ใครเขียนพระธรรมฮีบรู 13/25

ใครเขียนพระธรรมฮีบรู

พระธรรมฮีบรูเป็นหนึ่งในจดหมายฝากในพันธสัญญาใหม่ที่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าเขียนขึ้นเพื่อให้คนยิวซึ่งมีพื้นฐานความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอ่านเป็นหลัก เนื่องจากเนื้อหากล่าวถึงพระเยซูว่าทรงยิ่งใหญ่กว่าบุคคลสำคัญในพันธสัญญาเดิมรวมทั้งระบอบปุโรหิตและการถวายสัตวบูชาในพลับพลาที่กระทำโดยมหาปุโรหิต ผู้เขียนได้ให้รายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ ในพลับพลารวมทั้งขั้นตอนในการถวายเครื่องบูชา ที่สำคัญคือการเปรียบเทียบพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนมหาปุโรหิตไม่ใช่ในระบอบของอาโรน แต่ในระบอบของเมลคีเซเดค พระองค์ไม่ได้ถวายเครื่องบูชาลบมลทินบาปทุกปี แต่ถวายพระชนม์ชีพของพระองค์เองเป็นดั่งเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวและพระโลหิตของพระองค์สามารถชำระความบาปผิดของมวลมนุษยชาติได้อย่างสมบูรณ์ตลอดไป นอกจากนี้ ในเนื้อหายังมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์จากพันธสัญญาเดิมเป็นจำนวนมาก

พระธรรมเล่มนี้เป็นพระธรรมเพียงเล่มเดียวในทั้งหมด 27 เล่มของพันธสัญญาใหม่ที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้เขียน และนี่คือประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาเป็นเวลายาวนาน แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องด้วยความจำกัดของข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เรามี อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาเนื้อหาและภาษาที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้นั้น ก็ทำให้เราพอที่จะอนุมานได้ว่าผู้เขียนพระธรรมฮีบรูมีความสามารถในการใช้ภาษากรีกขั้นสูง มีความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอย่างลึกซึ้ง และคุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิมฉบับแปลกรีก (ที่เรียกว่า เซปทัวจินต์) เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับผู้อ่านเป็นอย่างดี (ฮบ.13:19) และน่าจะอยู่ในแวดวงของอัครทูตเปาโลเพราะมีความใกล้ชิดกับทิโมธี (ฮบ.13:23) ตั้งแต่คริสตจักรยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้เสนอชื่อของบุคคลหลายคนที่อาจเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้ ดังนี้

เปาโลแห่งเมืองทาร์ซัส ผู้นำคริสตจักรตั้งแต่ศตวรรษแรกๆ จำนวนหนึ่งเชื่อว่า เปาโลเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรู หากพิจารณาเนื้อหาเชิงศาสนศาสตร์หลายส่วนในพระธรรมเล่มนี้ก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับในจดหมายฝากของเปาโล ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องพันธสัญญา ความชอบธรรม ความถ่อมใจของพระคริสต์ การมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสมัยใหม่ก็โต้แย้งว่า ภาษากรีกที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้ไม่ว่าจะในเชิงรูปประโยคหรือคำศัพท์ต่างก็มีความเป็นเลิศมากกว่างานเขียนของเปาโล อีกทั้งยังไม่มีการกล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่มักพบในงานเขียนของเปาโล นอกจากนี้ ยังไม่มีการแนะนำตนเองอย่างที่พบในจดหมายฝากของเปาโล หากเปาโลเป็นผู้เขียนจริง ก็อาจเป็นได้ว่าท่านเขียนขึ้นเป็นภาษาฮีบรูเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนยิว จากนั้นผู้อื่น (เช่น ลูกา) ได้แปลงานเขียนนั้นเป็นภาษากรีก จึงไม่สะท้อนความเป็นสำนวนของเปาโลอย่างชัดเจน อีกทั้งท่านคงตั้งใจไม่ระบุชื่อผู้เขียนเพราะคนยิวบางกลุ่มมีอคติต่อท่าน

นายแพทย์ลูกา เป็นเพื่อนร่วมงานของเปาโล นักวิชาการบางคนมีความเห็นว่า ภาษากรีกที่สละสลวยของพระธรรมฮีบรูมีความคล้ายคลึงกับของพระกิตติคุณลูกาและพระธรรมกิจการของอัครทูตที่ลูกาเป็นผู้เขียน นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ทางภาษา ไม่ว่าจะเป็นสำนวนหรือโครงสร้างประโยคที่พบเฉพาะในพระธรรมทั้งสามเล่มนี้เท่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่า ลูกาอาจเป็นผู้เขียนพระธรรมฺฮีบรู อย่างไรก็ตาม พระธรรมทั้งสองที่ลูกาเขียนนั้นมีคุณลักษณะต่างๆ ที่เหมาะกับผู้อ่านที่เป็นคนต่างชาติ ในขณะที่พระธรรมฮีบรูมีความเป็นยิวมาก

อปอลโล เป็นผู้มีการศึกษาดี และมีความเชี่ยวชาญด้านพระวจนะ (กิจการฯ 18:24-28) คุณสมบัติดังกล่าวมีความสอดคล้องกับโวหารเชิงวรรณกรรมของพระธรรมฮีบรู นักวิชาการบางคนเชื่อว่าพระธรรมฮีบรูได้รับอิทธิพลจากฟิโล (Philo) นักปรัชญาชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรียซึ่งเป็นบ้านเกิดของอปอลโลด้วย นอกจากนี้ การที่พระธรรมเล่มนี้มีการอ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิมจำนวนมากโดยเกือบทั้งหมดใช้ฉบับแปลกรีก ซึ่งการแปลนี้เกิดขึ้นที่เมืองอเล็กซานเดรีย ก็ยังสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าอปอลโลเป็นชาวอเล็กซานเดรียด้วย

บารนาบัส (กิจการฯ 4:36-37) เป็นผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งของเปาโลผู้ซึ่งน่าจะมีความคุ้นเคยกับแนวคิดของท่าน การที่บารนาบัสเป็นคนเลวีเป็นสิ่งที่เหมาะกับการเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรูที่มีเนื้อหาจำนวนมากกล่าวถึงงานรับใช้ของปุโรหิตในพลับพลา

นอกจากนี้ ยังมีชื่ออื่นๆ อีกที่มีผู้เสนอว่าอาจจะเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรู ไม่ว่าจะเป็นปริสสิลลาหรืออาควิลลา สิลาส ทิโมธี เอปาฟรัส ฟีลิป หรือมารีย์มารดาของพระเยซู

อย่างไรก็ตาม เราก็ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างน่าเชื่อถือว่าใครคือผู้เขียน เพราะยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่เพียงพอ ดังนั้น นักวิชาการส่วนมากในปัจจุบันจึงระบุแต่เพียงว่า ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเป็นบุคคลนิรนาม ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเคารพในสิ่งที่พระคัมภีร์ไม่เปิดเผย ออริเจน (Origen) ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 2-3 ได้กล่าวว่า “แต่ผู้ใดเป็นผู้เขียนจดหมายฝากฉบับนี้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบความจริง”


  • บทความ สมาคมพระคริสตธรรมไทย
  • ภาพจาก www.wikipedia.org