อาบน้ำเน่า ความคิดก็เน่า 2/17

อาบน้ำเน่า ความคิดก็เน่า

ผมเป็นคนชอบทานหัวหอมมาก ทั้งหัวหอมใหญ่ หัวหอมแดง ต้นหอม จะทอดหรือทานสดก็อร่อยทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ต้องระวังไว้ให้มากก็คือกลิ่นปากที่จะตามมาหลังจากทานเสร็จ เพราะตัวผมในฐานะคนกินไม่รู้หรอกว่ามันกลิ่นแรงแค่ไหน แต่คนใกล้ตัวจะแทบเบือหน้าหนีเลยเวลาเราอ้าปากพูดอะไรออกมา กว่าจะรู้ตัวก็แทบไม่มีใครอยากเข้าใกล้แล้ว

ผมได้ฟังเรื่อเล่าเรื่องหนึ่งผ่านรายการวิทยุ(มอร์นิ่ง ทอล์ก FM 99) เรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งตื่นขึ้นจะไปทำงาน ตอนไปอาบน้ำ ก็ไปเปิดท่อระบายน้ำที่บ้าน ตักน้ำในนั้นแล้วเอามาราดตัวจนเปียก แต่งตัวเสร็จก็เอาตัวเองไปคลุกกองขยะหน้าบ้าน ทำงานเสร็จทั้งวัน กลับมาบ้าน ก็อาบน้ำเน่าอีกรอบ คลุกขยะอีกที่ ก่อนหลับตานอนก็บ่นเสียงดังกับคัวเองว่า “เมื่อไหร่ตัวฉันจะหอมสักที่เนี่ย?” อ่านตามเรื่องที่ผมเล่าแล้วรู้สึกอย่างไงบ้างครับ คงตลกไม่น้อย เพราะในชีวิตจริงคงมีแค่คนวิกลจริตเท่านั้นที่ทำแบบชายคนนี้ เรื่องเล่าเรื่องนี้แท้จริงเป็นอุปมาสะท้อนให้เราเห็นว่า ในด้านความคิดเราก็ชอบทำตัวแบบชายคนนี้ คือตื่นขึ้นมาก็ฟังแต่ข่าวร้ายๆ หาอ่านแต่ข่าวซุบซิบนินทา ตกบ่ายหลังอาหารเที่ยง ก็ไปนั่งจับกลุ่มนินทาเจ้านายบ้าง วิจารณ์คนนู้นคนนี้บ้าง กลับบ้านมาก็ยังหาข่าวซุบซิบดารามาอ่านอีก และเราก็คาดหวังว่าเราจะมีความคิดทางบวกเกิดขึ้นมากลีบเรา มันจะเป็นไปได้หรือครับ อาบน้ำเน่า ความคิดก็เน่าตามไปด้วย เห็นทีความเชื่อนี้จะมีความจริงอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว

ในพระคำของพระเจ้า สุภาษิต 4:23 กล่าวว่า “จงระแวดระวังใจของเจ้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำออกมาจากใจ” ความจริงของพระเจ้าสะท้อนให้เราตระหนักว่าใจของเรา ความคิดของเรา ทัศนคติของเรา มีผลกับทุกด้านของชีวิต คำถามก็คือแล้วอะไรบ้างมีผลต่อจิตใจ อ่านมาถึงตรงนี้เราหลายคนย่อมมีคำตอบผุดขึ้นมาในความคิดมากมายเลยใช่ไหมครับ นั่นก็คือทุกอย่างที่แวดล้อมตัวเรา สิ่งที่เราเลือกรับ เลือกเสพ เลือกใช้เวลาด้วย สิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อความคิดละชีวิตภายในของเรา ซิก ซิกลาร์ เคยกล่าวเปรียบเปรยเรื่องนี้ไว้ด้วยคำถามที่ว่า “คุณจะยอมให้ใครเอาถุงขยะสีดำใบใหญ่ มาทิ้งในห้องรับแขกบ้านของคุณมั้ย?” แน่นอนว่าเราไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่ๆ กับบ้านของเรา แต่จิตใจของเรา ซึ่งแท้จริงสำคัญยิ่งกว่าห้องรับแขกที่บ้าน เรากลับอนุญาตให้สื่อ และแนวความคิดอันเลวร้าย ทิ้งถุงขยะดำใบใหญ่ไว้ในความคิดของเรา แล้วเราก็เอาแต่ฝ้าถามว่า “เมื่อไหร่ชีวิตจะมีอะไรดีๆบ้าง?”

ผมเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าจะสามารถให้แนวทางแก่เราในการระแวดระวังใจของเรา เพื่อให้สร้างแรงกระทบทางบวกให้กับชีวิตของเราทุกคนและผมจะขอยกพระคำพระเจ้าจากสุภาษิตบทที่ 4 บางข้อมาเสนอแก่ผู้อ่านทุกท่าน

ประการแรก “อย่าปฏิเสธคำเตือนของคนที่รักเรา” จากสุภาษิตบทที่ 4 ข้อ 3 และ 4 กล่าวว่า “เมื่อข้าเป็นเด็กอยู่กับพ่อข้า อ่อนเยาว์และเป็นแก้วตาของแม่ข้า พ่อสอนข้าว่า ให้ใจของเจ้ายึดถ้อยคำของพ่อไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของพ่อและมีชีวิตอยู่” ถ้าเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้นานพอ เราจะสามารถเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งในโลกนี้ว่า มีคนบอกว่ารักเรามากกว่าจำนวนคนที่รักเราจริงๆ หลายครั้งเมื่อเราเติบโตขึ้น เรามักจะเพิกเฉยต่อคำสอนของพ่อแม่ โดยดูถูกว่ามันเก่าคร่ำคร่าโบราณและบางคนก็พาลรำคาญเสียด้วยซ้ำ แต่เรามักชอบใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ฟังสิ่งที่เพื่อนพูด เชื่อและรับไว้ง่ายๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม ลองทบทวนดูก็ได้ครับ คนที่ยื่นการศึกษาให้เรา คือพ่อแม่หรือเพื่อน บุรี่มวนแรกหรือเหล้าแก้วแรกมาจากพ่อแม่หรือเพื่อน คิดสักหน่อยเราจะสามารถตอบตัวเองได้ไม่ยาก จริงอยู่ที่พ่อแม่และคนที่รักเราอาจไม่ได้พูดถูกต้องไปเสียทุกอย่าง แต่รับรองได้ว่าเขาพูดด้วยเจตนาดีอย่างแน่นอนเพราะเขารักเรา ดังนั้นพอเราฟังแล้วกลองเลือกรับเอาไว้ เราจะได้สิ่งดีแก่จิตใจของเราจริงๆ

ประการที่สอง “อย่าทุ่มเทเวลากับคนที่มีความคิดแบบน้ำเน่า” จากสุภาษิต บทที่ 4 ข้อ 14-16 กล่าวว่า “อย่าเข้าไปในวิถีของคนอธรรมและอย่าเดินในทางของคนชั่ว จงหลีกเสีย อย่าเดินบนนั้น เลี้ยวออกไปเสีย และจงผ่านไป เพราะพวกเขานอนไม่หลับ ถ้ามิได้ทำชั่ว พวกเขาจะหลับไม่ลง ถ้ามิได้ทำให้คนสะดุด” คนไทยอย่างเราๆ มักท่องได้ขึ้นใจว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” แต่เราก็มักทำสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่เราท่องไดขึ้นใจเสมอ อาจเป็นเพราะว่าเราแยกแยะไม่ได้ว่าใครที่เป็นคนที่มีความคิดแบบน้ำเน่า จากพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ชี้ให้เราเห็นว่า คนแบบนี้มักคิดหาวิธีทำร้ายคนอื่นตลอดเวลา ผมบอกทุกคนได้เลยว่าเราสามารถหาคนแบบนี้ได้ในกลุ่มซุบซิบนินทา เราจะได้ยินเขาพูดถึงคนอื่นว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา เป็นคนที่หน้าซื่อใจคด ต่อหน้าก็ปราศรัยแต่น้ำใจเชือดคอ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มมีกลุ่มเพื่อน ลองฟังให้ดีเถอะครับว่า ใครที่พูดถึงคนอื่นในแง่ลบตลอดเวลา คนนั้นเองที่เราควรหลีกไปให้ไกล เพราะน้ำเน่าในความคิดของเขามันพร้อมที่จะกระเซ็นมาเปื้อนความคิดของเราเสมอ และไม่ต้องเดาเลยว่าถ้าเราใช้เวลากับคนเหล่านี้เราจะมีชีวิตจบที่ใด พระวจนะบอกอยู่แล้วว่า มันจะพาเราไปสู่วิถีของคนอธรรม

ประการต่อมา “เลือกรับเลือกเสพ” จากสุภาษิต บทที่ 4 ข้อ 17 และ 18 กล่าวว่า “เพราะว่าพวกเขากินอาหารแห่งความโหดร้าย และดื่มเหล้าองุ่นแห่งความทารุณ แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งๆ ขึ้นจนสว่างเต็มที่” ผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า กลไกลทางอารมณ์ และกลไกลทางจิตของคนเรานั้น เราจะเลือกตอบทุกเรื่องตามความเคยชินของเรา ยกตัวอย่างเช่น คนที่ชอบดูหนังผี ก็ถูกปลูกฝังให้กลัวความมืดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป และมีอยู่ช่วงหนึ่งในสังคมไทย หนังสื่อพิมพ์หน้า 1 มักลงข่าวการฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากตึกสูงต่อเนื่องกัน และข้อมูลที่ผมรวบรวมได้นั้นสะท้อนว่าคนที่ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีแนวโน้นฆ่าตัวตายหลายรายถูกกระตุ้นให้ใช้วิธีเดียวกันในการทำร้ายตัวเองคือโดดจากอาคารสูง เมื่อทราบความจริงเช่นนี้แล้ว เราจึงควรเตือนตัวเองอยู่เสมอในการเลือกรับข่าวสารและความบันเทิงทุกรูปแบบในชีวิต เพราะมันมีอิทธิพลอย่างมากกับชีวิตของเรา อย่าเลือกกินอาหารแห่งความโหดร้าย และดื่มเหล้าองุ่นแห่งความทารุณให้มากหนักเลย จริงอยู่ว่าเราไม่อาจปฏิเสธความจริงและข่าวที่เกิดขึ้นในสังคมได้ แต่เราก็สามารถเลือกรับในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกตอบสนองอย่างต้องดีงามได้ไม่ใช่หรือ เราควรใช้ชีวิตเลือกรับสิ่งดีให้มาก เพื่อชีวิตเราจะเป็นเหมือนแสงอรุณยามเช้าดังที่พระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวไว้

ประการสุดท้าย “เดินห่างจากน้ำเน่า มุ่งตรงไปหาน้ำดี” จากสุภาษิต บทที่ 4 ข้อ 24 และ 25 กล่าวว่า “จงทิ้งวาจาคดๆ เสีย และให้คำพูดลดเลี้ยวห่างจากเจ้า ให้ดวงตาของเจ้าเพ่งมองไปเบื้องหน้า และให้การจ้องของเข้าตรงไปข้างหน้าเจ้า” การมีชีวิตในทางบวก ทัศนคติในทางบวก ไม่ใช่การอาศัยโชคช่วย ไม่ใช่การเลือกเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ดี เพราะเราทำแบบนั้นไม่ได้ แต่มันคือการตัดสินใจว่าเราจะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีแผนการและเดินไปตามแผนการนั้นอย่างมุ่งมั่นเอาจริง ถ้าเราใช้เวลาสำรวจตัวเองให้มากพอ เราจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าเรามีอะไรที่ผิดพลาดในชีวิต มีอะไรบ้างเป็นน้ำเน่าทางความคิดของเรา พระวจนะกล่าวว่าให้เราทิ้งทางเหล่านั้นเสียให้หมด ให้มันห่างไกลจากชีวิตของเรา และเดินเข้าหาทางใหม่ที่อยู่เบื้องหน้า มองตรงไป ไม่ปล่อยให้เท้าเดินสะเปะสะปะตามใจหรือตัณหาของเรา แต่มองไปเป้าหมายชีวิตที่เราอยากเป็น เราทุกคนมีสติปัญญามากพอที่จะรู้ได้ว่าหนังสือเล่มใด รายการแบบไหน เพื่อนแบบไหนที่เราควรมี และแบบไหนที่เราควรห่าง เพียงแต่ชอบเล่นกับไฟ และสนุกกับการเล่นขี้โคลน ไม่ต่างอะไรกับหมูที่เราจับมาอาบน้ำจนสะอาด สุดท้ายมันก็กระโดดลงไปในขี้เลนขี้โคลนอยู่ดี แต่เราทุกคนไม่ใช่หมู เราได้รับการสร้างมาดีกว่านั้นมาก คือถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า ผมจึงหนุนใจให้ผู้อ่านทุกท่านมั่นที่จะเดินห่างจากความเลวร้าย เพื่อมันจะไม่เผาไหม้ชีวิตท่าน และไปสู่ลำธารแห่งชีวิตที่จะให้ความชุ่มชื่นแก่ท่าน

สุดท้ายนี้ผมอยากฝากไว้ว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแม่น้ำทุกสายในโลกให้สะอาดเท่ากัน และเราสามารถเลือกสร้างบ้านใกล้ลำธารใสสะอาดหรือบ่อน้ำเน่าขังก็ได้ ทั้งหมดอยู่ที่การตัดสินใจของเราแต่ละคน เราจะได้ไม่ต้องสงสัยอีกว่า “เมื่อไหร่ชีวิตของฉันจะหอมซะที” ขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกคนคิดได้ และทำได้จนสำเร็จ

  • อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ Wirestock – Freepik.com