อาหารตามหลักของพระคัมภีร์

 

อาหาร ตามหลักพระคัมภีร์ไบเบิล พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าของเจ้า และกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์ เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการแล้ว โรคต่างๆซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่ชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่พวกเจ้าเลย เพราะเราคือพระเจ้า แพทย์ของเจ้า”(อพย 15:26) จาก การศึกษาพระคัมภีร์และการเรียนแพทย์ของผม (นพ. เร็กซ์ รัสเซล) รวมทั้งการนำวิธีการในพระคัมภีร์มาใช้ในชีวิตของผมเอง ทำให้ผมสามารถสรุปกฎบางประการที่ผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้สั่งให้ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดสุขภาพอันดีในประชากรของพระองค์ ผมขอเรียกกฎเหล่านี้ว่า “กฎสามประการ”

     กฎข้อที่ 1 จงกินแต่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นอาหารเท่านั้น หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ได้สร้างสำหรับเป็นอาหาร 
     กฎข้อที่ 2 จงกินอาหารในลักษณะที่ถูกสร้าง อย่าเปลี่ยนแปลงให้เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดเองว่าดีกว่า 
     กฎข้อที่ 3 อย่าเสพติดอาหารใดๆ อย่าให้อาหารเป็นรูปเคารพสำหรับท่าน สิ่งที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้กำลังจะบอกท่านว่า พระเจ้าผู้สร้างท่านได้ให้หนังสือคู่มือในการใช้ชีวิต (สิ่งประดิษฐ์ของพระองค์) เหมือนที่ท่านต้องมีคู่มือการใช้เมื่อท่านซื้อเครื่องใช้หรือเครื่องมือที่ สลับซับซ้อนมาใช้ ดังคำในพระธรรม 2ทิโมธีว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดีและการอบรมในทางธรรม” ถึงแม้ว่าคำสอนส่วนใหญ่ในพระคัมภีร์จะกล่าวฟถึงเรื่องของจิตวิญญาณและความ รอด แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่พระเจ้าได้สั่งถึงข้อปฏิบัติในแง่ของการเป็นอยู่ กฎหมาย การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและครอบครัว อาหารและสุขภาพ ลองมาดูกันทีละข้อดีกว่า

      กฎข้อที่ 1 จงกินแต่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นอาหารเท่านั้น หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ได้สร้างสำหรับเป็นอาหาร ในบทแรกของพระคัมภีร์ เราจะพบคำสั่งของพระเจ้าว่า “ดูเถิด เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ทั่วแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า” (ปฐก. 1:29) เราคงไม่ลืมว่าอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ก่อนที่ มนุษย์จะทำบาป และหลังจากที่มนุษย์ได้ตกอยู่ในความบาปพืชเหล่านี้ก็ได้เปลี่ยนไป “แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชทีมีหนามแก่เจ้า” (ปฐก.3:17) ลองมาพิจารณาอายุของมนุษย์ดูบ้าง อาดัมมีอายุ 930 ปี ในโลกที่มีพืชและอาหารที่พระเจ้าประทานให้ แต่หลังจากความบาปเข้ามาในโลก และหลังจากน้ำท่วมโลกอายุของมนุษย์เริ่มลดลง บุตรของโนอา เชมมีอายุเพียง 500 ปี นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า โลกและบรรยากาศ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจากที่น้ำท่วมโลก ทำให้อายุของมนุษย์สั้นลง หลังจากน้ำท่วมประมาณ 1,300 ปี โมเสสมีอายุเพียง 120ปี ทั้งๆ ที่เขาประพฤติตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด แต่อย่างไรก็ดีเขาตายในขณะที่มีสุขภาพสมบูรณ์ (ฉธบ. 34:7) บางทีถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เราอาจจะมีอายุได้เท่าโมเสส ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเสื่อมของร่างกายก็เชื่อว่า มนุษย์ควรมีชีวิตอยูได้ประมาณ 120 ปีเช่นเดียวกัน (อย่างมีสุขภาพสมบูรณ์) แต่อะไรเล่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อายุของคนเราสั้นลง คน(อเมริกัน)ในยุคปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยเพียง 74 ปี ทั้งๆ ที่อเมริกามีมาตรฐาน ทางสาธารณสุขสูงมาก “เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายถูกความกริ้วของพระองค์ผลาญเสีย ข้าพระองค์ก็เดือดร้อนเพราะพระพิโรธของพระองค์ พระองค์ทรงตั้งความผิดบาปของข้าพระองค์ไว้ต่อพระพักตร์พระองค์ทรงตั้งบาป ลับๆ ของข้าพระองค์ไว้ในสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์ วันทั้งปวงของข้าพระองค์ทั้งหลายสิ้นไปใต้พระพิโรธของพระองค์ กำหนดปีของข้าพระองค์สิ้นสุดลงอย่างเสียงถอนหายใจ กำหนดปีของข้าพระองค์คือเจ็ดสิบหรือสุดแต่เรื่องกำลังก็ถึงแปดสิบ แต่ช่วงชีวิตนี้มีแต่งานและความลำบาก ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ก็จากไป” (สดด.90:7-10) การวิจัยทางการแพทย์และพระคัมภีร์ได้แสดงสิ่งเดียวกัน คือ ผลของการไม่ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้า คือ ช่วงอายุที่สั้นลงของมนุษย์ ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ได้มีรายงานเกี่ยวกับเผ่าที่เรียกว่า หรรษา (Hanzas) ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ชนเผ่านี้มีอายุเฉลี่ย 90 ปี และบางคนก็อยู่ได้ถึง 120 ปี พวกเขาไม่เป็นโรคหัวใจหรือความดันสูงเลย อีกทั้งไม่มีใครเป็นมะเร็ง, แผลในกระเพาะอาหาร, ไส้ติ่งอักเสบหรือลำไส้ใหญ่อักเสบ อาหารของพวกเขา คือ ลูกนัท, ธัญญพืช(เมล็ดข้าวต่างๆ), ผักผลไม้ ผลสรุปของการวิจัยพบว่าพวกเขามีอายุยืนและสุขภาพดีเนื่องจากน้ำดื่มที่สะอาด การออกกำลังกาย และการที่เขากินอาหารเหมือนกับที่บรรยายไว้ในปฐมกาล 1:29 ในปี 1949 ดินแดนของพวกหรรษาได้ถูกรวมเข้ากับปากีสถาน และเมื่อความเจริญเข้ามา วิถีชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป รวมถึงอายุที่สั้นลงด้วย ตัวอย่างอีกอันหนึ่งของกฎข้อที่ 1 สามารถพบได้ในพระธรรม เลวีนิติ “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เจ้าทั้งหลายอย่ารับประทานไขมันของวัว ของแกะ หรือของแพะ”(ลนต7:23) จากการศึกษาเราพบว่าไขมันเป็นเนื้อเยื่อชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายมีไว้เพื่อเก็บ พลังงาน เมื่อเราอดอาหารร่างกายจะสลายไขมันเพื่อให้ได้พลังงานมาใช้ในกิจวัตรของร่าง กาย แต่โชคไม่ดีนักที่เราพบว่า ในไขมันของสัตว์เป็นแหล่งสะสมของสารพิษและปรสิตต่างๆ ในจำนวนนี้ได้แก่ ดีดีที ยาฆ่าแมลงต่างๆ ยาฆ่าวัชพืช แอนตี้ไบโอติคส์ ฮอร์โมน (ที่ฉีดให้สัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต) รวมทั้งสารเคมีต่างๆที่สัตว์เหล่านี้กินเข้าไป หายใจเข้าไป หรือแม้แต่สัมผัสถูก ในปี1979 ฮอร์โมนชื่อ DES (diethylstilbestrol) ซึ่งใช้เป็นยาป้องกันการแท้งของสตรีมีครรภ์ ถูกสั่งห้ามผลิตหรือใช้ในมนุษย์ เพราะมันทำให้เกิดมะเร็งในช่องคลอดและปากมดลูกของเด็กหญิงซึ่งเกิดจากมารดา ที่ใช้ฮอร์โมนตัวนี้ ฮอร์โมนตัวเดียวกันนี้ ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการเลี้ยงวัว เพราะมันทำให้วัวมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าเราพบฮอร์โมนนี้ จำนวนมากในไขมันของสัตว์เหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบฮอร์โมนอีกหลายตัวที่ใช้ผสมในอาหารเลี้ยงสัตว์ที่อาจก่อ ให้เกิดมะเร็งได้ และฮอร์โมนเหล่านี้จะพบว่ามีปริมาณที่เข้มข้นสูงสุดในไขมันใต้ผิวหนังของ สัตว์ ไขมันแข็ง (ไขมันที่มีลักษณะแข็งตัวที่อุณหภูมิห้อง และมักเป็นไขมันอิ่มตัว พบได้มากในบริเวณใต้ผิวหนังของสัตว์) เป็นไขมันที่อันตรายที่สุดสำหรับมนุษย์ การที่คนในปัจจุบันกินไขมัน เหล่านี้ในปริมาณมากทำให้พบอุบัติการณ์ของโรคหัวใจ มะเร็งเต้านม, ลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมากมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ อีกมากมาย ผมเคยถามผู้เชี่ยวชาญด้านปศุสัตว์ท่านหนึ่งว่า สัตว์ชนิดใดที่มีไขมันชนิดแข็งมากที่สุด ท่านตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “คำตอบไม่ยากเลย ก็ไขมันจากวัว แกะ และก็แพะไงล่ะ” สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ปกป้องเรา และการทรงสร้าง ที่วิเศษสุดเมื่อได้อ่านเลวีนิติ 7:23 เมื่อพระองค์ได้ระบุอย่างเจาะจงถึงไขมันของสัตว์ทั้งสามชนิดนี้ ไขมันทุกชนิดอันตรายเสมอไปหรือ ? คนส่วนใหญ่เชื่อว่าไขมันทุกชนิดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่นั่นอาจเป็นการด่วนสรุปเกิน ไปโดยเฉพาะถ้าเราฟังเพียงข้อมูลด้านเดียว จากนักโภชนาการบางคน พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวว่าไขมันทุกชนิดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อิสยาห์ได้กล่าวว่า “บนภูเขานี้ พระเจ้าจอมโยธาจะทรงจัดการเลี้ยงสำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย เป็นการเลี้ยงด้วยของอ้วนพี เป็นการเลี้ยงด้วยเหล้าองุ่นที่ตกตะกอนแล้ว ด้วยของอ้วนพีมีไขมันในกระดูกเต็มด้วยเหล้าองุ่นตกตะกอนที่กรองแล้ว” (อสย. 25:6) เมื่อผมอ่านพระคำตอนนี้ครั้งแรกผมคิดว่าคงต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน พระเจ้า พระองค์ไม่ควรเลี้ยงเขาด้วยไขมัน แต่เมื่อศึกษาให้ละเอียดแล้วจะพบว่า คำแปลที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดของคำว่า ของอ้วนพีมีไขมัน ไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันมะกอกนั่นเอง ในพระคัมภีร์ น้ำมันมะกอกและต้นมะกอกเป็นสัญลักษณ์ถึงการอวยพร (ฉธบ. 7:13,วนฉ. 9:8-13) และชาวอิสราเอลก็ได้ใช้ประโยชน์มากมายจากน้ำมันมะกอก ตอนที่ผมได้อ่านพบพระคำตอนนี้ในอิสยาห์ บทที่ 25 นั้น นักโภชนาการยังคงเชื่อว่าการกินน้ำมันมะกอกไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะว่าน้ำมันมะกอกไม่ได้เป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated fatty acid – PUFA) แต่ต่อมาไม่นาน พวกเขาก็เริ่มสังเกตจากการที่ชาวกรีกซึ่งบริโภคน้ำมันมะกอกเป็นปริมาณมาก แต่กลับมีอุบัติการณ์ของเส้นเลือดแข็ง (อันนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ) ที่ต่ำมาก นอกจากนี้พวกเขายังพบว่าน้ำมันมะกอกถูกร่างกายย่อยได้เหมือนกับแป้ง และยังมีกรดไขมันชนิดที่ช่วยให้ภาวะเส้นเลือดแข็งลดน้อยลงอีกด้วย ดังนั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่ทรงรู้จักเราดีกว่านักวิทยา ศาสตร์คนใดๆ และทรงประทานอาหารที่วิเศษแก่ประชากรของพระองค์ บาปแรกสุดที่มนุษย์ได้กระทำนั้นเกี่ยวข้องกับการกิน เพราะว่าอาดัมและอีฟได้กินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม โดยกระทำตามใจปรารถนาของพวกเขาเอง (ปฐก 3:6) และผลที่เกิดขึ้นก็คือ “แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆของทุ่งนา เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้าเจ้าจนเจ้ากลับเป็นดินไป (ปฐก 3:17-19)” พวกเราทุกคนก็เป็นดั่งมนุษย์คู่แรกนั้น คือ เราทุกคนได้ทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (โรม 3:23)และพวกเราก็ปรารถนา อยากได้อยากทำในสิ่งที่ไม่เป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเรา รวมทั้งกินอาหารต่างๆที่พระเจ้าห้ามด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ในท่ามกลางพวกเรานั้น มีหลายคนที่เป็นทาสของอาหารและการดื่มกิน คราวนี้ลองมาดูว่าเราจะสามารถนำกฎข้อที่ 1 นี้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร สิ่งใดบ้างที่พระเจ้าได้ประทานให้เป็นอาหารแก่มนุษย์ ? 1. เมื่อพระเจ้าเรียกสิ่งนั้นว่าอาหาร พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ด ในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า” (ปฐก 1:29) 2.เมื่อพระองค์ประทานสิ่งนั่นให้แก่ประชากรของพระองค์ อาหารที่เราให้แก่เจ้าก็เหมือนกัน คือ เราเลี้ยงเจ้าด้วยยอดแป้ง น้ำมันและน้ำผึ้ง .. พระเจ้าตรัสดังนี้และ (อสค 16:19) 3. อาหารที่พระเยซูรับประทานหรือเลี้ยงผู้อื่น แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อน และปลาเหล่านั้นมาโมทนาพระคุณแล้ว จึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชน (มธ 15:36)ต่อไปนี้เป็นรายการอาหารที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่าเป็นประโยชน์ต่อร่าง กายและเป็นสิ่งซึ่งทรงประทานให้เป็นอาหาร อัลมันด์, ข้าวบาร์เลย์, ถั่ว, เนื้อวัว, กวาง, ขนมปัง, เนื้อแพะ, เนยแข็ง,แตงกวา, แตงโม, กระเทียมจีน, หอมใหญ่, หัวกระเทียม, นมเปรี้ยว, องุ่น, ทับทิม, มะเดื่อ, ปลา, ผักต่างๆ, นมแพะ, จั๊กจั่น, ตั๊กแตน, จิ้งหรีด, น้ำผึ้ง, ถั่วแดง, มะกอก (และอื่นๆ อีกมาก น่าจะลองช่วยกันหาดู) ท่านเชื่อหรือไม่…? บนเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลี มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งกินแต่อาหารซึ่งทำด้วยเนื้อจั๊กจั่นและตั๊กแตนป่น คลุกกับน้ำผึ้งเท่านั้น และพวกเธอก็ยังคงสามารถมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และมีชีวิตที่ยืนยาวเท่าๆกันกับคนทั่วไปหรืออาจจะมีอายุยืนกว่าด้วยซ้ำไป ที่สำคัญพวกเธอแทบจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนเลย บางทีจอห์น ผู้ให้รับบัพติสมา อาจมีความรู้เรื่องโภชนาการดีกว่านักโภชนาการก็ได้ “เสื้อผ้าของยอห์นผู้นี้ ทำด้วยขนอูฐและท่านใช้หนังสัตว์คาดเอว อาหารของท่านคือจักจั่นและน้ำผึ้งป่า (มธ3:4)” อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้สั่งห้ามไม่ให้พวกอิสราเอลกินอาหารบางชนิด ในปัจจุบันถึงแม้เราจะไม่ได้ถือข้อห้ามดังกล่าวอย่างเคร่งครัดแบบชาวยิวก็ ตาม แต่ก็ไม่ควรละเลยข้อห้ามดังกล่าว เพราะแม้เราจะไม่ถือว่าการกินอาหารดังกล่าวเป็นมลทินหรือเป็นบาป แต่การละเว้นจากอาหารดังกล่าวจะทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้ ในบทนี้เราจะมาพิจารณาเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้พอเป็นตัวอย่าง และจะกล่าวให้ละเอียดขึ้นในบทต่อๆไป “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เจ้าทั้งหลายอย่ารับประทานไขมันของวัว ของแกะหรือของแพะ” (ลนต 7:23) “แต่ท่านอย่ารับประทานเลือด แต่ท่านจงเทเลือดลงบนดินอย่างเทน้ำ” (ฉธบ 12:23) “เจ้าทั้งหลายเป็นคนบริสุทธิ์อุทิศแก่เรา เหตุฉะนั้นเนื้อสัตว์ที่ถูกกัดตายในทุ่งนา เจ้าอย่ากินเลย” (อพย22:31) “เพื่อให้สังเกตความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นมลทินและสิ่งที่สะอาด และระหว่างสิ่งมีชีวิตรับประทานได้ และสัตว์มีชีวิตที่รับประทานไม่ได้” (ลนต 11:47)ผมไม่ได้กล่าวถึงอาหารเหล่านี้ในแง่ของความบริสุทธิ์ในด้านพิธีกรรม หรือฝ่ายจิตวิญญาณแต่พิจารณาในแง่ของการฟังคำสั่งเหล่านี้เพื่อสุขภาพอันดี ของเราเอง เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงดูและประชากรของพระองค์ในยุคพระคัมภีร์เดิมผ่านคำสั่ง เหล่านี้ พระองค์ก็จะทรงดูแลเราเช่นกันถ้าเราฟังคำสั่งของพระองค์ พิจารณาอย่างไรว่าอะไรกินได้บ้าง ไม่เพียงแต่อาหารที่อยู่ในรายการที่กล่าวถึงข้างต้นเท่านํ้นที่กินได้ แต่พืชสารพัดชนิดก็สามารถใช้เป็นอาหาร ได้ดังที่ปรากฎในปฐมกาล 1:29 พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า” ดังนั้นข้าวชนิดต่างๆ (ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง) ถั่วทุกชนิด ผลของพืชที่มีเถาต่างๆ และพืชสวนครัว (องุ่น แตงโม แตงกวา ฟักทอง มะเขือ ฯลฯ) รวมทั้งผลไม้ต่างๆ (มะม่วง แอปเปิ้ล ลำไย ลิ้นจี่ ฯลฯ) ก็สามารถเป็นอาหารที่ดีของมนุษย์ได้ทั้งสิ้น ความสมบูรณ์ของอาหาร ที่พระองค์ประทานแก่เรา (ในแง่โภชนาการ) ลองมาดูกันว่าอาหารที่พระองค์ประทานแก่เรามีสารอาหารทั้งสามประเภทครบหรือ ไม่ คาร์โบไฮเดรท (แป้ง) พบได้อย่างเหลือเฟือในพืชต่างๆ อีกทั้งยังเป็นคาร์โบไฮเดรทที่มีเส้นใยสูงอีกด้วย โปรตีน แต่เดิมเรามีความเชื่อกันว่าโปรตีนควรมาจากเนื้อสัตว์ แต่ในความเป็นจริงพืชต่างๆ ก็มีโปรตีนในปริมาณที่สูง และถ้าเลือกกินโปรตีนจากพืชหลายๆ ชนิด ก็สามารถที่จะทำให้ร่างกายได้รับอะมิโนแอซิด ได้ครบทุกชนิดเช่นเดียวกับการกินเนื้อสัตว์ ไขมัน พืชมีไขมันอย่างครบถ้วนและไขมันที่พบในพืชไม่มีคลอเรสเทอรอล ดังนั้นถ้าเรากินไขมันจากพืช และกินในปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ดร. เอธิล เนลสัน ผู้ซึ่งเป็นพยาธิแพทย์ได้เสนอทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาหาร ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเรา ในปฐมกาลบทที่ 3:18 เป็นเหตุการณ์หลังจากที่โลกได้ตกอยู่ในความบาปแล้ว พระเจ้าได้ให้คำสั่งเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารว่า “แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา” จะเห็นได้ว่าพืชต่างๆจากทุ่งนานี้ เดิมทีมีวัตถุประสงค์ให้เป็นอาหาร ของสัตว์ต่างๆ พืชเหล่านี้คือพืชที่มิได้มีเมล็ดในผลของมัน ซึ่งก็ได้แก่ ผักต่างๆ รวมทั้งหัวเผือกหัวมันด้วย หลังจากน้ำท่วมโลกและพืชต่างๆได้ถูกทำลายไปหมด พระเจ้าได้ให้อาหารเพิ่มเติมแก่มนุษย์ คือ “ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกต้นผักเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว แต่อย่ากินเนื้อพร้อมชีวิตของมัน คือ เลือดของมัน” (ปฐก 9:3,4) จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่ามนุษย์ในยุคเริ่มแรกนั้นเป็นมังสวิรัติอย่างแน่นอน และเขาเหล่านั้นก็มีสุขภาพ ที่สมบูรณ์จนสามารถมีอายุได้นับเป็นพันปี แม้กระทั่งหลังจากน้ำท่วมแล้วซึ่งเป็นช่วงที่มนุษย์ได้รับอนุญาตให้กินเนื้อ สัตว์ได้แล้ว มนุษย์ก็มิได้กินเนื้อทุกชนิดที่ขวางหน้า ดังจะเห็นได้จากคำสั่งในการคัดเลือกสัตว์ต่างๆ เข้าในนาวาของโนอาห์ “จงเอาบรรดาสัตว์ที่สะอาดไปด้วยทุกชนิดอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย และสัตว์ที่ไม่สะอาดอย่างละคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย นกในอากาศอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อที่จะช่วยชีวิตสัตว์ไว้ให้สืบพันธุ์ทั่วพื้นแผ่นดิน” (ปฐก 7:2,3) และหลังน้ำท่วมโนอาร์สร้างแท่นบูชาพระเจ้า และเลือกเอาสัตว์ และนกประเภทไม่มีมลทินบางตัวมาเผาบูชาถวายที่แท่นนั้น (ปฐก 8:20) โนอาห์ไม่ได้ใช้สัตว์ที่ไม่สะอาดเป็นอาหารอย่างแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วสัตว์เหล่านี้ ซึ่งมีเพียงอย่างละคู่เดียวก็คงจะต้องสูญพันธุ์ ไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ เลือดก็ยังเป็นที่ต้องห้ามไม่ให้กินอีกด้วย (ปฐก 9:4)น่าจะเป็นเพราะเลือดเป็นของเหลวที่ใช้ในการขนส่ง ของเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย ดังนั้นในเลือดจึงมีของเสียต่างๆ อยู่มากมาย และอาจเป็นที่สะสมของเชื้อโรคต่างๆ ได้ด้วย ไม่มีบันทึกไว้ว่าอาดัมเริ่มต้นกินเนื้อสัตว์เมื่อใด แต่คาดว่าเขาคงจะกินเนื้อสัตว์ตามใจชอบของเขา เพราะเขากินแม้แต่ผลไม้ต้องห้าม อย่างไรก็ตามเนื้อสัตว์เป็นสิ่งซึ่งพระคัมภีร์อนุญาตให้กินได้อย่างแน่นอน เนื่องจากพระเยซูก็กินเนื้อสัตว์ ซึ่งได้รับการอนุญาตให้ใช้เป็น อาหารได้ตามพระธรรมเลวีนิติและกันดารวิถี สารอาหารนิรนาม ยังมีสารอาหารอีกจำนวนนับพันที่เรายังไม่รู้จักในปัจจุบัน ไฟเบอร์ (เส้นใยอาหารจากพืช) เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดอันหนึ่ง เดิมทีเราไม่รู้จักว่าไฟเบอร์เป็นอย่างไรหรือมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร จนกระทั่ง ดร.เดนนิส เบอร์กิต ซึ่งเป็นทั้งแพทย์และมิชชันนารีในอาฟริกา ได้สังเกตเห็นว่าชนเผ่าพื้นเมืองในอาฟริกาไม่ค่อยจะมีปัญหา เกี่ยวกับโรคทางเดินอาหารที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด เช่น ริดสีดวงทวาร, ลำไส้อักเสบหรือแผลในลำไส้ เนื่องจากพวกเขากินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ในขณะที่ชาวอังกฤษในอาฟริกาซึ่งกินอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งขัดสีเอาไฟเบอร์ ออก กลับมีปัญหาที่ต้องรับการผ่าตัดและยังคงมีโรคอีกมากมาย นอกจากนี้เขายังพบว่าชาวอาฟริกันที่ไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษและกินอาหาร ที่มีไฟเบอร์ต่ำ ก็กลับเกิดโรคที่เกิดขึ้นกับคนผิวขาวเช่นเดียวกัน ยังคงมีสารอาหารที่เราไม่รู้จักอีกมากมาย และสารอาหารล่าสุดที่เราค้นพบว่ามีประโยชน์ต่อมนุษย์นั้น ท่านเชื่อหรือไม่ว่าเราสามารถพบสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่สูงกว่าในอาหาร อื่นๆ ในอาหารที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงและอนุญาตให้เรากินได้ สารอาหารเหล่านี้ ได้แก่ 
     1. Sulforaphane ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ พบมากในบรอคคาลี, กระเทียม และหัวหอม 
     2. เบต้า เคโรทีน เป็นแอนตี้ออกซิแด้นท์ (สารที่ป้องกันไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับร่างกายของเรา อนุมูลอิสระเหล่านี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ รวมทั้งเกิดจากกระบวนการเผาผลาญตามปกติของร่างกายด้วย) พบได้มากในผักหรือผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือสีเขียว สารนี้ป้องกันการเกิดมะเร็งและการเสื่อมของอวัยะต่างๆได้ 
     3. Indole-3-carbinol พบได้มากในเมล็ดข้าว สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม 
     4. Polyphenols พบได้มากในชาเขียว
     5. Limonene พบในผลไม้จำพวกมะนาวและส้ม
6. Quercetin พบในองุ่น สารทั้งสามนี้ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ดังนั้นจึงสามารถลดการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดและโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการ แข็งตัวของหลอดเลือดได้

      กฎข้อที่ 2 จงกินอาหารในลักษณะที่ถูกสร้าง อย่าเปลี่ยนแปลงให้เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดเองว่าดีกว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา” สภษ14:12 พระคัมภีร์ตอนนี้ได้กล่าวถึงการที่มนุษย์พยายามที่จะทำตัวเป็นพระเจ้าเสีย เอง โดยการทำทุกอย่างตามความคิดของเขาเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่จะนำไปสู่ความตาย (ทางจิตวิญญาณ) ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันข้อความนี้ยังสามารถนำมาใช้เตือนใจได้อย่างดี เมื่อมนุษย์พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงสิ่งที่พระเจ้าได้ออกแบบ และตระเตรียมให้แก่เรา ดร.วาโกวิช (Michail J. Wargovich) ได้กล่าวถึงการพยายามหาสารที่จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งในมนุษย์ ซึ่งเขาพบว่า สารดังกล่าวพบได้มากในผลไม้และผักสด เขาย้ำคำว่าสด เพราะว่าการปรุงอาหารหรือความร้อนจะทำลายสารเหล่านี้ นอกจากนี้เราพบว่าสารที่ใช้ในการปรุงแต่งอาหาร สารต่างๆที่ใช้ในอุตสาหกรรม สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ด้วย ตัวอย่างได้แก่ 
     1. สีผสมอาหารหลายชนิด 
     2. DES (diethylstilbestrol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในการเลี้ยงไก่ อาจทำให้เกิดมะเร็งของปากมดลูกได้ 
     3. โซเดียม ไนไตร์ท ใช้ในการทำไส้กรอก สามารถเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีน ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็งได้ 
     4. ผลิตภัณฑ์ จากใบยาสูบ 
     5. ควันพิษจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม 
     6. Cyclamates และ Saccharin (น้ำตาลเทียม)

     ตัวอย่างที่แสดงอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของกฎข้อที่ 2 พบได้จากชาวเกาะเนารู (Nauru) ซึ่งเป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขามีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายสมถะ ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและบริโภคแต่เพียงพืชพันธุ์ที่เขาเพาะปลูกได้บน เกาะเท่านั้น พวกเขามีสุขภาพที่สมบูรณ์และไม่ค่อยจำเป็นที่จะต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ต่อมาพวกเขาค้นพบเหมืองฟอสฟอรัสซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีราคา ดังนั้นความเป็นอยู่ของพวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงไป พวกเขากลับกลายเป็นคนร่ำรวยและเริ่มที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหรา สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือพวกเขาสั่งอาหารและของกินต่างๆจากทั่วโลก ซึ่งเป็นอาหารที่แตกต่างไปจากที่พวกเขาเคยกิน ผลปรากฎว่าภายในเวลาเพียง 30 ปีเท่านั้นประชากรถึง 30 เปอร์เซ็นต์กลายเป็นผู้ป่วยเบาหวาน จากเดิมที่เบาหวานแทบไม่เป็นที่รู้จักบนเกาะนี้ และในเวลาเพียง 40 ปี 65 เปอร์เซ็นต์ของประชากรก็เป็นเบาหวาน ดร.เจมส์ แอนเดอร์สัน(James Anderson) แห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี้ ได้อธิบายถึงปรากฎการณ์นี้ว่าเกิดจากการที่วิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขา เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาออกกำลังกายน้อยลงและบริโภคอาหารที่ได้รับการปรุงแต่งมากเกินไป นอกจากนี้เขายังพบว่าชาวเกาะที่ยังคงใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรแบบเดิม และกินอาหารที่เขาเพาะปลูกเองกลับปลอดจากโรคเบาหวาน จากบทเรียนนี้และผลการวิจัยของดร.แอนเดอร์สัน สมาคมเบาหวานแห่งอเมริกาได้ให้ข้อสรุปและคำแนะนำว่า ผู้เป็นเบาหวานหรือผู้ที่มีความเสี่ยงจากเบาหวานเนื่องจากกรรมพันธุ์ควรหลีก เลี่ยงอาหารจำพวกแป้งขาว (แป้งที่ได้จากการโม่โดยมีการแยกส่วนที่เป็นเส้นใยอาหารออกไป เช่น แป้งทำขนม) ควรกินผักผลไม้สดให้มาก นอกจากนี้ควรกินอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงอีกด้วย ในเวลาต่อมา วิธีการควบคุมเบาหวานโดยการกินอาหารที่ถูกต้องได้ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวาน จำนวนมากมีอาการดีขึ้น บางรายไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีกเลย

      กฎข้อที่ 3 อย่าเสพติดอาหารใดๆ อย่าให้อาหารเป็นรูปเคารพหรือพระเจ้าสำหรับท่าน กฎข้อนี้ได้มาจากพระบัญญัติข้อแรกที่ว่า “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” อพย20:3พระเจ้าทรงประทานอาหารให้แก่เรา แต่ถ้าเราปล่อยให้อาหารนั้นมีความสำคัญต่อเรา จนมาแทนที่พระเจ้าสิ่งนี้ก็กลับจะเป็นโทษได้ เรามักใช้คำว่า “เสพติด” กับเหล้า บุหรี่ ยา หรือยาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถเสพติดอาหารได้ด้วย ตัวอย่างเช่น การติด กาแฟ ติดน้ำตาล ติดไขมัน หรือเกลือ วิธีการที่จะห้ามไม่ให้เราเสพติดอาหารที่ดีวิธีหนึ่ง คือ การอดอาหาร(เป็นครั้งคราว) การถือศีลอดอาหารนอกจากเป็นวิธีการที่เราละความสนใจในความต้องการของร่างกาย เพื่อให้เรามีจิตใจที่สามารถติดสนิทกับพระเจ้าได้มากขึ้นแล้ว การอดอาหารยังคงมีประโยชน์ในแง่เป็นการให้ร่างกายโดยเฉพาะระบบเอนไซม์ต่างๆ ได้พักและกลับสู่ความสมดุลย์อีกครั้ง ตัวอย่างอันหนึ่งคือการที่บางคนเมื่อดื่มนมแล้วจะเกิดอาหารท้องเสียเนื่อง จากร่ายกายไม่มีเอนไซม์ที่เรียกว่า “แลคเตส” แต่ถ้าการดื่มนมนั้นเป็นการดื่มนานๆครั้งและในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไปก็จะ ไม่มีอาการดังกล่าว แต่เมื่อเริ่มดื่มติดต่อกันทุกวันก็จะเกิดอาการดังกล่าวได้ นพ.รัสเซลมีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้การอดอาหารเป็นวิธีการรักษาโรคในลูก ชายของเขาเอง เรื่องมีอยู่ว่าลูกชายของเขาเป็นเด็กที่มีสมาธิสั้นและอยู่ไม่สุขเกินกว่า เด็กทั่วไป (Hyperactive Child Syndrome) เขาได้พยายามรักษาหลายวิธีแต่ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ ในการรักษาครั้งหนึ่งจำเป็นต้องให้มีการอดอาหารก่อนการรักษานั้น เนื่องจากขณะนั้นเขายังไม่คุ้นเคยการวิธีการอดอาหารจึงรู้สึกเป็นกังวล และตัดสินใจให้ลูกเขากินผลไม้บางชนิด แทนที่จะให้อดอาหารแล้วดื่มแต่น้ำเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติตามปกติของการอดอาหาร เขาพบว่าหลังจากสามวันของการหยุดอาหารที่เคยกินตามปกติ ลูกชายของเขามีอาการสงบมากขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าเนื่องจากเด็กอดอาหารจึงมีอาการอ่อนเพลีย แต่เมื่อสังเกตพบว่าเด็กยังคงแข็งแรงร่าเริงตามปกติ เขาจึงมั่นใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างในอาหารที่ทำให้ลูกของเขาเปลี่ยนแปลงไป แต่เมื่อให้เริ่มกินอาหารที่เขากินตามปกติ (ซึ่งรวมทั้งขนม ช็อกโกแลต และอาหารฟาสต์ฟูด) ลูกชายเขาก็กลับมามีอาการเหมือนเก่า ดังนั้นถึงแม้เขายังไม่สามารถควบคุมอาการของลูกชายได้ทั้งหมด เนื่องจากการหลีกเลี่ยงจากอาหารที่ทำให้เกิดอาการนั้นทำได้ยาก แต่อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าการหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกเขาได้ แล้วอะไรคือวิธีการถืออดอาหารเล่า…? ฮิปโปเครติสบิดาแห่งการแพทย์ได้ใช้วิธีการอดอาหารในการรักษาโรคมาตั้งแต่ 2400 ปีมาแล้ว นอกจากนี้ในตำราอายุรเวช (ของอินเดียโบราณ) ก็ได้แนะนำให้มีการอดอาหารสัปดาห์ละครั้ง เพื่อเป็นการทำให้ระบบย่อยอาหารอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เกือบทุกชาติภาษาวัฒนธรรมล้วน แล้วแต่มีเรื่องราวของการ อดอาหารตั้งแต่ยุคโบราณแทบทั้งสิ้น นักประวัติศาสตร์อธิบายถึงการที่มนุษย์มีประเพณีการอดอาหารว่า เป็นวิวัฒนาการมาจากการที่มนุษย์มักจะขาดแคลนอาหารเมื่ออยู่ในภาวะยากลำบาก ในทางกลับกันในยามที่ประสบกับ ความยากลำบากเขาจึงอดอาหารเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากสวรรค์ แต่น่าจะมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้มิใช่หรือ ชาวจีนรู้จักการอดอาหารมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของชาติพันธุ์ ซึ่งน่าจะเป็นในราวสี่ชั่วอายุคนนับจากโนอาห์ เราพบอักขระที่เก่าแก่ที่สุดของจีนจารึกอยู่บนกระดูกหรือไม่ก็เครื่องปั้น ดินเผา ซึ่งมีอายุในราว 2000 ปีก่อนคริสตกาล คำจารึกนี้ได้กล่าวถึง การสร้างโลกในเจ็ดวัน การที่มนุษย์ถูกขับไล่จากสวรรค์ น้ำท่วมใหญ่และเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมายที่สอดคล้องกับสิ่งซึ่งบันทึก อยู่ในพระธรรมปฐมกาล นอกจากนี้แล้วเรื่องราวของน้ำท่วมใหญ่ยังสามารถพบได้ในภาษาโบราณอีกถึงกว่า 200 ภาษา รวมทั้งภาษาของชาวอินเดียนแดงซึ่งเป็นชนเผ่าที่ถูกแยกออกจากส่วนอื่นๆ ของโลกด้วยมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อีกด้วย จากข้อเท็จจริง ที่กล่าวมานี้ทำให้น่าที่จะเชื่อได้ว่า การอดอาหารเป็นวิธีที่ถือปฏิบัติกันมาก่อนเหตุการณ์ที่หอบาเบล ก่อนที่มนุษย์จะมีภาษาที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการอดอาหารน่าจะได้รับการถ่ายทอดมาจากลูกหลานของโนอาห์หรือจากโนอา ห์เอง ซึ่งคงได้รับคำสั่งหรือวิธีการมาจากพระเจ้าเอง (เป็นซะบาโตสำหรับระบบย่อยอาหาร) วิธีการอดอาหาร 4 วิธี 
     1. วิธีปกติ คือ การอดอาหารทุกชนิด (แต่ดื่มน้ำได้) วิธีการนี้อาจมีการอดอาหารตั้งแต่หนึ่งวันจนถึงนานที่สุด 40 วัน เช่น การอดหนึ่งวันในพระธรรมผู้วินิจฉัย 20:26 “แล้วคนอิสราเอล คือ กองทัพทั้งหมดได้ขึ้นไปที่เบธเอลและร้องไห้คร่ำครวญ เขานั่งเฝ้าพระเจ้า และอดอาหารจนเวลาเย็นถวายเครื่องบูชาและศานติบูชาแด่พระเจ้า” การอดอาหารเป็นเวลานานควรกระทำอย่างระมัดระวังและภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด ของแพทย์ 
     2. การอดอย่างสมบูรณ์ คือ อดทั้งอาหารและน้ำ วิธีการนี้ควรกระทำเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น การอดอาหาร 40 วันสามารถทำให้ตายได้อย่างแน่นอน ยกเว้นที่เกิดกับบุคคลพิเศษแบบโมเสสโดยที่มีพระเจ้าคอยช่วยเหลือเท่านั้น 
     3. การอดอาหารเพียงบางส่วน เช่น การอดอาหารวันละมื้อ หรือการละเว้นจากอาหารบางประเภท การกินเพียงแต่ผักและผลไม้เป็นเวลาหลายวันเป็นวิธีการหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพ ตัวอย่างในพระคัมภีร์เช่น ดานีเอล เอลียา หรือยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา 
     4. การอดอาหารแบบสลับหมุนเวียน เป็นการอดอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น การกินอาหารประเภทข้าวทุกสี่วัน (อดสามวัน กินในวันที่สี่เท่านั้น) ในวันที่อดข้าวก็กินอาหารอย่างอื่นแทน

      ในปัจจุบันดร.แธมปี้กำลังค้นหาสารบางอย่างในร่างกาย ซึ่งสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเขาพบว่าสารเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นในผู้ที่อดอาหาร แต่มีน้อยมากในร่างกายของผู้ที่ป่วยด้วยมะเร็ง นอกจากนี้การอดอาหารยังสามารถทำให้อาการปวด บวม เจ็บข้อ ในโรครูมาตอยด์ดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการอดอาหารเพียงไม่กี่วัน และถ้ามีการกินอาหารตามพระธรรมปฐมกาล 1:29 ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว อาการจะไม่กลับมาอีก การอดอาหารและสุขภาพจิต การอดอาหารช่วยให้เรามีจิตใจที่สงบมากขึ้นและมีสมาธิดีขึ้น แต่ในการอดอาหารครั้งแรกๆ เราอาจพบสิ่งที่ตรงข้ามเช่นอาการหงุดหงิด โกรธง่าย ปวดศีรษะ และอื่นๆอีกมากมาย เนื่องมากจากอาการติดอาหาร (คล้ายการลงแดงหรืออยากยาที่เกิดในการอดยาเสพติด) มีเพื่อนของผมซึ่งเป็นแพทย์ทั้งคู่ พวกเขามีลูกชายเป็นออติสติค (autistic – เป็นภาวะอย่างหนึ่งที่เกิดในเด็กทำให้เด็ก มีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งเร้าน้อยจึงมักมีปัญหาในการเรียนและสติ ปัญญา) พวกเขาค้นพบว่าการอดอาหารทำใหัลูกชายมีอาการดีขึ้นเมื่อเด็กอายุได้ 12 ปี หลังจากนั้นเด็กมีอาการดีขึ้นโดย ตลอดและตอบสนองต่อพ่อแม่เป็นครั้งแรกในชีวิต ขณะที่เด็กอายุได้ 18 ปีเขาสามารถอ่านหนังสือได้และมีอาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการทดสอบทางเลือดพบว่าเด็กขาดเอนไซม์บางตัว ดังนั้นจึงมีอาการไวต่ออาหารบางประเภท การอดอาหารสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นั้นได้ และทำให้ร่างกายไม่ต้องใช้เอนไซม์ที่มีอยู่น้อยนิดไปในการจัดการกับอาหารที่ แพ้นั้น นอกจากนี้ยังพบว่าอาการทางจิตเวชหลายอย่าง เช่น เด็กที่ซนมากและมีสมาธิสั้น(hyperactive) เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ (dyslexia) โรคจิตบางประเภท (schizophrenia-จิตเภท, depression-อาการซึมเศร้า) ก็มักจะมีอาการดีขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผู้ป่วยอดอาหาร เดิมทีเราเชื่อกันว่าอาการทางจิตต่างๆเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง ในวัยเด็ก หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ แต่ในปัจจุบันเมื่อเรามีความรู้เกี่ยวกับสมองมากขึ้น เรากลับพบว่าอาการทางจิตส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสารเคมีใน สมอง ซึ่งแน่นอนว่าสารพิษจากอาหารเอง หรือสารพิษที่เกิดจากการย่อยสลายที่ไม่สมบูรณ์ของอาหารต่างๆที่เรากินเข้าไป ย่อมมีผลต่อสารเคมีเหล่านี้ในสมองไม่มากก็น้อย การอดอาหารเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายสามารถขจัดสารพิษเหล่านี้ได้ รวดเร็วขึ้น ดร.ยูริ นิโคลาเยฟ จิตแพทย์ประจำมหาวิทยาลัยมอสโค ได้ทำการทดลองรักษาโรค Schizophrenia (จิตเภท) ด้วยการให้ผู้ป่วยอดอาหารและดำรงชีวิตด้วยการดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น เป็นเวลา 25 ถึง 30 วัน หลังจากนั้นก็ให้กินอาหารที่บริสุทธิ์ ตามธรรมชาติโดยมีการปรุงแต่งจากฝีมือมนุษย์น้อยที่สุด เป็นเวลาอีก 30 วัน ผลปรากฎว่าผู้ป่วยถึง 70เปอร์เซ็นต์ไม่แสดงอาการทางจิต ในระหว่างการวิจัยนี้ และมีอาการดีตลอด 6 ปี ที่ทำการศึกษานี้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักแม้จะไม่หายจากอาการของโรค แต่ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองอย่างมีนัยสำคัญ นายแพทย์อัลลัน คอท แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ก็ได้ทดลองรักษาผู้ป่วย Schizophrenia ด้วยวิธีการเดียวกันนี้และพบว่าผู้ป่วยถึง60 เปอร์เซนต์มีอาการดีขึ้นเช่นกัน คุณประโยชน์ของการอดอาหาร การนอนหลับนอกจากจะเป็นการพักส่วนต่างๆของร่างกายแล้ว ระบบย่อยอาหารของเราก็ได้พักเช่นเดียวกัน เรารู้ดีว่าอาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย ดังนั้นเราจึงมีเหตุผลที่จะคิดว่าในเมื่อการกินอาหารเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การอดอาหารจึงน่าจะเป็นโทษ แต่ในความเป็นจริงแล้วการให้เหตุผลแบบนี้น่าจะไม่ถูกต้อง เพราะการที่เราหยุดกินอาหารใน เวลากลางคืนเป็นเวลาถึง 12 ชั่วโมงหรือในบางครั้งก็มากกว่านั้น ก็นับว่าเป็นการอดอาหารแบบหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นการเพิ่มระยะเวลาการอดอาหารต่อไปอีกสักหน่อยก็ไม่น่าที่จะเกิด อันตรายต่อร่างกายเช่นกัน ร่างกายของเรามีการตอบสนองต่อการเจ็บไข้ หรือขณะเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บด้วยการอดอาหารเช่นกัน ลองสังเกตดูว่าในขณะที่เราไม่สบายเราจะไม่มีความอยากอาหาร และในบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะฝืนกินอาหารได้ด้วยซ้ำไป ในสัตว์ก็เช่นเดียวกันเมื่อมันบาดเจ็บมันจะนอนเฉยๆ และอดอาหารจนกระทั่งร่างกายกลับเป็นปกติ วิธีการนี้ศัลยแพทย์ได้นำมาประยุกต์ใช้กับคนไข้หลังผ่าตัด โดยให้อดอาหารจนกระทั่งร่างกาย และระบบย่อยอาหารพร้อมที่จะทำงาน ท่านทราบหรือไม่ว่า ร่างกายของเรานั้นได้พลังงานมาจากการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรท หรือไขมัน ซึ่งการเผาผลาญนี้ย่อมมีของเสียที่เหลือจากกระบวนการเผาผลาญ ร่างกายของเราต้องใช้เวลาในการขจัดสารพิษ เหล่านี้ออกจากร่างกาย ดังนั้นการอดอาหารจะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ทำงานได้สะดวกขึ้นโดยการลดภาระ ของมันในระหว่างที่เราอดอาหาร ในอิสยาห์ 58:16-18 พระเจ้าได้ตรัสแก่ชนอิสราเอลถึงท่าทีของการอดอาหารของพวกเขาว่า “การอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือที่เราต้องการ… แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าอย่างอรุณ และแผลของเจ้าจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า…” ใช่แล้วการอดอาหารช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นคืนสภาพจากการเจ็บป่วยหรือบาด เจ็บได้เร็วขึ้น ในศตวรรษที่ 19 ดร.เจนนิ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้ให้การรักษาไข้ด้วยการให้ ผู้ป่วยพักผ่อน หยุดรับอาหาร และดื่มน้ำมากๆแทน การให้ความร้อน อดน้ำ และเอาเลือดออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมในเวลานั้น คนไข้ของดร.เจนนิ่งหายป่วยจากโรคเรื้อรังต่างๆอย่างน่าอัศจรรย์ จนมหาวิทยาลัยเยลได้มอบปริญญากิตติมศักดิ์แก่เขา ดร.จอร์จ แธมปี้ นักชีวเคมีแห่งมหาวิทยาลัยอินเดียนนา ได้ทำการศึกษาถึงผลของการอดอาหารในอาสาสมัครจำนวน 60 คน สิ่งที่เขาพบคือ 
     1. ระดับโคเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมาก 
     2. ความดันโลหิตลดลง 
     3. อาการปวดข้อดีขึ้น 
     4. น้ำหนักลดลงและรูปร่างเล็กลง บางคนมีน้ำหนักลดลงถึงเกือบ 20 กิโลกรัมใน 3 สัปดาห์

      หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมการทดลองได้กลับมากินอาหารอีก ในจำนวนนี้ผู้ที่กินอาหารตามปฐมกาล 1:29 (กินมังสวิรัตเท่านั้น) มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้หลังจากการกลับมากินอาหารถึงหนึ่งเดือน แต่ผู้ที่กลับไปกินอาหารตามปกติมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 7 กิโลกรัมในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์(Yoyo effect) การงดเว้นจากอาหารชนิดใดๆเป็นเวลา 3 เดือนก็จะมีผลเท่ากับการอดอาหารนั้น หลังจากนั้นอาจใชัวิธีการหมุนเวียนอาหารตามกลุ่มอาหารหลักเข้าร่วมด้วยทุก 4 วัน ฉะนั้นจงละเว้นเสียจากการเสพติดอาหารหรือสารใดๆ ถ้าท่านมีอาการเสพติดอาหาร เช่น ขาดของหวาน ของมัน หรือรสเค็ม ไม่ได้ หรืออาหารใดๆก็ตาม ให้เว้นจากอาหารนั้นเป็นเวลา 3 เดือนอาการติดนั้นก็จะหายไป อย่างไรก็ดีการอดอาหารก็สามารถเสพติดได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าอดอาหารบ่อยมากจนรู้สึกว่าขาดการอดอาหารไม่ได้ เพียงแต่อดอาหารเป็นครั้งคราว หรืออดอาหารบางประเภทเป็นช่วงเวลาก็เพียงพอแล้ว ข้อแนะนำสำหรับการเริ่มต้นอดอาหาร ก่อนการเริ่มอดอาหาร 3 วัน ควรกินแต่อาหารที่พระเจ้าประทานสำหรับมนุษย์เท่านั้น (กฎข้อ1) และพยายามอย่าปรุงแต่งอาหารนั้น แต่กินในลักษณะที่ใกล้เคียงกับที่เราเก็บเกี่ยวมาจากสภาพธรรมชาติที่สุด (กฎข้อ 2) ดื่มแต่น้ำเปล่าเท่านั้น ในวันแรกของการอดอาหารควรดื่มแต่น้ำเปล่าและน้ำผลไม้สดเท่านั้น ไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลอื่นๆ การดื่มน้ำผลไม้จะช่วยให้อาการขาดน้ำตาลในเลือดดีขึ้น เพราะอาการขาดน้ำตาลในเลือดนี้เป็นอาการสำคัญที่พบได้บ่อยเมื่อเริ่มต้นอด อาหาร (การขาดน้ำตาลในเลือดถึงจุดหนึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าร่างกายไปไม่ไหวก็ควรเริ่มต้นกินอาหารได้แล้ว) อาการขาดน้ำตาลจะมีผลต่อเรามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเราติดอาหารมากน้อย เพียงใด อาการที่พบโดยทั่วๆไปได้แก่ ปวดหัว อ่อนเพลีย หงุดหงิด นอนไม่หลับ รู้สึกหนาว ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะบ่อย ถ้ารู้สึกว่าไม่สบายหรือร่างกายไปไม่ไหวก็ให้เริ่มต้นกินอาหารได้ และลองพยายามใหม่ในสองสามวันให้หลังจะดีกว่า การพยายามฝืนเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ในครั้งต่อๆไปลองพยายามอดอาหารให้นานขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แล้วค่อยๆเพิ่มระยะเวลาในครั้งต่อๆไป ลองพยายามเพิ่มเวลาในการอดอาหาร โดยวิธีการที่กินอาหารเที่ยงแต่อดอาหารเย็น แล้วเริ่มต้นกินใหม่ในมื้อเช้า เราจะได้นอนหลับในช่วงเวลาที่มีอาการหิวมาก จะทำให้สามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวได้ง่ายขึ้น หลังจากฝึกหลายๆครั้งเราก็จะสามารถอดอาหารได้นานติดต่อกันถึง 24 ชั่วโมง โดยดื่มแต่น้ำเปล่าและน้ำผลไม้เท่านั้น คุณจะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่แปลกใหม่และความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจากอดอาหารนั้น ลองอดอาหารวิธีนี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือถ้าทำได้ 2 ครั้งจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดี หลังจากนี้คุณอาจสามารถค่อยเพิ่มระยะเวลาการอดอาหารได้ถึง 3 วันใน 1 หรือ 2 เดือน การอดอาหารเพียงบางส่วน – วันแรกดื่มน้ำเปล่าและน้ำผลไม้ กินผักสด ผลไม้ และซุปเท่านั้น – วันที่สองอาจลองเพิ่มอาหารจำพวกข้าว ถั่ว หรือผัดผัก – ถ้าพบว่าการกินอาหารใดที่เราได้เพิ่มเข้าไปจากวันก่อนทำให้รู้สึกไม่ดี ให้งดอาหารที่แพ้นั้นเป็นเวลา 3 เดือน – หลังจากการอดอาหารพยายามเลี่ยงอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ โดยอาจกินเพียงสัปดาห์ละครั้ง หรือในโอกาสพิเศษเท่านั้น ไขมันอันตรายจริงหรือ…? “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เจ้าทั้งหลายอย่ารับประทานไขมันของวัว ของแกะหรือของแพะ ไขมันของสัตว์ที่ตายเอง และไขมันของสัตว์ที่สัตว์กัดตาย จะนำไปใช้อย่างอื่นก็ได้ แต่อย่ารับประทานเลยเป็นอันขาด” (ลนต7:23,24) “ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรประจำตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า ในที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ทั่วๆไปว่า เจ้าอย่ารับประทานไขมันหรือเลือด” (ลนต3:17) ไขมันที่กินได้ – ไขมันที่พบในอาหารที่พระเจ้าประทานให้เรา เช่น ไขมันจากถั่ว เมล็ดพืช น้ำมันมะกอก ฯลฯ – ไขมันจากเนยและน้ำมันพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์ ที่เก็บอย่างดีโดยไม่สัมผัสกับอากาศ แสงสว่าง ความร้อน และสารเคมีต่างๆ น้ำมันพืชที่ดีที่สุดในการปรุงอาหาร คือ น้ำมันมะกอก และน้ำมันเนย – ไขมันที่พบแทรกอยู่ในเนื้อสัตว์ (marbling fat) ของสัตว์สะอาด นก และปลา ไขมันที่ควรหลีกเลี่ยง – ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังของสัตว์ (ทั้งสัตว์สะอาดและสัตว์ที่ไม่สะอาด) – ไขมันจากสัตว์ไม่สะอาดที่พระคัมภีร์ห้ามไว้ (รวมทั้งเนื้อของมันด้วย) – น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการทางเคมีทำให้และดูบริสุทธิ์ แต่ขาดคุณค่าทางอาหาร และมีสารเคมีตกค้าง – มาร์การีนและไขมันพืชที่ถูกทำให้แข็งตัว (ไขมันอิ่มตัว) – ไขมันจากสัตว์ที่กินซากสัตว์เป็นอาหาร (สัตว์เหล่านี้ถูกห้ามกินตามพระคัมภีร์อยู่แล้ว) – หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง เพราะจะทำให้ไขมันสลายตัวไปเป็นสารที่มีพิษต่อร่างกาย – ไขมันใต้ผิวหนังของสัตว์มีสเตียริค แอซิดสูง (stearic acid – กรดไขมันชนิดหนึ่ง) ซึ่งทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกันง่ายขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดได้ง่ายขึ้น ไขมันที่แทรกในเนื้อสัตว์ก็มีเสตียริค แอซิดเช่นเดียวกัน ในพืชต่างๆ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก และน้ำมันพืชอื่นๆก็มีเสตียริคแอซิด แต่เนื่องใน marbling และในไขมันจากพืชมีกรดไขมันชนิดอื่นๆอยู่ในอัตราส่วนที่เหมาะสม จึงไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย เนื้อที่กินได้ “บรรดาสัตว์ที่แยกกีบและมีกีบผ่าและสัตว์เคี้ยวเอื้องเจ้ารับประทานได้ อย่างไรก็ตามสัตว์ต่อไปนี้ที่เคี้ยวเอื้องหรือแยกกีบเจ้าก็อย่ารับประทาน อูฐ เพราะมันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า ตัวกระจงผา เพราะมันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า กระต่าย เพราะมันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า หมู เพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่า แต่ไม่เคี้ยวเอื้องจึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน เพราะมันเป็นของมลทินแก่เจ้า” (ลนต11:3-8) สัตว์สะอาดที่พระเจ้าให้กินได้มีลักษณะพิเศษ คือ ถ้าเป็นสัตว์บกที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีกีบที่แยกและเคี้ยวเอื้อง เนื่องจากสัตว์เหล่านี้กินแต่พืชรวมทั้งธัญพืชต่างๆที่พระเจ้ามอบให้เป็น อาหารแก่มนุษย์ นอกจากนี้สัตว์เหล่านี้ยังมีกระเพาะอาหารที่พิเศษ คือ มีกระเพาะอาหารที่แยกเป็นหลายกระเพาะ ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนถังหมักอาหาร โดยมีแบคทีเรียช่วยในการย่อย ทำให้สารอาหารที่สัตว์เหล่านี้ได้รับมีลักษณะที่สะอาด ไม่มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายหรือพยาธิปะปน นอกจากนี้ยังสามารถที่จะกรองเอาสารพิษบางอย่างออกได้ด้วย วัวเป็นตัวอย่างที่ดีของสัตว์ที่พระเจ้าให้เราเป็นอาหาร กระเพาะอาหารที่พิเศษของวัวทำให้วัวสามารถกินหญ้าได้ และยังสามารถย่อยสกัดเอากรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์ (omega 3 fatty acid ซึ่งพบได้มากในพืชและสัตว์น้ำ) ออกมาอยู่ในเนื้อวัวทำให้เนื้อวัวเป็นเนื้อที่มีประโยชน์ แต่สัตว์ที่พระเจ้าห้ามไม่ให้กิน คือ สัตว์ที่ตีนแยกเป็นกีบแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง เช่น หมู หรือสัตว์ที่เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เช่น ม้าหรือกระต่าย เพราะสัตว์เหล่านี้ไม่สะอาด หมูเป็นสัตว์ที่มีกระเพาะแตกต่างจากวัวอย่างมาก คือ มีกระเพาะอันเดียวเหมือนกับคน และเนื่องจากหมูเป็นสัตว์ที่กินอาหารอย่างตะกละตะกรามและกินทุกอย่าง ดังนั้นกรดในกระเพาะของหมูจึงถูกทำให้เจือจางลง ทำให้พยาธิหลายชนิดสามารถผ่านเข้าสู่ตัวหมูได้อย่างง่ายดาย หมูจึงเป็นพาหะของพยาธิหลายๆชนิดที่ติดต่อมาสู่มนุษย์ “สัตว์ที่อยู่ในน้ำทั้งหมดเหล่านี้เจ้ารับประทานได้ ของทุกอย่างที่อยู่ในน้ำที่มีครีบและมีเกล็ดจะอยู่ในทะเลหรือในแม่น้ำก็ตาม เจ้ารับประทานได้ แต่ของทุกอย่างซึ่งอยู่ในน้ำไม่มีครีบและเกล็ด จะเป็นสัตว์เล็กๆในน้ำหรือสัตว์ที่มีชีวิตในน้ำ เป็นสัตว์พึงรังเกียจแก่เจ้า” (ลนต11:9-10) ปลาเป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับมนุษย์ เนื่องจากปลาจะกินพืชที่อยู่ในน้ำเป็นอาหารหลัก หรือกินปลาที่กินพืชนั้นอีกทีหนึ่ง ดังนั้นในเนื้อปลาและในน้ำมันจากตัวปลา เราจะพบกรดไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย คือ omega-3 fatty acidซึ่งช่วยป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือด ป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดอุดตัน ช่วยบำรุงสมอง และทำให้อาการอักเสบของข้อต่างๆดีขึ้น ปลาที่ไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก เป็นสัตว์ที่ไม่สะอาดเนื่องจากมันกินซากสัตว์อื่น และสิ่งของที่สกปรกตามก้นสระเป็นอาหาร นอกจากนี้เรายังพบว่าในเนื้อของปลาเหล่านี้ยังคงมีสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ในระดับที่สูงกว่าปลาอื่นๆอีกด้วย กุ้ง ปู หอย ล้วนแต่เป็นสัตว์น้ำที่ไม่มีครีบและเกล็ด สัตว์เหล่านี้ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เก็บกวาดขยะและของเสียต่างๆตามก้นทะเลและ แม่น้ำ ดังนั้นจึงไม่สะอาด เราพบว่าในน้ำที่มีสารปนเปื้อนหรือสารพิษต่างๆ จนกระทั่งปลาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้แต่หอยสามารถอยู่ได้อย่างสบาย กุ้งและปูก็เช่นเดียวกัน นอกจากนี้เรายังพบแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียได้ในเนื้อของสัตว์ น้ำเหล่านี้ด้วย (อหิวาต์มักเกิดจากการกินเนื้อของหอยหรือปู) นอกจากสัตว์เหล่านี้แล้วสัตว์กินซากอื่นๆที่พระเจ้าห้าม ได้แก่ นกที่กินซากสัตว์ (ลนต11:13-20) สัตว์เลื้อยคลาน (ลนต11:29-30,41-43 )

นพ.พรสรรพ์ ปุญญาภิบาล