข้ามาคืนดีกับพระเจ้า ดังนั้นงานฝ่ายวิญญาณและงานบริหารสำหรับดิฉันแล้วจะไม่แยกออกจากกัน เคล็ดลับอีกประการหนึ่งคือการใช้ชีวิตที่เป็นแบบอย่างในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก ความถ่อมใจ ความยำเกรงพระเจ้า ความสัตย์ซื่อ และการทำงานอย่างสุดกำลังและทำให้ดีที่สุด ทำให้เราไม่เพียงบริหารให้ดีที่สุดเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า แต่ยังส่งผลให้ได้บุคลากรมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การสื่อสารที่ชัดเจนเป็นเคล็ดลับอีกประการหนึ่งที่ดิฉันนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารเรื่องวิสัยทัศน์ พันธกิจ หรือค่านิยมในการทำงาน การสื่อสารที่ชัดเจนบอกให้ทุกคนรู้ว่าเรากำลังรับใช้พระเจ้าในตำแหน่งหน้าที่ที่พระเจ้าทรงเรียกให้ทำแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับอื่นๆ อีกเช่นเรื่องการหมั่นศึกษาหาความรู้ และความกระตือรือร้นในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องทำควบคู่กันไป แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าปราศจากการพึ่งพาและการทรงนำของพระเจ้า

เป้าหมายสูงสุด
คือการมีชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และทำทุกสิ่งที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ดีที่สุด เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่คนฝากชีวิต ความหวังไว้กับเรา เราต้องช่วยเขาด้วยความรู้ ความสามารถ และ สัตย์ซื่อ อย่างเต็มกำลังของเรา ซึ่งเป็นงานที่หนักมาก แต่พระเจ้าทรงรับรองทุกอย่างที่ทำ ทำให้ได้รับพระพรและถวายเกียรติแด่พระเจ้า

  • ข้อพระคัมภีร์ประจำใจ พระธรรมสดุดี 91:14-16 “เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรักเราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะช่วยเขาให้พ้น และให้เกียรติเขา เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว และสำแดงความรอดของเราแก่เขา”
  • ข้อที่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน พระธรรมโยชูวา 1:9 “เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า ทรงสถิตกับเจ้า”

คำหนุนใจพี่น้องคริสเตียน
สำหรับพี่น้องคริสเตียนอยากจะหนุนใจให้ดำเนินชีวิตโดยสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องได้ยิน ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่ได้คืนดีกับพระเจ้า เขาก็จะไม่พบชีวิตที่บริบูรณ์และเขาก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษในบึงไฟนรก ทุกอย่างที่เขาทำมาบนโลกนี้ไม่สามารถจะช่วยอะไรเลยสำหรับชีวิตหลังความตาย เสียเวลาทั้งชีวิตที่ไม่พบพระเจ้า หน้าที่ของเราคือเป็นทูตของพระเจ้าเพื่อช่วยคนให้คืนดีกับพระเจ้า หน้าที่ของทูตก็ต้องเป็นทูตที่ถวายเกียรติแก่กษัตริย์ มีความสัตย์ซื่อ มีความสุภาพ มีชีวิตที่ถวายเกียรติ ไว้วางใจได้ พร้อมที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ ถ้าคริสเตียนมีชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐจะทำให้ทุกอย่างกระชับและตรงได้ผลที่สุด ดังนั้นเราต้องรักทุกคน ต้องไม่มีศัตรู เราต้องมีชีวิตถวายเกียรติพระเจ้า พูดความจริง มีทิศทาง ทุกอย่างต้องถวายเกียรติพระเจ้า ทั้งเรื่องอาชีพการงาน ทัศนคติ และการช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าชีวิตเราไม่สอดคล้องกับข่าวประเสริฐ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะประกาศข่าวประเสริฐ และถ้าเราไม่ได้ประกาศข่าวประเสริฐก็เหมือนที่อาจารย์เปาโลว่าวิบัติเกิดแก่เรา เราจะกลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้

  • แพทย์หญิงอุษณีย์พร ศรีมินิพันธ์