จากใจเลขาธิการ
สวัสดีครับ สมาชิกและเพื่อนของ TBS ทุกท่าน
ท่านจำได้หรือไม่ว่า ครั้งสุดท้ายที่ท่านไม่ถูกรบกวนใจด้วยปัญหาหรือสิ่งต่างๆ รอบตัวนั้นคือเมื่อไร ผมเป็นคนที่ชอบเสพข่าว เพราะต้องการทราบความเป็นไปของบ้านเมือง สังคม หรือชีวิตผู้คน จริงอยู่ ข่าวร้ายบนสื่อไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ กระนั้นก็ตาม ทุกวันนี้ ข่าวต่างๆ ที่เราได้รับไม่เป็นเพียงข่าวร้าย แต่ยังดูเหมือนถึงทางตัน ไร้ทางออก ในเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้ผ่านหลายปัญหาใหญ่ในระดับโลกที่ส่งผลต่อชีวิตเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นโควิด19 สงครามระหว่างประเทศที่ส่งผลเสียไม่เพียงต่อประเทศคู่สงคราม แต่ต่อประเทศอื่นๆ ด้วย หรือจะเป็นสงครามเศรษฐกิจที่กำลังคุกคามปากท้องของผู้คนทั่วทั้งโลก นี่ยังไม่พูดถึงภัยธรรมชาติ หรือโรคภัยไข้เจ็บที่อาจเป็นภัยเงียบ และคร่าชีวิตผู้คนไปมากหลายโดยไม่ทันตั้งตัว ฟังดูแล้วน่าหดหู่ใช่ไหมครับ
สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาคงต้องต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ตามลำพัง แต่สำหรับเราที่เป็นผู้เชื่อ เรามีพระเจ้าอยู่กับเรา คริสเตียนไม่ใช่คนที่ไร้ปัญหา แต่ในท่ามกลางปัญหานั้น พระเจ้าทรงอยู่และร่วมฟันฝ่าไปกับเรา แท้จริง แม้ปัญหาเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ แต่ก็เปิดโอกาสให้พระเจ้าสำแดงความรักและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทำให้ความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับพระเจ้าแปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ที่เรามีในพระองค์ ที่สำคัญ ไม่ว่าปัญหานั้นจะหมดไปหรือไม่ พระเจ้าทรงเป็นสันติสุขของเรา
สันติสุข คือ ความสงบภายในใจแม้ในท่ามกลางความวุ่นวายของโลกภายนอก เป็นความสงบที่ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งรอบข้าง สันติสุขเช่นนี้หากมีจริงก็หาได้ยาก แต่พบได้ในพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” (ยน.14:27) ปัญหาคือ หลายครั้ง ตาใจของเราถูกรบกวนด้วยสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี หรือคนรอบข้าง หรือไม่ก็เป็นความกระวนกระวาย ความวุ่นวายใจ ความเครียดที่รุมเร้าความคิดและจิตใจของเรา เราลืมมองลึกๆ เข้าไปข้างในจนเห็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่กับคนตัวเล็กๆ อย่างเรา พระองค์ทรงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข และสามารถทำทุกสิ่งได้ เราจึงควรเรียนรู้ที่จะวางภาระของเราไว้ที่พระองค์ทุกวัน และให้พระองค์ทรงแบกภาระนั้นร่วมกับเรา เพื่อภาระดังกล่าวจะไม่หนักจนเกินไป แต่เราจะแบกไหวโดยพระคุณของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนี้ สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจจะคุ้มครองจิตใจและความคิดของเราไว้ในพระเยซูคริสต์
คุณรู้หรือไม่
ใครเขียนพระธรรมฮีบรู
พระธรรมฮีบรูเป็นหนึ่งในจดหมายฝากในพันธสัญญาใหม่ที่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าเขียนขึ้นเพื่อให้คนยิวซึ่งมีพื้นฐานความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอ่านเป็นหลัก เนื่องจากเนื้อหากล่าวถึงพระเยซูว่าทรงยิ่งใหญ่กว่าบุคคลสำคัญในพันธสัญญาเดิมรวมทั้งระบอบปุโรหิตและการถวายสัตวบูชาในพลับพลาที่กระทำโดยมหาปุโรหิต ผู้เขียนได้ให้รายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ ในพลับพลารวมทั้งขั้นตอนในการถวายเครื่องบูชา ที่สำคัญคือการเปรียบเทียบพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนมหาปุโรหิตไม่ใช่ในระบอบของอาโรน แต่ในระบอบของเมลคีเซเดค พระองค์ไม่ได้ถวายเครื่องบูชาลบมลทินบาปทุกปี แต่ถวายพระชนม์ชีพของพระองค์เองเป็นดั่งเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวและพระโลหิตของพระองค์สามารถชำระความบาปผิดของมวลมนุษยชาติได้อย่างสมบูรณ์ตลอดไป นอกจากนี้ ในเนื้อหายังมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์จากพันธสัญญาเดิมเป็นจำนวนมาก
พระธรรมเล่มนี้เป็นพระธรรมเพียงเล่มเดียวในทั้งหมด 27 เล่มของพันธสัญญาใหม่ที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้เขียน และนี่คือประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาเป็นเวลายาวนาน แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องด้วยความจำกัดของข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เรามี อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาเนื้อหาและภาษาที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้นั้น ก็ทำให้เราพอที่จะอนุมานได้ว่าผู้เขียนพระธรรมฮีบรูมีความสามารถในการใช้ภาษากรีกขั้นสูง มีความเข้าใจพันธสัญญาเดิมอย่างลึกซึ้ง และคุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิมฉบับแปลกรีก (ที่เรียกว่า เซปทัวจินต์) เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับผู้อ่านเป็นอย่างดี (ฮบ.13:19) และน่าจะอยู่ในแวดวงของอัครทูตเปาโลเพราะมีความใกล้ชิดกับทิโมธี (ฮบ.13:23) ตั้งแต่คริสตจักรยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้เสนอชื่อของบุคคลหลายคนที่อาจเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้ ดังนี้
เปาโลแห่งเมืองทาร์ซัส ผู้นำคริสตจักรตั้งแต่ศตวรรษแรกๆ จำนวนหนึ่งเชื่อว่า เปาโลเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรู หากพิจารณาเนื้อหาเชิงศาสนศาสตร์หลายส่วนในพระธรรมเล่มนี้ก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับในจดหมายฝากของเปาโล ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องพันธสัญญา ความชอบธรรม ความถ่อมใจของพระคริสต์ การมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสมัยใหม่ก็โต้แย้งว่า ภาษากรีกที่ใช้ในพระธรรมเล่มนี้ไม่ว่าจะในเชิงรูปประโยคหรือคำศัพท์ต่างก็มีความเป็นเลิศมากกว่างานเขียนของเปาโล อีกทั้งยังไม่มีการกล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่มักพบในงานเขียนของเปาโล นอกจากนี้ ยังไม่มีการแนะนำตนเองอย่างที่พบในจดหมายฝากของเปาโล หากเปาโลเป็นผู้เขียนจริง ก็อาจเป็นได้ว่าท่านเขียนขึ้นเป็นภาษาฮีบรูเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนยิว จากนั้นผู้อื่น (เช่น ลูกา) ได้แปลงานเขียนนั้นเป็นภาษากรีก จึงไม่สะท้อนความเป็นสำนวนของเปาโลอย่างชัดเจน อีกทั้งท่านคงตั้งใจไม่ระบุชื่อผู้เขียนเพราะคนยิวบางกลุ่มมีอคติต่อท่าน
นายแพทย์ลูกา เป็นเพื่อนร่วมงานของเปาโล นักวิชาการบางคนมีความเห็นว่า ภาษากรีกที่สละสลวยของพระธรรมฮีบรูมีความคล้ายคลึงกับของพระกิตติคุณลูกาและพระธรรมกิจการของอัครทูตที่ลูกาเป็นผู้เขียน นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ทางภาษา ไม่ว่าจะเป็นสำนวนหรือโครงสร้างประโยคที่พบเฉพาะในพระธรรมทั้งสามเล่มนี้เท่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่า ลูกาอาจเป็นผู้เขียนพระธรรมฺฮีบรู อย่างไรก็ตาม พระธรรมทั้งสองที่ลูกาเขียนนั้นมีคุณลักษณะต่างๆ ที่เหมาะกับผู้อ่านที่เป็นคนต่างชาติ ในขณะที่พระธรรมฮีบรูมีความเป็นยิวมาก
อปอลโล เป็นผู้มีการศึกษาดี และมีความเชี่ยวชาญด้านพระวจนะ (กิจการฯ 18:24-28) คุณสมบัติดังกล่าวมีความสอดคล้องกับโวหารเชิงวรรณกรรมของพระธรรมฮีบรู นักวิชาการบางคนเชื่อว่าพระธรรมฮีบรูได้รับอิทธิพลจากฟิโล (Philo) นักปรัชญาชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรียซึ่งเป็นบ้านเกิดของอปอลโลด้วย นอกจากนี้ การที่พระธรรมเล่มนี้มีการอ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิมจำนวนมากโดยเกือบทั้งหมดใช้ฉบับแปลกรีก ซึ่งการแปลนี้เกิดขึ้นที่เมืองอเล็กซานเดรีย ก็ยังสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าอปอลโลเป็นชาวอเล็กซานเดรียด้วย
บารนาบัส (กิจการฯ 4:36-37) เป็นผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งของเปาโลผู้ซึ่งน่าจะมีความคุ้นเคยกับแนวคิดของท่าน การที่บารนาบัสเป็นคนเลวีเป็นสิ่งที่เหมาะกับการเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรูที่มีเนื้อหาจำนวนมากกล่าวถึงงานรับใช้ของปุโรหิตในพลับพลา
นอกจากนี้ ยังมีชื่ออื่นๆ อีกที่มีผู้เสนอว่าอาจจะเป็นผู้เขียนพระธรรมฮีบรู ไม่ว่าจะเป็นปริสสิลลาหรืออาควิลลา สิลาส ทิโมธี เอปาฟรัส ฟีลิป หรือมารีย์มารดาของพระเยซู
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างน่าเชื่อถือว่าใครคือผู้เขียน เพราะยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่เพียงพอ ดังนั้น นักวิชาการส่วนมากในปัจจุบันจึงระบุแต่เพียงว่า ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเป็นบุคคลนิรนาม ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเคารพในสิ่งที่พระคัมภีร์ไม่เปิดเผย ออริเจน (Origen) ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 2-3 ได้กล่าวว่า “แต่ผู้ใดเป็นผู้เขียนจดหมายฝากฉบับนี้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบความจริง”
- ภาพจาก www.freepik.com
กิจกรรมTBS
สนุกกับพระคัมภีร์
แนะนำสินค้า
พันธกิจ TBS
สมาคมพระคริสตธรรมไทย ได้รับใช้คริสตจักรและคริสเตียนไทยมายาวนานกว่า 130 ปี ผ่านพันธกิจการแปล ผลิต และเผยแพร่พระคัมภีร์ทั้งภาษาไทยและภาษาถิ่น โดยมีนิมิตให้คนไทยทุกคนมีพระคัมภีร์ใช้ และรู้จักใช้พระคัมภีร์อย่างถูกต้อง สมาคมฯ มีความยินดีที่ทุกวันนี้พี่น้องคริสเตียนเข้าถึงพระคัมภีร์ได้โดยง่ายในรูปแบบดิจิทัล แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อยอดขายพระคัมภีร์กระดาษ และต่อเสถียรภาพทางการเงินของสมาคมฯ
ด้วยเหตุนี้ สมาคมฯ จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่านในการสนับสนุนพันธกิจนี้ด้วยการอธิษฐานเผื่อและการถวายทุนทรัพย์ เพื่อให้พันธกิจแห่งพระวจนะทั้งในรูปแบบเล่มกระดาษและดิจิทัลของสมาคมฯ ดำเนินต่อไป อันจะเป็นพรต่อคริสตชนชาวไทยสืบไป